"พอทำไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่การปกป้องอาชีพแล้ว แต่มันคือการปกป้องชาติ" นี่คือคำยืนยันของ อัญชลี ไพรีรัก นักข่าวและพิธีกรฝีปากกล้าแห่งเวทีพันธมิตรฯ
.....
ในบรรดาคนหลายคนที่ออกมาแสดงจุดยืนทางความคิดที่มีความต้องการจะโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ" ที่เหล่ากองเชียร์รักษาการนายกฯ ไม่สบอารมณ์มากที่สุด และอาจจะถึงขั้นหมายหัวขึ้นบัญชีดำไว้เป็นอันดับต้นๆ นอกจากเหล่าชายอกสามศอกทั้งหลายแล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่าจะต้องมีชื่อของสื่อมวลชนหญิงน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ อย่าง "ปอง อัญชลี ไพรีรัก" รวมอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
กว่า 20 ปีที่ผ่านมาของการทำงานในฐานะ "คนข่าว" ตัวจริงที่ผ่านสารพัดร้อนสารพันหนาว เข้าไปสัมผัสมาแล้วทุกสื่อฯ ทั้งหนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ อินเทอร์เน็ต ฯ เจอะเจอกับคนมากมายหลากหลายวงการ ฯลฯ เมื่อถามว่าช่วงไหนของชีวิตของเธอที่ถือได้ว่าหนักหนาสาหัสที่สุด อัญชลีตอบแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าตั้งแต่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับคนที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" นี่เอง
อาวุธร้ายสำหรับชายชาญของอิสตรีส่วนใหญ่อาจจะอยู่ที่เสน่ห์แห่งเรือนร่าง แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ ความฉลาด ปัญญา และฝีปากกล้าต่างหากคือศาสตราสำคัญที่เธอถือ
สรรพคุณของอัญชลีถึงกับทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องยกฉายา "อีแหบหน้าเหี่ยว" ให้
ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นที่ชวนอาเจียนถึงความเป็นนักประชาธิปไตยที่ประกาศเดินตามกฎเกณฑ์ทุกอย่างของตัวผู้นำประเทศบ้านเรา ขณะที่เรื่องจริงชีวิตจริงของผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ตรงกันข้ามกับคนคนนี้คือการต้องเผชิญกับการถูกคุมคามในทุกๆ รูปแบบ
หลายรายนักหนาสาหัสถึงขั้นจะถูกเล่นกันถึงชีวิต "อัญชลี" เองย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
แม้จะโดนผลกระทบจากวิชาใต้ดิน + บนดิน จนต้องถูกพักงาน ขู่ฆ่า เพื่อนหนีเพราะกลัวตาย ขวัญผวากับเสียงโทรศัพท์ยามดึกดื่นวิกาล ถูกสร้างให้เป็นนางมารร้ายทำบ้านเมืองวุ่นวาย ฯลฯ ทว่าน่าคิดทีเดียวว่า เพราะอะไร? หรือเหตุผลอันใด? ที่จนถึงวันนี้อัญชลีถึงไม่หยุดในสิ่งที่ตนเองทำ ตรงข้ามเธอกลับเดินหน้าอย่างห้าวหาญ เก่งกล้า ท้าทาย จนดูราวกับไม่กลัวเกรงต่ออิทธิพลของเหล่าบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายแต่อย่างใด
คำถามที่ว่านี้ คงจะไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่าตัวของเธอเอง...
.....
เริ่มเป็นศัตรูกับคนที่ชื่อ "ทักษิณ" ตั้งแต่เมื่อไหร่?
"วิจารณ์ทักษิณก็ตั้งแต่วันแรกของทักษิณน่ะค่ะๆ ได้วิจารณ์มาเรื่อยเพราะว่าได้ดูจากนโยบาย รวมกับประวัติดั้งเดิมเอามารวมแล้วรู้สึกว่าเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยข้อกังขา น่าสงสัยและอยากได้คำตอบ แต่ทุกครั้งที่ถามไปในฐานะสื่อมวลชนก็ไม่ได้คำตอบก็ยิ่งเพิ่มพูนความน่าสงสัยเพิ่มมากขึ้น ก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามธรรมดาเพราะเห็นว่าวิจารณ์ได้"
"ท่านก็บอกอยู่ว่าวิจารณ์ท่านได้ เราก็เชื่อด้วยความปักใจคนที่มีความคิดทันสมัยเพราะแกโมเดิร์นไนซ์ เราก็เลยวิจารณ์แหลกเลย พอวิจารณ์ไปเรื่อยๆ 4 ปี ผ่านไป จนกระทั่งจนเกิดการเลือกตั้งในสมัยคุณทักษิณ พรรคไทยรักไทยชอบเรื่องวิทยาศาสตร์เขาจะทำโพลทำข้อมูลตัวเลขอะไรมาเยอะแยะไปหมด แม้ว่าบางครั้งจะมีคนที่ชอบไสยศาสตร์อยู่มากก็ตาม (หัวเราะ)"
"เขาทำข้อมูลในช่วงที่เขาเป็นรัฐบาล เขาทำเรื่องผู้ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของสื่อ เขาจะแบ่งเป็นหมวดหมู่เราก็อยู่ในนั้นด้วยเพราะในฐานะสื่อ ตอนนั้นเราดีใจนะที่เราเอง เออ...เป็นคนที่มีเรตติ้งต่อคนดูคนฟัง แต่ดีใจได้ไม่นานรายการโดนปิดค่ะ ตอนนั้นจัดอยู่ที่ 96.5 ผนวกกับเรื่องของคุณเอกยุทธ (เอกยุทธ อัญชันบุตร)เพราะเป็นนักข่าวที่ไปเจอคุณเอกยุทธ เราไม่ใช่คนแรกนะที่ไปเจอแก มีนักข่าวไปเจอคุณเอกยุทธก่อนหน้าพี่แล้วหลายคน แต่นักข่าวบ้านเราเนี่ยสวมหมวก 2 ใบ"
"ใบหนึ่งก็เป็นกระบอกเสียงให้กับนักการเมือง นักข่าวพวกนี้ไปเจอเอกยุทธก็ถูกขอร้องไม่อยากให้เอาข่าวไปเขียน แต่เราไม่มีหมวกหลายใบไง เป็นลูกสาวชาวบ้านธรรมดา เราพูดได้ตรงไปตรงมา เราก็ทำข่าวเอกยุทธแต่ดันโดนหาว่าเป็นพวกเดียวกัน ใช้สื่อจับมือกับเอกยุทธทิ่มแทงรัฐบาลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตอนนั้น เขาสั่งปิดรายการ หาข้ออ้างมาสารพัด"
"สัมภาษณ์ คุณชวน หลีกภัย ก็มาว่าเราว่าเราเป็นพวกประชาธิปัตย์ กล่าวหาเราว่ารับงานมาลบล้างพรรคไทยรักไทย หาว่าเราเป็นพวกบ้าหิวเงินมาปิดรายการเรา เราก็ยโสล่ะนะ เราก็ทำรายการที่มีชื่อเสียง แน่นอน ฉันเดินออกไปก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไปจัดที่ไหนก็ได้ เพราะทุกปีก็มีคนมาซื้อตัวตลอด แต่ตอน 2547 น่ะเดินไปไหนไม่มีใครกล้าจ้างเลย เพื่อนที่เคยเป็นเพื่อนเขาบอกว่าขาดเหลือจุนเจือได้แต่คงให้งานทำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นนึกเลยว่าเฮ้ย...ใครก็ฟังฉัน ใครก็ขาดฉันไม่ได้ ทำไมฉันถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้ เพื่อนก็เลยบอกว่าเขาคงเอาฉันตายแน่ถ้าเอาแกเข้าทำงาน เป็นแบบนี้ตลอด"
"จนเข้าทำงานกับเอเยนซียักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งทำงานเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์ พอเจ้าของเขารู้ว่าเรามานั่งทำงานในบริษัทเขาแทนที่เขาจะดีใจว่าเราตั้งใจทำงานแทนที่เขาจะชื่นชมเรา กลับบอกกับเพื่อนเราที่พาเราไปทำงานนั่นแหละบอกว่าหลังจากนี้ไปให้ปองมาทำงานฟรีแลนซ์ก็แล้วกัน เพราะเขารับงานรัฐบาลมาเขาไม่อยากให้รู้ว่าเราทำงานที่นี่ ไปกินข้าวบ้านเพื่อนพ่อแม่เพื่อนยังกลัวเลย ไปหาเพื่อนที่ทำงานเพื่อนกลัว โทรศัพท์หาเพื่อน เพื่อนบอกขอโทร.กลับด้วยพีซีที กลัวเขาดักฟัง หางานทำที่ไหนไม่ได้ แต่ก็ยังมีเพื่อนอยู่บ้าง สถานการณ์ครั้งนั้นทำให้เรารู้ว่าใครมิตรใครศัตรู แยกคำว่าเพื่อนกับคนรู้จักชัดเจนเลยน่ะ คนที่อยู่กับเราในวันนี้ ใครที่ให้โอกาสเรากลับมายืนในที่เปิดเผยบนแสงสว่างอีกครั้งหนึ่งชั้นจะตอบแทนพวกแกให้ยิ้มจนถึงรุ่นหลานๆ เลย"
ท้อจนต้องเตรียมหนีไปเรียน?
"จากนั้นมาก็มีพี่แนะนำว่าถ้างั้นก็อย่าอยู่มันเลยไปเรียนเหอะ เราก็มาเตรียมตัวเรียนภาษาอังกฤษเตรียมสอบโทเฟล ไม่นานคุณประชัย (ประชัย เลี่ยวไพรัตน์)เจ้าของทีพีไอก็เรียก ตอนนั้นเขาก็บู๊ล้างผลาญต่อต้านคุณทักษิณเต็มที่ คุณประชัยก็เลยทำวิทยุชุมชนบนยอดตึกทีพีไอ เราก็ไปจัดที่ 92.25 นั่นคือวิทยุชุมชนคนรักประชาธิปไตย อ.สมาน ศรีงาม เป็นคนต้นคิด พี่เข้าไปจัดให้มันเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แบ่งให้มันชัดเจน"
"ก็ดำเนินการไปท่ามกลางความกระท่อนกระแท่น ถูกคุกคามโดนกลั่นแกล้งสารพัดแหละ เราก็ยืนอยู่กลางแดดเลยตอนนั้นน่ะ รัฐบาลเขาเข้มแข็งมาก เราก็เหนื่อยนะตอนนั้น และก็ยอมรับอย่างหนึ่งว่าเรากับคุณประชัยก็เรียนรู้กันมาน้อย ต่างเรียนรู้กันน้อยไป คือเวลารบเราก็ต้องการคนที่หัวใจที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางที่เห็นกันตรงๆ ตายแทนให้ได้ เราก็ทำเพื่อปกป้องอาชีพจริงๆ ไง แย่มากๆ ตอนนั้นเพื่อนก็ต้องเขียนจดหมายเลยน่ะ เพราะเขาก็กลัวตาย"
"เราโดนรังแกเสียจนกระทั่งเราขยับไปทางไหนไม่ได้ พอทำไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่การปกป้องอาชีพแล้ว แต่มันคือการปกป้องชาติ เราตัวนิดเดียวน่ะแต่ก็คิดการใหญ่ทำวิทยุชุมชนรุ่นแรกๆ เราทำคนเดียวเลย มองไปข้างหลังไม่เจอใครมันก็ท้อนะ บางทีหนีตายไปนอนโรงแรมจิ้งหรีดก็มีถูกตามจับจากใครสักคนที่เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร"
สื่อคนอื่นไม่เห็นเขาทำถึงขนาดนี้ อะไรทำให้เราต้องสู้มากกว่าคนอื่นๆ?
"มันถึงจุดนึงแล้วไง เราต้องบ้าไปแล้วถ้าเราปล่อยให้คนอยู่เหนือกฎหมาย มันโดนรังแกเสียจนไม่ไหวแล้ว เราคิดใหญ่ทั้งที่เราตัวเล็ก เรื่องม็อบนี่ แรกๆ เราก็จัดมาแล้ว มีผู้ใหญ่บอกอย่าเรียกม็อบ เราต้องเรียกว่าแจ๊ซอินเดอะพาร์ก พี่จัดแจ๊ซ ครั้งที่ 1 ก็ให้ลงทะเบียนเลยหวังว่ามาร้อยคนก็มากันเกินนะ คนไม่ได้เข้าโวยวายกันใหญ่ ก็จัดคล้ายๆ กับเมืองไทยรายสัปดาห์นี่แหละ จัดไปจัดมาตำรวจสันติบาลตามค่ะ จัดจนไม่มีใครให้จัดเลย บางที่รับปากให้จัดเจอโทรศัพท์ขู่ก็ไม่ให้จัดซะอย่างนั้นแหละ บางทีมีสายโทรศัพท์โทร.มาถามเลยนะว่าจะยืนข้างใคร"
"วันนั้นก็ทำเสื้อยืดแจกเลยนะ เสื้อหยุดโกงได้ไม่ต้องเดี๋ยว ทำหลายอย่างมาก ทำกับคนในคลื่น 2 - 3 คน จนกระทั่งคนมาม็อบเยอะมากเราขนลุกเลย ตอนหลังขอจะจัดที่สวนลุมฯ เขาไม่ให้ เริ่มโดนตามจนหนักๆ เข้าตามคนที่บ้านด้วย อะไรก็ตามที่กระทบที่บ้านเราก็เริ่มกลัวแล้ว เพราะที่บ้านมีเด็กเล็ก 5 คน ลูกของพี่ชายเราเอง เขาตายเราก็เลยเอาเด็กมาเลี้ยงตั้งแต่เกิด มีคนแก่ที่ป่วยอีก 1 แต่ตอนนี้เขาโตและแข็งแรงกันแล้ว เราคือหัวเรี่ยวหัวแรงประมาณ 11 ชีวิต มีคนตามหลานไปก็มี บางคนก็โทร.มาขู่จะทำร้ายหลานมีขู่ว่า...ลูกหลานน่ารักนะไม่คิดจะเป็นมันเติบโตบ้างหรือ...สารพัดวิธีน่ะ เราห่วงมากรีบโทร.กลับบ้านตลอด เขาตามหัวใจของเราที่เลี้ยงมาตั้งแต่คลอดน่ะ เราก็อดทนว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไร"
"อดทนจนวันนึงเราอยู่ที่คอนโดฯ คอนโดฯ ที่ว่านี่มันลับลมคมในพอสมควรเลยแหละ พี่กลัวจนไม่กล้านั่งหันหลังให้ประตูห้องน่ะ ต้องนั่งมองไปที่ประตูห้องตลอด ได้ยินเสียงดังกึกก็ไม่หลับแล้ว สั่น...ตี 4 ของวันนั้นมีเฮลิคอปเตอร์บินลั่นเลยนะเต็มท้องฟ้าคอนโดฯ เลย มองไปข้างล่างตำรวจเต็มเลย ก็เลยลงไปดู เห็นคนตายเราก็ถามว่าใคร เขาบอกส.ส.พรรคไทยรักไทยหล่นมาจากตึกตาย เป็นข่าวใหญ่นะ ส่วนฮอลล์นั้นเขาไปจับบ่อน"
โดนขนาดนี้ กลัวบ้างมั้ย?
"ช่วงนั้นเข้าตึกทีพีไอไม่ได้ ตำรวจไปรอจับ เขาถามว่าเสาวิทยุอยู่ไหน เราก็เข้าไม่ได้ คืนนั้นกลับไปนอน ไม่สบายใจด้วยเพราะไม่มีคนช่วยเรา สองบ่ามันเหมือนเล็กเกินไปเราไม่แข็งแรงขนาดนั้น คือเรากล้าแต่ยังบ้าไม่พอ เราก็มีครอบครัวให้ต้องพะวงหลัง หลังจากถูกตามมาตลอดคืนหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาประมาณตี 2 คนในสายบอก...สวัสดีอัญชลี เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย ฝันดีมั้ย ออกมายืนที่ระเบียงบ่อยๆ น่ะ ระวังตกลงมาตายนะ...แค่นั้นแหละ เรากลัวเลย"
"รู้เลยว่ากลัวจนตัวสั่นมันเป็นอย่างไร มันสั่นขาแขนไม่มีแรง มันรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่ มันขู่ เช้าเรารีบโทร.หาเพื่อนให้มารับ เพื่อนก็มารับกลับบ้านที่ปากน้ำ ตอนนั่งกลับบ้านก็คิดในใจทำไมมันนานจัง ในใจคิดแล้วไม่เอาอีกแล้ว ความรู้สึกเหนื่อย กลัว ท้อ มันเกิดขึ้นเลยตอนนั้น เราคิดไม่ทำแล้วตอนนั้น พอกลับถึงบ้านมันโล่งเลย ไม่สนใจใครเลยนอนเหมือนตายเลย"
"เราว้าเหว่ เราคนเดียวเลย ไม่มีคนช่วย ทำคนเดียวมันเคว้ง นั่งนิ่งๆ คิดอะไรไปเรื่อยๆ คิวที่จะไปเรียนต่ออเมริกาก็เปลี่ยนแล้ว ก็ไปเรียนภาษา เรียนขับรถไปเรื่อย ผู้ใหญ่บางคนก็บอกให้หยุด พี่เลียนแบบคุณเปลว สีเงิน (เจ้าของหนังสือพิม์ไทยโพสต์) เลียนเรื่องความดีงาม เรียนรู้อุดมคติ จากการทำงานที่เรายึดถือเป็นครู วัตรปฏิบัติของแกเราจะทำให้ได้ และยังมีพี่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่เขาดูแลพี่มาตลอด ทำให้เรายืนอย่างสง่างามในสังคม เดินไปไหนไม่ต้องอายใคร ไม่ไร้สมอง ผู้คนต้องศรัทธาไม่ใช่ติฉินนินทา"
เตรียมจะไปเรียน(อีกครั้ง)?
"มีญาติผู้ใหญ่เสนอทุนการศึกษาในระดับหนึ่งจะให้เราไปเรียนปริญญาโท และมีคนดูแลครอบครัวให้ เราก็เลยอยากไป ใจคิดเลยตอนนั้นว่าหรือว่าบ้านนี้เมืองนี้มันต้องมีชะตากรรมแบบนี้นะ หลายคนก็รักคุณทักษิณ ใครก็เกรงใจในน้ำเงินไปหมด กลัวในบารมีของคนบางกลุ่มไปหมด ไม่มีใครลุกมากล้าในวิชาชีพสื่ออีกต่อไป"
"ประโยชน์ส่วนรวมไม่มีแล้ว ทีวี วิทยุ พอกันหมด เราอยากหยุดบทบาทของเราเลยนะตอนนั้น หันมาเรียนภาษาอังกฤษแบบจริงจัง ตอนนั้นก็เขียนหนังสืออยู่ที่ไทยโพสต์ด้วย พอดีก็มีม็อบที่สนามหลวงพี่ได้เขียนเรื่องแล้วพี่ก็ไปเจอพี่จิระ (จิระ ห้องสำเริง) เขาบอกเขาทำ astv และเขาคิดว่าเราน่าจะทำได้ พี่จิระไปถามญาติผู้ใหญ่นั่นคือคุณแน่งน้อย ปัญจพรรค์ ภรรยาคุณอาจินต์ พี่แน่งน้อยก็บอกว่าเราไปเรียนเนี่ยเราจะไปเรียนแล้วกลับมาทำอะไร เราก็บอกจะกลับมาทำข่าวเหมือนเดิม"
"พี่แน่งน้อยบอกปองต้องทำเรื่องนี้ให้จบก่อนไปเรียน แกบอกว่าวิกฤตของประเทศไทยตอนนี้แย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น ตายไปแล้วเกิดใหม่เราก็จะไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้ที่คนกลุ่มหนึ่งทำให้คนมอมเมาระบบทุนจนโงหัวไม่ขึ้น เขาอยากให้เราเข้าไปมีส่วนร่วม และเขาบอกเลยว่าเราไม่ควรไปในช่วงวิกฤตแบบนี้ เรียนไปเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าช่วยชาติได้ตอนนี้ก็ควรช่วยก่อน หันไปก็เจอคุณสนธิ เพราะพี่แน่งน้อยเป็นนักเรียนอเมริการุ่นเดียวกันกับคุณสนธิ"
ลุกขึ้นมาสู้ใหม่
"เราก็บอกกับทางโรงเรียนตอนนั้นว่าค่าเทอมที่จ่ายไปแล้วเนี่ยยังไม่ไปเรียนนะ ขอดร็อปก่อน โรงเรียนเลยบอกว่าตอนมาถึงในห้องเรียนก็ทำวิทยานิพนธ์มาเลยนะ เรื่องระบอบทักษิณกับเสรีภาพสื่อมวลชน ไม่ต้องมารอทำที่นี่ นั่นคือเรื่องที่พวกเราอยากอ่าน ก็มาทำงาน ที่ astv วิ่งไปสนามหลวงบ้าง ทำทีวีบ้าง พี่หญิงบางกอกโพสต์มาปราศรัยเขาเลยบอกว่าน่าจะมีข่าวมาให้คนในม็อบได้รู้เห็นบ้างนะ ปองทำไมไม่ขึ้นเวทีไปเล่าข่าวล่ะ"
"แล้วช่วงตอนนั้นคุณสนธิก็กำลังอยากเปลี่ยนอะไรบนเวทีด้วย พี่ก็เล่าให้ฟัง พี่สนธิบอกแล้วมัวมาพูดอะไรอยู่ล่ะ ขึ้นเวทีเสียทีสิ...(หัวเราะ) เราก็ลาก บุญยอด สุขถิ่นไทย ขึ้นไป ซึ่งบุญยอดก็โดนเรื่อง ส.ว.พันธมิตรอีก ซึ่งคนละเรื่องเลย ...(หัวเราะ) เราก็เอาข่าวทั้งหมดของnews 1 มาอ่านใส่ลีลาเฉพาะตัว เล่นกับคนฟัง ก็เป็นที่ชื่นชอบของคน เราก็ทำมาเรื่อย ทำที่สนามหลวง มิสกวัน มัฆวาน"
"ตอนไปพารากอนพี่ก็เอาเจ๊ที่สีลม (เจ๊ไก่ ตะโกนไล่ทักษิณ) น่ะมา ทีมงานเก่งไปตามตัวมาจนได้ ฝ่าคนมาเลย วันนั้นคนเฮมาก ขนลุกมากๆ ทีนี้ก็ไปสวนลุมฯ ทุกอาทิตย์เลย เริ่มออกฤทธิ์ก็เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ก็ออกจากโต๊ะข่าวเมืองไทย จดหมายถึงบุชด้วยก็เกิดจากเรา กระฉ่อนจริงๆ เราเลือกเรื่องอเมริกาขึ้นมา เราก็ชวน อ.ไกรศักดิ์ (ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ)มาเลย เราต้องรู้ว่าเรื่องไหนมันเป็นจุดเด่น อะไรมันเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ต้องรู้ เช้าอีกวันก็หน้าหนึ่งทุกเล่มน่ะ มาถึงตอนนี้ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเขาถึงตามล่าเรา...(หัวเราะ)"
"แล้ว ต่อพงษ์ เศวตามร์ เนี่ยเขาชอบไปนั่งต่อปากต่อคำกับพี่ เราก็เลยเอาไปเถียงกันออกอากาศ (วิทยุชุมชนเจ้าฟ้า เอฟเอ็ม 97.75 เวลา 15.00 - 17.00 น.) ในรายการติดดาบปลายปืน ตอนนั้นก็บอกกับพี่สนธิว่าน้องรู้ว่าพี่เหนื่อย พี่เหนื่อยน้องเหนื่อย พี่รบน้องรบ พี่เดินน้องเดิน พี่หยุดน้องจะดูพี่ จะทำอะไรก็ได้ เสิร์ฟน้ำ ทำอะไรทำได้หมด ขอให้ได้มีส่วนร่วมกับกิจการที่เราจะพาชาติไปให้พ้นภัยพิบัติ เราเคยทำ เรารู้ว่ามันเหนื่อยอย่างไร ตอนนั้นเราไม่แข็งแรงพอ ตอนนี้พี่สนธิแข็งแรงกว่าหนูจะช่วยพี่เอง เราบอกแบบนี้เลย เรารู้ว่าเราปากเป็นเอก(หัวเราะ)"
"เชื่อมั้ยจัดรายการมีคนเอาขนมมาให้เยอะแยะ ของดีๆ ที่ไหนมีก็เอามาให้ หยุดรถฟังก็มีเพราะกลัวคลื่นไม่ชัด แค่นี้เราก็ดีใจแล้ว กลับมาเที่ยวนี้ได้ให้ข้อมูลกับประชาชน มาถึงวันนี้จัดมาเรื่อย ติดดาบปลายปืนก็ได้รับการตอบรับดีมากๆ จันทร์ - เสาร์ วันศุกร์ถ่ายทอดเมืองไทยรายสัปดาห์ พอมาวันเสาร์เราเอาเสียงคุณทักษิณที่พูดในรายการของเขามาเปิดว่ากันวรรคต่อวรรคเลย แลกหมัดกันเลย หลายคนก็บอกว่าแรง แต่เราโตมากกว่า พอมีคนมาบอกเราว่าไม่ต้องห่วงครอบครัวพี่จะดูเอง เราก็ลุยเลย ตามหลังคุณสนธิพี่ไม่เคยกลัวอะไรอีกเลย พี่จิระจะเตือนตลอดให้ระวังตัว แต่พี่ก็ไปไหนตามปกตินะ ไปไหนมาไหนคนเดียว พี่ไม่ใช่คนซ่าหรือแจ๋นอะไรมากมายนะ ไม่ออกไปเที่ยวรุ่มร่าม"
ใช้ชีวิตเดินห้างได้ตามปกติมั้ย?
"พี่ไม่เดินห้างอยู่แล้ว ชีวิตประจำวันคืออ่านหนังสือ ดูหนังที่เป็นวีซีดี ไม่ดูหนังโรงเพราะขับรถไม่เก่ง อยู่บ้าน จะออกมาก็ต่อเมื่อจัดรายการ ซื้อหนังสือก็สั่งซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ตหลายปีแล้ว ร้านค้า เสื้อผ้า ชุดชั้นใน ก็ไม่เคยออกไปซื้อเพราะพี่จะใส่ของพี่สาว ไม่ใช่คนแต่งตัวไง ถ้าเรื่องกินเนี่ยเราจะไป เราจะกินดีๆ เพราะถือว่ามันคือรางวัลกับชีวิต พี่ชอบกินขนมนมเนย อาหารจีน อาหารเกาหลีแบบนี้"
"พี่มีพี่ชาย แกไม่ค่อยออกจากบ้านสุขภาพไม่แข็งแรง เขาดูแลพ่อ เขาไม่เคยออกจากบ้านเลยนะอย่างมากก็เดินไปซื้อของร้านชำข้างบ้านไม่กี่ก้าวหรอก เชื่อมั้ยตอนที่ฟรีทีวีเนี่ยตัดสินใจถ่ายทอดเรื่องคุณสนธิ เขาขอให้หนังสือพิมพ์ไปส่งที่บ้านเลย สนใจการเมืองเลย มีวันหนึ่งถามเราว่าสวนลุมฯ ไปทางไหน วันที่คุณสนธิเดินไปทำเนียบ เขาก็ไปนะ ที่บ้านใจสั่นแทบตาย คือ 10 ปี ไม่เคยออกจากบ้าน เขามาสวนลุมฯ ก่อนพี่มาอีก"
"หลานๆ ก็เชียร์ ครูที่โรงเรียนถามเขาว่าเป็นอะไรกับอัญชลี ไพรีรัก เขาบอกว่าเป็นอาด้วย เป็นแม่ด้วย แล้วเขาก็ตอบครูว่าเราทำม็อบด้วย...(หัวเราะ) แต่เขาก็ไม่กลัวนะ เชียร์เราให้ทำด้วย พ่อจะบอกคนดีผีคุ้ม ความดีจะเป็นเกราะป้องกันตัว คนที่เป็นห่วงพี่กลับเป็นญาติผู้ใหญ่ เขาเป็นห่วง บางคนยุให้ไปเรียน แต่พี่ไม่ใช่คนประมาท เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านทุกวัน เลิกไปปาร์ตี้ที่ไหนทั้งสิ้น ไม่อยู่ในที่ล่อแหลมเสี่ยงภัย คนบ้ามันมี เราไม่อยากถูกตบหรือถูกทำร้ายร่างกายด้วยน้ำมือคนบ้า มันเสียฟอร์มนะ โดนคนบ้าตบน่ะ"
"จะเจอเพื่อนทีเขาก็จะไปหาเราที่บ้าน ชีวิตก็มีแค่เนี้ยะ เช้าดูแลพ่อ ก็ขับรถมาจัดรายการแค่นี้เอง ไม่เคยคิดอิจฉาริษยาใคร ไม่เคยคิดชิงดีชิงเด่น พี่ไม่ใช่คนประจบสอพลอ ณ วันนี้เข้าใจพี่สนธิว่าเขาเหนื่อยอย่างไร เพราะเราก็เคยทำแบบนี้มา มันลำบากแค่ไหนเรารู้ วันที่เขาประกาศว่าเจ๊งเป็นเจ๊งตายเป็นตาย เราแอบยิ้มเลย มันต้องเจ๊งแน่ค่ะ เราอยู่ไทยโพสต์เราเห็นมาแล้วไงว่ามันเป็นอย่างไร เรารู้ว่าพี่เปลว สีเงิน เป็นอย่างไร เขาทนที่ทำงานยอมจนน่ะ มีใครเห็นมั้ยล่ะ แต่หลายอย่างก็โดนกลั่นแกล้งเสียจนแทบอยู่ไม่ได้"
เคยมีคนชวนไปทำช่องอื่นมั้ยรายการทางฟรีทีวี?
"ครั้งหนึ่งเคยโดนมาชวนไปให้เป็นสมาชิกพรรค อีกครั้งหนึ่งก็ช่อง 3 มาตามไปโปรโมตเยอะมากแต่มันอยู่ในจุดที่เราไม่ค่อยชอบ ใจเราฝักใฝ่อยู่ที่ 96.5 อยู่ มาครั้งที่ 3 ที่คนติดต่อมาเป็นรายการผู้หญิง ทำกับดวงตา ตุงคะมณี เช้าทำวิทยุกู้ชาติด่ารัฐบาลบ่ายตอบปัญหาความรักความใคร่ ครีมทารอบดวงตา เราไหว้พี่หน่อง อรุโณชาเลย ซึ่งตอนนั้นเขาติดรายการวิทยุเรา อยากให้เรามาจัด แต่เราไม่ไหวจริงๆ พี่หน่องลืมไปว่าที่เขาติดรายการเราน่ะรายการการเมือง เขาก็เลยหารายการการเมืองก็ช่อง 3 อีกนั่นแหละ รายการการเมืองแต่เป็นรายการที่เราไม่ชอบน่ะ เราไม่อยากจัดรายการที่ดูถูกคนดู ใครที่ไม่ใช่ลูกป๋าเปลว(เปลว สีเงิน) ไม่รู้สึกหรอก เราโตมาแบบนี้เขาสอนเราด้วยอุดมการณ์ถูกต้องดีงาม ไม่ใช่คนที่โดนเลี้ยงมาแบบชื่อเสียงเงินทองจอมปลอม คือมีก็ได้ไม่มีก็ได้เงินน่ะ"
อยากฝากอะไรกับพี่น้องสื่อมวลชนมั้ย?
"พี่ไม่กล้าฝากอะไรไปถึงนะ ถือเสียว่าเราต่างโตด้วยกันแล้วต่างมีความรู้ความคิด และความอ่าน บรรดารุ่นใหญ่ทั้งหลายก็ต่างคิดได้เอง ถ้าวันนี้ยังต้องปกป้องปีศาจในคราบเทวดา ถ้ารุ่นเดียวกันพี่คงจะบอกว่าไปตายเสียถ้ารอเงินเขารอเศษเนื้อที่เขาจะให้โดยที่ไม่ดูดำดูดีกับชาติ อันตรายมันเข้ามาแล้ว อย่าเรียกตัวเองว่าหมาเฝ้าบ้านอีกเลย"
* * * * * * * * * * * * *
เรื่อง - ทีมข่าวบันเทิง