นอกจากรอลุ้นผลรางวัลซีไรต์แล้ว นาทีนี้ประเด็นร้อนที่สุดของวงวรรณกรรมบ้านเราคงหนีไม่พ้นกรณีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์งานเขียนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และถี่เสียจนน่าใจหาย หลายฝ่ายต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องและตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตสำนึกของคนทำงานเขียนยุคนี้ ฤาว่า 'ตัวตน' และ 'หัวคิด' ของนักอยากเขียนรุ่นใหม่ได้ถูกหลอมละลายไปพร้อมกับความก้าวหน้าฉาบฉวยของเทคโนโลยีไซเบอร์เสียแล้ว!?
ผู้จัดการปริทรรศน์ พาไปจับเข่าคุยกับนักเขียนรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ ต่อกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นว่าแต่ละฝ่ายมีมุมมองเช่นไร และแวดวงวรรณกรรมไทยยังมีความหวังอยู่หรือไม่…
เมื่อสนามแจ้งเกิด กลายเป็นสนามรบ
ประเด็นการสร้างสรรค์และบ่อนทำลายด้วยการละเมิดนำความคิดสร้างสรรค์ของผู้อื่นมาเป็นของตนนั้นมีมานานแล้ว ตราบเท่าที่จิตมนุษย์บางพวกยังไร้ซึ่งสำนึก ทว่า ในยุคที่งานเขียนไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในโลกของน้ำหมึกอีกต่อไป โลกไซเบอร์อย่างอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นสนามแจ้งเกิดแก่นักอยากเขียนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในตัวอักษร แต่ก็ไม่วายถูกสกัดฝันด้วยการถูก 'ขโมย' ผลงานไปซึ่งๆ หน้า และง่ายดายกว่ายุคก่อนหลายเท่านัก เพราะแค่ลากเมาส์ไปบนหน้าจอก็สามารถก๊อบปี้ผลงานของคนอื่นไปได้แล้ว
สดๆ ร้อนๆ จนเป็นที่โจษขานไปทั้งสังคมออนไลน์ เมื่อมีนักลอกมือฉกาจผู้ใช้นามปากกาว่า 'Sunnyshine' ก๊อบปี้ผลงานหลายเรื่องในอินเทอร์เน็ต แถมยังส่งไปยังสำนักพิมพ์เพื่อหวังรวมเล่มอีกต่างหาก สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่องตัวจริงต้องรีบออกมาพิสูจน์สิทธิ์กันให้วุ่น จนกลายเป็นกรณีตัวอย่างเมื่อครั้งนี้เจ้าของเรื่องเอาจริงตัดสินใจเอาความกับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
ศศิธร ขันรุ่ง, วิริยา บุญม่วง และวรารัตน์ แดงน้อย สามสาวเจ้าของนามปากกา 'ปากกาห้าสี' ที่ถูกคัดลอกผลงานรวมเรื่องสั้นไป เป็นตัวแทนของเพื่อนๆ นักเขียนอีกสองคน ออกโรงปกป้องลิขสิทธิ์งานเขียนของตนเองในครั้งนี้ โดยมีต้นสังกัดอย่างสำนักพิมพ์มันดีให้การสนับสนุนเต็มที่ ด้วยเหตุผลที่พวกเธอบอกว่า
"เราไม่ได้ติดใจเอาความ แต่อยากจะทำให้เป็นกรณีตัวอย่าง เพราะที่ผ่านมามีกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป แล้วก็เกิดการละเมิดขึ้นมาใหม่ จึงอยากลงมือทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมบ้าง"
โดยเฉพาะศศิธรที่ใช้นามปากกาว่า 'Sadmoon' หรือพระจันทร์โศกนั้น เรียกได้ว่าเป็นพี่ใหญ่คนหนึ่งของกลุ่ม ถึงแม้จะยังศึกษาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เธอผ่านประสบการณ์ร้ายๆ มากมาย กว่าจะก้าวมาสู่ถนนนักเขียนแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะถูกดองสัญญา หรือสำนักพิมพ์โกงค่าเรื่อง แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ก็คือการถูกขโมยผลงานที่กลั่นออกมาจากสมองอย่างยากลำบากไปอย่างหน้าตาเฉยคราวนี้ถึง 3 เรื่องด้วยกัน ด้วยการกระทำของบุคคลที่ใช้ชื่อว่า 'Sunnyshine'
ยิ่งไปกว่านั้น ผลงานรวมเรื่องสั้นของพวกเธอในนามปากกาห้าสี กำลังจะได้รับการตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มันดีในเร็วๆ นี้ ผลเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีมากกว่าผลกระทบในแง่ทางจิตใจ แต่ยังหมายถึงโอกาส เวลาและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ทางสำนักพิมพ์ต้องสูญเสียไปอีกด้วย
ประไพพรรณ เหล่ายนตร์ ตัวแทนจากสำนักพิมพ์มันดี กล่าวในฐานะผู้ใหญ่ที่คอยเป็นที่ปรึกษาแก่นักเขียนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ว่า กรณีเช่นนี้ไม่เพียงสำนักพิมพ์เป็นผู้เสียหาย เนื่องจากเซ็นสัญญาเตรียมออกหนังสือในงานหนังสือคราวหน้าแล้ว แต่น้องๆ นักเขียนเองก็เข็ดขยาดต่อการโพสต์งานในเว็บบอร์ดต่อไป สำนักพิมพ์เองก็ต้องระแวงระวังว่างานชิ้นต่อๆ ไปที่ส่งมาให้พิจารณาจะมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ตามมาอีกหรือไม่ ทำให้เด็กรุ่นใหม่หลายคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสะพานสู่การเป็นนักเขียนอาชีพ ต้องพลอยเสียโอกาสตามไปด้วย จึงต้องออกมาปกป้องสิทธิ์และปกป้องกฎหมายพร้อมๆ กัน
นั่นเป็นที่มาของการแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้ สามสาวปากกาห้าสีเล่าว่า หลังจากติดต่อไปยังสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งของคู่กรณี ซึ่งได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมทั้งชี้แจงว่ายังไม่ได้เตรียมตีพิมพ์ผลงานละเมิดลิขสิทธิ์ดังที่ 'Sunnyshine' กล่าวอ้างแต่อย่างใด เพียงแต่อยู่ในขั้นตอนพิจารณาเรื่องของบรรณาธิการเท่านั้น จึงเดินทางไปแจ้งความกับ สน.ท้องที่ใกล้บ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้มาตรวจสอบ IP ที่ใช้ในอินเทอร์เน็ตของผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ที่ศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี (ศตท.) ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เมื่อมั่นใจว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับข้อมูลที่ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นจึงไปแจ้งความต่อที่กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปศท.) เพื่อรอออกหมายเรียกตัวผู้ละเมิดลิขสิทธิ์มาดำเนินการต่อไป
กลุ่มนักเขียนใหม่ที่กลายเป็นผู้เสียหายในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ตอนนี้บอกว่า คดีของพวกเธอที่กลายเป็นกรณีตัวอย่างแก่ผู้ที่ละเมิดงานเขียนอันมีลิขสิทธิ์ในอินเทอร์เน็ตนั้น จะดำเนินการมาถึงขั้นนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากเพื่อนนักเขียนในโลกไซเบอร์ โดยเฉพาะสมาชิกโต๊ะถนนนักเขียนในเว็บไซต์พันทิป นับตั้งแต่มีผู้หวังดีแจ้งเบาะแสข่าวการละเมิด ไปจนกระทั่งการติดตามตรวจสอบทั้งทางตรงและทางลับ จนทราบตัวคู่กรณีซึ่งพยายามทุกทางที่จะอ้างสิทธิ์เหนือผลงานของผู้เขียนตัวจริงให้ได้ กระทั่งจนมุมด้วยหลักฐานจึงยอมออกมาขอโทษในอีเมล์และเว็บบอร์ดในเวลาต่อมา แต่ศศิธรยังสงสัยในน้ำเสียงและเจตนาของถ้อยความขอโทษนั้น ว่ามีความจริงใจมากน้อยเพียงใด
"ส่วนในการดำเนินคดีขั้นต่อไปนั้น จะถึงชั้นศาลหรือไม่ยังตอบไม่ได้ ต้องดูว่าเขาสำนึกผิดจริงหรือเปล่า ระหว่างนี้คงจะแก้ปัญหาด้วยการเอานิยายไปโพสต์ไว้ในบล็อกส่วนตัวที่มีโค้ดห้ามลากแถบสีเพื่อป้องกันการคัดลอก"
วรารัตน์ หรือ 'วรวลัญช์' กล่าวว่า กรณีนี้อาจทำให้ท้อบ้างแต่ไม่ถอย ที่น่าเป็นห่วงก็คืออาชญากรทางความคิดทุกวันนี้อายุน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่น้องนุชสุดท้องของกลุ่มอย่างวิริยา ที่ใช้นามปากกาว่า 'ZeeZaa' และ 'Jovely' เสริมว่า อายุไม่ใช่ข้ออ้างในการใช้เวลากระทำผิดในการละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานของผู้อื่น ตัววิริยาเองก็อายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แต่ ณ วันนี้เธอมีผลงานที่ออกมาจากมันสมองและสองมือของตัวเอง โดยไม่ได้ลอกเลียนใคร วิริยาอยากฝากถึงคนที่ทำหรือกำลังคิดจะลอกงานเขียนของผู้อื่นว่า ควรคิดให้ดีก่อนทำเพราะมันทำให้วงวรรณกรรมเสื่อมเสีย
ละเมิดข้ามรุ่น
ใช่เพียงแต่นักเขียนหน้าใหม่เท่านั้น แม้แต่นักเขียนรุ่นใหญ่ที่คร่ำหวอดบนถนนน้ำหมึกมานานอย่างนักเขียนหญิงเจ้าของนามปากกา 'อาริตา' และ 'กันยามาส' ก็ยังมิวายถูกมือดีแอบอ้างนำผลงานไปดัดแปลงเป็นของตนเอง เมื่อต่อมาทางสนพ. ทราบเรื่องและตรวจสอบว่ามีมูลจริงก็เก็บหนังสือเล่มนั้นออกจากตลาด ปัจจุบันหนังสือเล่มที่ลอกเลียนผลงานของเธอนั้นไม่มีในตลาดแล้ว อาริตาไม่ได้จัดการดำเนินคดี เพียงแต่ให้ทางนักเขียนลงชื่อขออภัยเอาไว้ ว่าจะไม่นำงานเล่มนั้นวางขายหรือทำอย่างอื่น
"คู่กรณีก็เหมือนทั่วๆ ไป คือบอกว่าไม่ได้ลอก แต่ดิฉันก็พอใจกับหนังสือขออภัย คือมันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ขั้นตอนตามกฎหมายมันทำให้เราเสียเวลา และเสียความรู้สึก ตอนนั้นโพสบอกกล่าวในอินเทอร์เน็ตก็ยังโดนต่อว่าราวกับว่าเราทำผิดเสียเอง สังคมนี้แปลกอยู่ตรงที่เห็นใจคนผิด มีคนเข้าข้างคนผิด ดิฉันโดนมามากพอสมควรจนเจ็บปวดและคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่เจอกับใคร จะไม่รู้เลย ว่าเจ็บปวดแค่ไหน พอได้ยินเรื่องการละเมิดเรื่องงานของพวกน้องๆ ในอินเทอร์เน็ต จึงเข้าใจและเห็นใจเสมอ ว่าเราเจ็บปวดเสียเหลือเกิน"
อาริตาแสดงทัศนะต่อกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์งานเขียน โดยเฉพาะงานเขียนในอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาว เพราะนอกจากประเด็นเรื่องสามัญสำนึกแล้วยังรวมถึงความรู้ด้านข้อกฎหมายด้วย
"ถ้ามองในแง่ของคนทำงานและอาจจะโดนละเมิดงานไปบ้างก็บอกตรงๆ ว่ารำคาญใจ และหงุดหงิดอยู่บ้าง เพราะตัวเองก็นำเอาผลงานลงให้อ่านในอินเทอร์เน็ตแบบเต็มๆ เรื่อง ก่อนจะพิมพ์พ็อกเก็ตบุ๊ค การละเมิดในอินเตอร์เน็ตทำง่ายเสียด้วยแค่คลิกไปแปะวาง อวดว่าเป็นงานตัวเอง มันเป็นเรื่องอินเทรนด์ของเด็กๆ ไปแล้วว่าเขียนหนังสือได้เขียนเป็น การที่มีเว็บเพจฟรี สร้างไดอารี บล็อกแก๊งค์ต่างๆ ขึ้นมาก็อาจจะมีผลด้วยว่าทำให้เด็กหรือคนที่อยากจะเขียนโน่นนี่ บางครั้งไม่รู้จะเขียนอะไรก็ไปลอกงานคนอื่นมา โดยไม่รู้ว่ามันมีผลร้ายและมันเป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ อยากจะเอานิยายที่ลงให้อ่านฟรีออก แต่เห็นใจแฟน ๆ ที่ตามอ่านงานเรา เลยต้องลงต่อไป ทั้งที่รู้ว่ามันเสี่ยง"
เช่นกรณีนิยาย 'ชุลมุนสื่อรัก' ที่ลงเป็นนิยายเรื่องแรกในเน็ต ความยาว 56 ตอน ในเว็บไซต์ของอาริตาเองก็ยังถูกนำไปเผยแพร่โดยไม่ให้เครดิตผู้เขียน
"ถ้าหากเอาไปแบบบอกที่มาว่าใครเขียนก็ไม่ว่ากันค่ะ ถือว่าเผยแพร่ผลงาน คนอ่านกันหลายหมื่น กลอนบทนำของเรื่องโดนลอกไปหลายแห่ง ก็ยังใจดีเสมอ จะโหลดลงปาล์มก็ไม่ว่ากัน และไม่เคยเอาออกจากหน้าเว็บเลย เขียนแปะหัวเว็บว่าห้ามละเมิด ก็เหมือนเขียนขู่กัน แต่ต้นปีนี่เจอไปสองสามหน เจอเด็กเอาไปอ้างเป็นงานตัวเองลงในไดอารี่ ก็แค่บอกเว็บมาสเตอร์ระงับไป เด็กก็ไม่กล้าอีก กลัวผิด
แต่มีบางเว็บ น้องมาบอกว่าเจอลงในเว็บแห่งนั้น มีน้องตามไปบอกกล่าว ก็โดนตอบโต้กลับมารุนแรง และเว็บมาสเตอร์ก็ไม่เคยมีแม้คำขอโทษ แถมยังเหมือนสนับสนุนให้สาวกในเว็บมาว่าพี่ด้วยอีก ก็ปลงเหมือนกัน ตอนนี้ก็ได้แต่รอฟังว่าจะโดนลอกอีกไหม คิดว่าเจอหลายๆ หนความอดทนคงจะหมด อาจจะลุกมาจัดการรุนแรงบ้างก็ได้ ที่แน่ๆ อีกอย่างหนึ่งคือคงไม่เลิกลงนิยายเรื่องยาว แม้จะหวาดกลัวการโดนลอก เพราะเห็นใจแฟนๆ และคนไกลบ้านที่อยากอ่านนิยายไทย"
แม้ป้องกันด้วยการมีคำเตือนไว้ที่หัวเว็บอาจจะไม่ได้ผล แต่อาริตาบอกว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย และเธอยังอนุญาตเมื่อมีแฟนๆ ขอพริ้นท์เอาไปอ่าน โดยไม่ได้กลัวว่าการอ่านฟรีจะทำให้ไม่ไปซื้อหนังสือ ขออย่างเดียวคือ อย่าลอกไปขาย...เอาประโยชน์
"พูดตรงๆ อย่างหนึ่งแวดวงการลอกนี่มันมีพัฒนานะคะ ลอกได้เนียน ไม่ลอกไปทั้งหมดเอาไปแค่บางอย่าง...ก็ปวดหัวแล้ว ถามว่าจะป้องกันอย่างไร ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากกรวดน้ำให้ สัตว์ผู้ประเสริฐว่าอย่าลอกงานเลยให้มีพุทธิปัญญาคิดหาทางเอง แถมแผ่เมตตาให้พ้นจากขุมบัวในโคลนตมด้วยค่ะ ไม่มีทางทำอะไรดีไปกว่านี้ จะมัวตรวจสอบ ตามว่าใครลอกก็เสียเวลา...เสียจริต"
แต่แม้จะเคยโดนคนรุ่นใหม่ละเมิดงานเขียนบ่อยครั้ง แต่ใช่ว่าอาริตา, กันยามาส จะมองนักเขียนรุ่นใหม่ว่าไร้จรรยาบรรณเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับที่เชื่อมั่นว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยรัดกุมดีแล้ว
"การละเมิดลิขสิทธิ์เป็นทั้งคดีแพ่งและอาญา การจะฟ้องร้องหรือเรียกร้องอะไรต้องผ่านขั้นตอนมากมาย ที่เรียกว่ายุ่งยาก ไม่มีนักเขียนคนไหนอยากเข้าไปเกี่ยวข้องตรงนั้น เราจะต้องผลักดันให้รู้กฎหมายกันมากขึ้น ให้ความรู้แก่นักเรียน ปลูกฝังกันแต่แรกถึงงานลิขสิทธิ์ว่ามีความสำคัญแค่ไหน...จิตสำนึกจะต้องเกิดขึ้นก่อน บางทีหากมีใครจัดการจริงจังตามกฎหมายเสียบ้าง คงจะเป็นเรื่องที่ปรามคนที่กำลังจะทำต่อไปได้อย่างดีทีเดียว เพราะที่ผ่านมารวมทั้งตัวเองด้วยก็ยังเข้าตำราว่าไม่เอาจริง เห็นแก่โน่นนี่แล้วรำคาญใจ...เลยไม่ได้เด็ดขาด แต่สำหรับดิฉันเองคิดว่าก่อนจะไปถึงตัวกฎหมาย ควรจะให้มีสำนึกเสียก่อน เอาง่ายๆก็พอว่าให้มีหิริโอตตัปปะ ละอายและเกรงกลัวต่อการทำผิด...ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปกว่านี้"
การจดทะเบียนลิขสิทธิ์กับสำนึกผู้กระทำ
เป็นนักเขียนอีกผู้หนึ่ง ที่มีกรณีปัญหาเกี่ยวกับการถูกละเมิดลิขสิทธิ์หลายต่อหลายครั้ง ในการพูดคุยกันครั้งนี้ 'กิ่งฉัตร' อยากให้เราโฟกัสไปที่การป้องกันและแก้ไขการละเมิดลิขสิทธิ์ มากกว่าจะเอ่ยถึงกรณีที่ผ่านมา
ไม่นานมานี้ กิ่งฉัตรเพิ่งตอบรับเข้าไปเป็นหนึ่งใน 'คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการคุ้มครองลิขสิทธิ์วรรณกรรมและงานที่เกี่ยวข้อง' ของสำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งนักเขียนสาวได้เล่าถึงบทบาทหน้าที่ของเธอในคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ว่า จะดูแลในส่วนของคู่มือการใช้งานทางด้านลิขสิทธิ์ต่างๆ เพื่อเผยแพร่และเป็นแนวทางให้แก่ผู้ใช้งานวรรณกรรมที่มีลิขสิทธิ์ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนที่จะนำงานแต่ละชิ้นไปใช้ โดยทำงานสานต่อจากคณะอนุกรรมการฯ ชุดเก่าที่ได้ร่างคู่มือนี้ไว้แล้วส่วนหนึ่ง
"ตอนนี้เรากำลังทำประเด็นเกี่ยวกับการใช้ลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมในการเรียนการสอน ในคู่มือนี้ก็จะอธิบายง่ายๆ โดยไม่ได้ใช้ภาษากฎหมายว่า การที่จะดึงงานชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นงานวรรณกรรม งานเพลงหรือว่างานโสตวัสดุต่างๆ ไปใช้ในการเรียนการสอน ทางผู้สอนสามารถดึงไปใช้ได้มากแค่ไหนที่จะไม่อยู่ในข่ายที่เรียกว่าละเมิดลิขสิทธิ์ ที่เราคุยกันอยู่ก็คือว่าควรจะขออนุญาตก่อน แต่ถ้าใช้เพียงเล็กน้อยหรือเพียงบางส่วนจำเป็นแค่ไหนที่ต้องขออนุญาตก่อน ต้องดูหลายองค์ประกอบว่าอย่างไรถึงจะอยู่ในจุดที่พอใจทั้งสองฝ่าย"
กิ่งฉัตรย้ำว่า ตามกฎหมายไทยลิขสิทธิ์เป็นสิทธิ์ที่เกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยไม่ต้องจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้รับการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ ซึ่งลิขสิทธิ์เองจะเป็นประโยชน์ในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิ์ของเจ้าของ
"การจดลิขสิทธิ์ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ถูกละเมิด เพียงแต่ว่าเป็นการแสดงสิทธิเท่านั้นเองว่างานชิ้นนี้คุณเป็นเจ้าของ จะช่วยได้เวลาที่มีกรณีเหตุการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้น และทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นลิขสิทธิ์ของตนเอง ทางตำรวจก็จะตรวจสอบถึงความเป็นเจ้าของสิทธิ์มากับทางกรมทรัพย์สินทางปัญญา แต่มันจะมีช่องโหว่นิดหนึ่งตรงที่ใครจะเป็นคนมาจดก่อน สำหรับนักเขียนที่ลงนิตยสารเป็นตอนๆ ก่อนที่จะมารวมเล่มจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีหลักฐาน แต่สำหรับนักเขียนในอินเทอร์เน็ตอยากแนะนำให้เขียนให้จบก่อน แล้วเอาไปจดลิขสิทธิ์ก่อน จากนั้นค่อยเอาไปลงอินเทอร์เน็ต"
อีกปัญหาหนึ่งที่กิ่งฉัตรประสบมาด้วยตนเองก็คือ เมืองไทยยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจด้านลิขสิทธิ์อย่างมากเพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะทนายความที่เชี่ยวชาญคดีทางด้านลิขสิทธิ์
ต่อข้อคิดเห็นกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ในวงวรรณกรรมไทยตอนนี้ที่ถี่ขึ้นจนเป็นรายเดือนนั้น กิ่งฉัตรบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่าผู้กระทำการละเมิดนั้นไม่รู้จริงๆ หรือว่าเป็นเรื่องผิด
"การที่หยิบงานของคนอื่นมาโดยไม่ได้ขอหรือบอกกล่าว มันรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ผิด แล้วทำไมยังทำอยู่ และบางทีทำอย่างอุกอาจกล้าหาญมากจนน่าแปลกใจ อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยนี้ โดยเฉพาะการก๊อบงานจากอินเทอร์เน็ตที่มีเยอะมาก สมัยก่อนถ้าลอกจากหนังสืออาจจะใช้เวลาพิมพ์นานหน่อย แต่ถ้าอินเทอร์เน็ตใช้วิธี copy แล้ว paste ได้เลย การดึงข้อมูลจากส่วนหนึ่งมาอีกส่วนหนึ่งมันเร็วมาก การละเมิดลิขสิทธิ์ก็เลยสูงมากตามไปด้วย"
ส่วนที่มีผู้มองว่าบรรณาธิการควรจะคัดกรองเรื่องให้ดีกว่านี้นั้น กิ่งฉัตรกลับมองว่าคนเป็นบรรณาธิการไม่สามารถตามอ่านทุกเรื่องในอินเทอร์เน็ตได้หมด และนักเขียนส่วนใหญ่ก็ใช้นามปากกา ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบทุกเรื่องที่ส่งมาได้
"การแก้ไขปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์มันอยู่ที่จิตสำนึกของคน เราต้องปลูกจิตสำนึกของคนรุ่นใหม่ว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่ใช่พอเกิดปัญหาก็โทษว่าทำไมบรรณาธิการไม่คัดกรอง หรือโทษว่าสำนักพิมพ์มีเยอะเกินไป อันนี้มันปลายเหตุเกินไปแล้ว ปัญหาก็คือคนที่กระทำส่วนมากไม่ใช่เด็กเล็ก เป็นผู้ใหญ่โตกันแล้ว น่าจะรู้แล้วว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมไม่คิดว่างานของใครใครก็รัก กว่าเขาจะใช้สมองใช้ความพยายามเขียนเรื่องนั้นขึ้นมา แล้วคุณใช้เวลาดึงของเขามาเพียงไม่กี่นาที ฉะนั้น คิดถึงตรงนี้นิดนึง นึกถึงใจเขาใจเราหน่อย" กิ่งฉัตรทิ้งท้าย
*หมายเหตุ ผู้สนใจเข้าไปดูรายละเอียดเอกสารการยื่นขอจดลิขสิทธิ์ได้ที่ www.ipthailand.org
เรื่อง; รัชตวดี จิตดี