ในวันที่ 28 กันยายน 2549 นี้ เที่ยวบินของทุกสายการบินจากทั่วโลก ก็จะพร้อมใจกันไปใช้บริการยังสนามบินแห่งใหม่ ณ "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" สนามบินแห่งใหม่ของประเทศไทย ที่หวังจะให้เป็นสนามบินศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศของภูมิภาคเอเชีย
ส่วนเวลา 03.00 น. ของเช้า(หลังเที่ยงคืน)วันที่ 28 กันยายน 2549 เที่ยวบินเที่ยวสุดท้ายจะลงจอดที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ หรือ สนามบินดอนเมือง ก่อนที่สนามบินดอนเมืองจะปิดฉากตัวเองลงอย่างเป็นทางการ ทิ้งไว้เพียงตำนานและความทรงจำของสนามบินดอนเมืองให้คนรุ่นหลังได้กล่าวขานถึงกันต่อไป
ย้อนอดีต"ดอนเมือง"
หากย้อนไปเมื่ออดีต "ท่าอากาศยานกรุงเทพ" หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ดอนเมือง" นั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อมีการยกเลิกใช้สนามบินสระปทุม ส่วนหนึ่งของสนามม้าราชกรีฑาสโมสร ซึ่งถือเป็นสนามบินแห่งแรกของประเทศไทย เนื่องจากสาเหตุคับแคบ มีเนื้อที่จำกัด และมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่เหมาะสม ทางราชการจึงได้คิดหาสถานที่ใหม่ที่มีบริเวณกว้างขวาง เป็นพื้นที่ดอน น้ำไม่ท่วม ไม่ห่างไกลจากพระนคร และเป็นพื้นที่ที่สามารถพัฒนาเป็นสนามบินขนาดใหญ่ต่อไปได้ในอนาคต โดยมี นายพันโท พระเฉลิมอากาศ หัวหน้านายทหารนักบินชุดแรกของประเทศไทย ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้ายเป็น พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ ทำหน้าที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการแสวงหาพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะสร้างเป็นสนามบินถาวร
และจากการบินสำรวจทางอากาศได้เห็นที่นา ซึ่งเป็นที่ดอนทางตอนเหนือของอำเภอบางเขนเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมจึงได้สำรวจทางพื้นดินได้ความว่า พื้นที่บริเวณนั้นชาวบ้านเรียกว่า "ดอนอีเหยี่ยว" เพราะมีฝูงเหยี่ยวบินมารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ในบริเวณที่ดอนนี้ ทั้งยังมีทางรถไฟสายเหนือวิ่งผ่าน พื้นที่นี้อยู่ห่างจากสนามบินสระปทุมไปทางเหนือใช้เวลาบินประมาณ 13 นาที (ด้วยเครื่องบินเบรเกต์สมัยนั้น) คิดเป็นระยะทางประมาณ 22 กิโลเมตรเศษ
บริเวณนี้เป็นที่นามีหลายเจ้าของ เช่น ที่นาของ หมื่นหาญ ใจอาจ ซึ่งท่านผู้นี้มีที่นาจำนวนมาก ได้ยกที่ดินส่วนหนึ่งให้สร้างเป็นวัด สมัยนั้นยังไม่มีชื่อ ชาวบ้านเรียกว่า "วัดดอนอีเหยี่ยว" ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งกองบินขึ้นที่บริเวณนี้ และเรียกกันว่า "ดอนเมือง" วัดนี้จึงถูกเรียกว่า "วัดดอนเมือง" ตามชื่อสนามบินไปด้วย นอกจากนั้นยังมีที่นาของ พระยาอร่ามมณเฑียร และราษฎรคนอื่นๆอีกหลายเจ้าของ บางส่วนเป็นที่ดินของกรมรถไฟหลวง นายพันโท พระเฉลิมอากาศ ได้รายงานขึ้นตามลำดับชั้น เพื่อขอจัดสร้างสนามบินถาวรขึ้นที่บริเวณนี้ และทางกระทรวงกลาโหมจึงได้ทำการจัดซื้อ และขอเวนคืนพื้นที่บางส่วน และมีผู้บริจาคให้เป็นประโยชน์แก่ทางราชการบางส่วน
ซึ่งในระยะเวลาต่อมา กรมเกียกกายทหารบกได้ดำเนินการปรับพื้นที่ให้เป็นสนามหญ้า ที่เครื่องบินสามารถวิ่งและบินขึ้น-ลงได้ พร้อมทั้งสร้างโรงเก็บเครื่องบิน และอาคารสถานที่ทำการตามความจำเป็น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2457 กรมเกียกกายทหารบกได้ดำเนินการสร้างแล้วเสร็จ และส่งมอบให้กรมจเรการช่างทหารบก พร้อมกับได้เรียกชื่อสนามบินนี้ว่า "สนามบินดอนเมือง"
สนามบินดอนเมืองในอดีต
กระทั่งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2457 นายทหารนักบินทั้ง 3 นาย ก็ได้นำเครื่องบินจากสนามบินสระปทุมมาลงที่สนามบินดอนเมืองเป็นปฐมฤกษ์ ในตอนเช้า และในวันที่ 27 มีนาคม 2457 กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งตั้ง กองบินทหารบกขึ้น และย้ายไปเข้าที่ตั้งถาวรที่สนามบินดอนเมือง นับเป็นรากฐานที่มั่นคงของกิจการการบินของไทยที่ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ที่นี้
ทั้งนี้ทางกองทัพอากาศจึงได้ถือเอาวันที่ 27 มีนาคม เป็นวันที่ระลึกกองทัพอากาศ และในปี 2483 กองทัพอากาศได้จัดตั้งกองการบินพลเรือนขึ้น เพื่อดำเนินงานเกี่ยวกับการบินระหว่างประเทศ และในปี 2491 ได้ยกฐานะขึ้นเป็นกรมการบินพลเรือน ได้ปรับปรุงสนามบินดอนเมือง และเรียกชื่อว่า "ท่าอากาศยานดอนเมือง" จัดเป็นท่าอากาศยานสากล จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2498 จึงได้เปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น "ท่าอากาศยานกรุงเทพ"
พื้นที่สนามบินดอนเมืองในสมัยเริ่มแรก จากการสำรวจเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2457 มีพื้นที่ 1,770 ไร่ พื้นดินเป็นสนามหญ้า มีผิวดินชนิดดินปนทรายแดง เครื่องบินขนาดใหญ่ของสายการบินพาณิชย์ไม่สามารถจะใช้ขึ้นลงได้ในฤดูฝน พ.ศ. 2476 รัฐบาลอนุมัติให้กระทรวงเศรษฐการและกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันดำเนินการสร้างทางขึ้นลงเป็นคอนกรีตและราดยางแอสฟัลต์ พร้อมกับให้สร้างถนนเชื่อมระหว่างสนามบินดอนเมืองกับพระนคร (ถนนพหลโยธิน) ทางวิ่งดังกล่าวแล้วเสร็จเรียบร้อยเปิดใช้การได้ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2478
สนามบินดอนเมืองได้รับการขยายพื้นที่มาโดยตลอด มีการขอซื้อที่ดินของกรมรถไฟหลวงที่มีพื้นที่ติดต่อกับสนามบินดอนเมือง และขอซื้อจากเอกชน จนกระทั่งถึงปี 2538 พื้นที่ท่าอากาศยานกรุงเทพมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็น 3,881 ไร่ ถือว่าเป็นสนามบินที่เป็นดังจุดศูนย์กลางทางการบินในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถเชื่อมโยงการจราจรทางอากาศไปยังจุดต่าง ๆ ของโลกได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการบินภายในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน หรือระหว่างทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดแวะลงและเชื่อมต่อในการเดินทางของผู้โดยสารนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และพัสดุไปรษณียภัณฑ์ ได้เป็นอย่างดี
และด้วยตลอดระยะเวลากว่า 92 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานกรุงเทพได้ทำการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับอากาศยาน ผู้โดยสาร และสินค้าอย่างเต็มที่ แต่ก็ด้วยความเจริญเติบโตของการขนส่งทางอากาศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับพื้นที่เริ่มแออัด รัฐบาลจึงเล็งเห็นว่า หากท่าอากาศยานกรุงเทพไม่สามารถพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถได้มากกว่านี้ จะทำให้ความเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศของภูมิภาคนี้เสียไป จึงทำให้ทางรัฐบาลมีนโยบายก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขึ้นมาทดแทน ทำให้ท่าอากาศยานกรุงเทพ หรือ ดอนเมืองนี้ต้องทำการปิดบทบาทของตัวเองลงไปโดยปริยาย ในวันที่ 27 กันยายน 2549 นี้และคงเหลือไว้แต่เพียงตำนานให้กล่าวขานถึงเท่านั้น
เพราะในวันที่ 28 กันยายน 2549 ที่จะมาถึงนี้ "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" แห่งใหม่ก็จะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และดำเนินการบินเป็นสนามบินแห่งใหม่ของประเทศไทย
ความทรงจำถึง"ดอนเมือง"
มาโนชญ์ วัฒนสุชาติ Flight Engineer รุ่นแรกของการบินไทย ย้อนอดีตให้ฟัง ว่า แต่ก่อนท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นสนามบินเล็กๆ มีอาคารเป็นตึกเตี้ยๆแค่ตึกเดียวเท่านั้น และมีโรงเก็บเครื่องบินอยู่ด้านทิศเหนือและทิศใต้ โดยด้านทิศเหนือใช้เก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ และทิศใต้ใช้เก็บเครื่องบินขนาดเล็ก ด้านหลังเป็นสนามบินซึ่งมีพื้นที่ไม่มากนัก มีรันเวย์สั้นๆ เพราะเครื่องบินที่ใช้ในขณะนั้นเป็นเครื่องยนต์ใบพัด 4 เครื่องยนต์ ซึ่งไม่ต้องการพื้นที่ในการเทกออฟมากนัก สายการบินที่เข้ามาเปิดให้บริการในไทยก็ยังไม่เยอะ จึงไม่แออัดอะไร
"อาคารผู้โดยสารกับจุดที่เครื่องบินลงจอดนั้นอยู่ไม่ไกลกัน ผู้โดยสารสามารถเดินจากตัวอาคารไปขึ้นเครื่องได้เลย ไม่ต้องนั่งรถบัสจากตัวอาคารไปขึ้นเครื่องเหมือนสมัยนี้ ส่วนญาติที่มารับผู้โดยสารก็จะยืนคอยอยู่บริเวณระเบียงที่ยื่นออกไปนอกอาคารเพื่อรอดูว่าเครื่องบินลำที่ญาติของตัวเองโดยสารมานั้นเข้ามาถึงหรือยัง คือยืนตรงจุดนี้จะเห็นเครื่องบินได้ถนัดชัดเจนเพราะเป็นส่วนที่ไม่มีหลังคา เมื่อผู้โดยสารมาถึงและผ่านด่านศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็เดินต่อมายังห้องโถงของอาคารซึ่งญาติๆจะมารอรับอยู่"
มาโนชญ์เล่าว่า สำนักงานของการบินไทย (เกิดจากร่วมทุนของบริษัทเดินอากาศไทย จำกัดกับบริษัท เอส เอ เอส ) ตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่ดอนเมืองเหมือนปัจจุบัน แต่อยู่ที่ถนนเจริญกรุง พวกกัปตัน Flight Engineer (สมัยนั้นการขึ้นบินแต่ละครั้งต้องมี Flight Engineer ไปด้วย เนื่องจากเครื่องบินที่ใช้เป็นเครื่องบินใบพัด ซึ่งต้องมี Flight Engineer คอยควบคุมเครื่องยนต์) หรือแอร์โฮสเตส ก็จะมีรถบัสไปรับจากที่บ้านมาขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองเลย"
ด้าน ธารารัตน์ บุรณศิริ แอร์โฮสเตสยุคแรกๆของการบินไทย บอกว่า " สมัยก่อนคนขับแท็กซี่จะเดินเข้ามาเรียกผู้โดยสารบริเวณด้านหน้าอาคาร เพราะเอารถเข้ามาไม่ได้ ถ้าตกลงกันเรียบร้อยคนขับก็จะช่วยถือข้าวของไปใส่รถให้ ราคาก็แล้วแต่จะตกลงกัน นอกจากนั้ยังมีเด็กๆคอยวิ่งถือกระเป๋าให้ผู้โดยสาร ซึ่งเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่สมัยนี้ไม่มีแล้ว ส่วนค่าจ้างก็แล้วแต่จะให้เป็นสินน้ำใจ ถ้าเป็นคนไทยส่วนใหญ่ก็ให้ 5 บาท 10 บาท ซึ่งในสมัยนั้นก็ไม่น้อยนะ แต่ถ้าเป็นฝรั่งก็จะให้กัน 1 ดอลลาร์"
สภาพบ้านเมืองในปัจจุบันนั้นต่างจากในอดีตในช่วง 40 กว่าปีก่อนอย่างลิบลับ ธารารัตน์เล่าว่า ถนนหนทางในขณะนั้นก็ยังเป็นเพียงถนนลาดยาง 2 เลน ขนาดพอๆกับถนนในซอยขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งรถสามารถวิ่งสวนกันไปมาได้เพียง 2 คัน และไม่จำเป็นต้องมีเกาะกลางถนนไว้ให้คนที่ข้ามถนนหยุดรอดูรถเหมือนถนนทั่วๆไปในสมัยนี้
" ตอนนั้น 2 ข้างทางยังเป็นทุ่งนาอยู่เลย มีดอกบัวขึ้นเต็มไปหมด ซึ่งฝรั่งที่ลงเครื่องมาเขาจะตื่นเต้นและชมว่าสวยมาก เลยจากสนามบินมาหน่อยก็จะเห็นควายยืนตะคุ่มๆอยู่หลายตัวทีเดียว แล้วก็มีเด็กๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกชาวนาแถวนั้นแก้ผ้ากระโดดน้ำกัน พอเห็นฝรั่งที่เดินทางมาจากต่างประเทศนั่งรถออกมาจากสนามบินเด็กๆก็จะโบกไม้โบกมือให้ ฝรั่งเขาก็ชอบใจ เพราะบ้านเขาไม่มีแบบนี้ น่าเสียดายที่บรรยากาศแบบนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
สมัยนั้นยังไม่มีถนนวิภาวดีตัดใหม่เลย เป็นถนนเส้นเล็กๆ และการจราจรก็ยังไม่ติดขัดเหมือนเดี๋ยวนี้ นอกจากจะมีอุบัติเหตุซึ่งนานๆจะเกิดขึ้นที พวกแอร์โฮสเตสก็จะมีรถบัสไปรับไปส่งถึงบ้านเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหวถ้ามัวไปรับคนโน้นทีคนนี้ทีก็มาขึ้นเครื่องไม่ทันกันพอดี เพราะรถติดมาก..(หัวเราะ) แอร์ก็เลยต้องต่างคนต่างมากันเอง"
อาคารเล็ก –ผู้โดยสารน้อย
แม้ว่าช่วงนั้นสนามบินดอนเมืองยังมีเพียงอาคารเล็กๆหลังเดียวแต่ก็ไม่จัดว่าแออัดนักเพราะสมัยก่อนจำนวนผู้โดยสารยังไม่มากเท่าไร เนื่องจากผู้ที่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ในสมัยนั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นพวกชาวต่างชาติ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คหบดีและผู้มีอันจะกิน ในส่วนของพนักงานของสายการบินต่างๆที่เปิดให้บริการในไทยในสมัยนั้นก็ยังมีไม่มาก
ด้าน ประมวลศรี วัฒนสุชาติ แอร์โฮสเตสรุ่นแรกของการบินไทย เล่าว่า " ตอนเริ่มเปิดสายการบินใหม่ๆ มีผู้โดยสารน้อยมาก บางเที่ยวบินมีแค่ 5-7 คน ทำให้เรามีเวลาดูแลผู้โดยสารอย่างใกล้ชิด และด้วยความที่เราต้องการทำให้การบินไทยเป็นที่รู้จักของต่างชาติดังนั้นการบริการของเราจะแตกต่างจากสายการบินอื่น คือมีการเสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่ม และของว่าง เกือบจะตลอดเที่ยวบิน รวมทั้งแจกของที่ระลึกต่างๆเยอะมาก
ที่จำได้แม่นมีอยู่เที่ยวบินหนึ่งบินจากกรุงเทพฯไปญี่ปุ่น ปรากฏว่ามีผู้โดยสารอยู่ 2 คน (หัวเราะ) คือเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นซึ่งบินกลับไปเยี่ยมบ้าน แต่ละเที่ยวบินจะมีแอร์โฮสเตส 2 คน เราก็ดูแลผู้โดยสารแบบตัวต่อตัวเลย เสิร์ฟอาหารทุกอย่างเสร็จก็ยังเหลือเวลาอีกเยอะเลยปรับเอนเก้าอี้ให้ผู้โดยสารนอนพักผ่อน เอาหมอนเอาผ้าห่มมาห่มให้เสร็จสรรพ เรียกว่าดูแลอย่างราชาเลย(หัวเราะร่วน)"
ขณะที่จำนวนพนักงานของสายการบินแต่ละแห่งก็มีไม่มากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พนักงานของบริษัทการบินไทยฯ ในช่วงก่อตั้งก็มีจำนวนพนักงานเพียง 200-300 คนเท่านั้น และถ้านับเฉพาะลูกเรือหรือพนักงานที่ทำงานภายในเครื่องบิน capton(นักบิน) , copilot (นักบินผู้ช่วย), เนวิเกเตอร์ (ผู้ที่ดูทิศทางบิน), Flight Engineer (ช่างที่ดูแลและควบคุมเครื่องยนต์) , สจ๊วต และแอร์โฮสเตส แล้วก็มีเพียง 78 คนเท่านั้น ขณะที่ปัจจุบันการบินไทยพนักงานทั้งหมดถึง 20,000 คน และมีลูกเรือจำนวนประมาณ 4,000 คน
ปากคำอดีตกัปตันการบินไทย
ชาญวิทย์ ลิ้มตระกูล อดีตกัปตันการบินไทย เขาเป็นพนักงานคนที่ 89 ของการบินไทย ซึ่งเข้าทำงานก่อนที่บริษัทจะมีเครื่องบินลำแรกเพียง 2 เดือน บอกเล่าถึงไฟลต์บินอันประทับใจของเขากับสนามบินดอนเมือง ว่า
" ผมจำได้แม่นเลยว่าเริ่มเข้าทำงานที่การบินไทยเมื่อวันที่ 29 ก.พ.2503 ก่อนที่เครื่องบินลำแรกของการบินไทยจะมาถึงแค่ 2 เดือน และเริ่มบินเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 1 พ.ค.2503 ช่วงแรกการบินไทยมีเครื่องบินแค่ 3 ลำ แต่เที่ยวบินของเรายังน้อยอยู่คือบินเฉพาะในเอเชียจึงไม่มีปัญหา การทำงานก็อาจจะลำบากกว่าปัจจุบันเพราะเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆยังไม่ทันสมัย"
สำหรับเครื่องบินที่ใช้ในสมัยนั้นยังเป็นเครื่องบินใบพัด 4 เครื่องยนต์ ที่มีความเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของเครื่องบินไอพ่นที่การบินไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นในการบินไปต่างประเทศแต่ละครั้งจึงต้องมีการแวะพักเติมน้ำมันระหว่างทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าปัจจุบันมาก โดยเส้นทางที่การบินไทยบินไปต่างประเทศนั้นยังจำกัดอยู่แค่ในย่านเอเชีย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง ไทเป ญี่ปุ่น อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ
มาโนชญ์ เล่าถึงบรรยากาศภายในสนามบินดอนเมืองในสมัยก่อนว่า เมื่อสมัยที่มีการบินไทยใหม่ๆ คือเมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว คนไทยที่ไปส่งญาติที่จะเดินทางไปต่างประเทศ หรือรับลูกหลานที่เรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ จะนิยมนำพวงมาลัยไปคล้องคอเพื่อรับขวัญ เราก็จะเห็นคนไทยที่เพิ่งลงจากเครื่องมีพวงมาลัยดอกดาวเรืองคล้องคอกันเป็นแถว
ลาก่อน "ดอนเมือง" ที่ผูกพัน
ตุ้ม พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินของสายการบินไทย เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ทำงานอยู่ที่สนามบินดอนเมืองมานานกว่า 16 ปี มีความผูกพันกับดอนเมืองเป็นอย่างมาก ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ ณ วันนี้ดอนเมืองจะกลายเป็นเพียงอดีตสถานที่ทำงานเพราะต้องย้ายไปทำงานยังที่ใหม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิว่า
"ความผูกพันที่มีต่อดอนเมืองนั้นมีมาก เพราะว่าทำงานที่นี่มานาน เสียดายมากที่ดอนเมืองถูกปิดลง แต่ว่าจริงๆ แล้วก็อยากไปที่ใหม่ คืออยากให้ย้าย เพราะว่าตอนนี้ที่ดอนเมืองรองรับผู้โดยสารได้ไม่พอ มันจะแน่นมาก พื้นที่มันคับแคบไปแล้ว"
ในส่วนของเรื่องการเดินทางไปยังสถานที่ทำงานใหม่ที่สุวรรณภูมินั้น คุณตุ้มได้บอกว่า เรื่องการเดินทางนั้นมีความลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะว่าต้องมีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ในส่วนของเรื่องค่าทางด่วน และเรื่องของการเดินทางไปที่ทำงานใหม่ที่มีความลำบากมากยิ่งขึ้น
"การเดินทางไปที่ทำงานใหม่ที่สุวรรณภูมิ ต้องตื่นนอนให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมง เพราะว่าตอนที่อยู่ที่ดอนเมือง คือเราขับรถไป จอดรถที่ใต้ตึก แล้วเราก็ขึ้นทำงานได้เลย แต่พอย้ายไปที่ใหม่ที่จอดรถจะอยู่ห่างจากที่ทำงาน เราจะต้องโบกรถไปเอง คือจะมีรถเวียนพาไปส่ง แต่ว่าเราก็ต้องลำบากมากขึ้น"
ครั้นพอถามถึงความเห็นส่วนตัว คิดว่าสถานที่ทำงานใหม่สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ตุ้มบอกว่า เท่าที่ดูสภาพการณ์ล่าสุดตอนนี้ มีความคิดเห็นว่ายังไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นในวันเปิดอย่างแน่นอน
"ตอนแรกก็รู้สึกตื่นเต้นอยากไปมากที่สุวรรณภูมินี้ แต่พอได้ข่าวว่ายังไม่พร้อมในเรื่องการเดินทาง คือเหมือนต้องปรับตัวเองใหม่หมดเลย ก็เลยไม่ค่อยอยากไปแล้ว ถึงแม้จะเคยไปดูสถานที่มาก่อนแล้ว"
ก่อนจากตุ้มยังได้ฝากไว้ถึงสนามบินดอนเมืองว่า อยากจะให้เปิดสนามบินดอนเมืองไว้ โดยน่าจะทำเป็นโดเมสติก เป็นชาร์เตอร์อะไรก็ได้ ให้แบ่งเบาจากสุวรรณภูมิมาลงที่ดอนเมืองบ้าง เพราะดูแล้วสุวรรณภูมิก็คงรองรับไม่ไหวเหมือนกัน
* * * * * * * * * * * * *
เรื่อง - ทีมข่าวท่องเที่ยว-ปริทรรศน์