กล่าวกันว่าในบรรดาคนชายขอบที่ห่างเหินจากศูนย์กลางอำนาจ ขาดโอกาส และถูกโครงสร้างทางสังคมอันบิดเบี้ยวเฆี่ยนตี 'คนพิการ' ถูกจัดว่าเป็น 'คนชายขอบของชายขอบ' เรียกว่าแย่ที่สุดในกลุ่มคนที่แย่ที่สุดด้วยกัน
ความขาดทำให้คนพิการมีต้นทุนในการใช้ชีวิตมากกว่าคนปกติทั่วไป แต่ความรู้สึกทางใจและศักยภาพที่รอการพัฒนาของพวกเขาไม่ได้ขาดตามร่างกาย
ความรู้สึกของคนปกติมักมองว่าผู้พิการทางสายตาน่าจะมีความลำบากในการใช้ชีวิตมากกว่าผู้พิการอื่นๆ เพราะในโลกที่มืดมิดมีเพียงเสียง กลิ่น และการสัมผัสเท่านั้นที่จะช่วยให้พวกเขาอยู่รอด แต่ถึงกระนั้นก็ตามผู้พิการทางสายตาจำนวนไม่น้อยกลับมีความสามารถไม่พ่ายแพ้คนปกติ หากพวกเขาสามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ แหล่งข้อมูลข่าวสารที่จะใช้พัฒนาตนเอง
ปัญหาก็คือไม่มีใครแม้แต่รัฐที่จะใส่ใจพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น....หนังสือเบรลล์
กว่าจะเป็นหนังสือเบรลล์
เราทราบกันดีว่าหนังสือสำหรับผู้พิการทางสายตาต้องเป็นหนังสือที่พิมพ์ด้วยอักษรเบรลล์ ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดนูนเล็กๆ 1 ช่องประกอบด้วยจุด 6 ตำแหน่ง วางสลับกันตามที่กำหนดว่าสัญลักษณ์ใดแทนตัวอักษรใด ดังนั้น การผลิตหนังสืออักษรเบรลล์จึงจำต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ด้านนี้และใช้ต้นทุนมากกว่าคนปกติ
พูดในเรื่องของกรรมวิธีแปรรูปจากหนังสือปกติไปสู่หนังสือเบรลล์นับว่ายุ่งยากพอสมควร ยิ่งถ้าเป็นวิธีดั้งเดิมที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีมากนักก็ยิ่งเป็นเรื่องเปลืองพลังงานไม่น้อยกว่าจะได้หนังสือสักเล่ม กิติพงศ์ สุทธิ ผู้อำนวยการสถาบันคนตาบอดแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนา อธิบายวิธีการทำหนังสือเบรลล์ว่า
"วิธีดั้งเดิมคือเมื่อเราได้หนังสือที่เราต้องการทำเป็นอักษรเบรลล์มา เราก็จะต้องหาคนสายตาปกติที่รู้อักษรเบรลล์มาพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครูในโรงเรียนสอนคนตาบอดหรือบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับคนตาบอด แต่ว่าจำนวนบุคลากรด้านนี้มีน้อย และถ้าไม่ใช่คนที่ชำนาญจริงๆ ก็จะพิมพ์ได้ช้า
"อีกวิธีหนึ่งคือให้คนตาบอดพิมพ์เอง โดยไปหาคนสายตาปกติมาช่วยอ่านให้ พออ่านเสร็จก็พิมพ์ตรงนั้นเลย วิธีนี้จะเร็วขึ้น แต่ข้อสำคัญคือเวลาว่างของทั้งสองฝ่ายอาจไม่ตรงกัน จึงนำมาสู่อีกวิธีหนึ่งคืออัดเทปเอาไว้ก่อนและให้คนตาบอดมาพิมพ์เอาทีหลัง ที่สำคัญคือวิธีนี้มันใช้พลังงานเยอะและช้า เวลาทำก็ทำได้แค่ก็อบปี้เดียว ถ้าอยากได้หลายก็อบปี้ก็ต้องเพิ่มเวลาเป็นเท่าตัวเข้าไป"
แต่ในปัจจุบันมีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องช่วยอำนวยความสะดวก ขั้นตอนการทำจึงรวดเร็วขึ้นโดยใช้วิธีการพิมพ์หนังสือที่ต้องการทำเป็นหนังสือเบรลล์เข้าไปในคอมพิวเตอร์ทั้งเล่ม จากนั้นจึงนำไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้ไปเข้าโปรแกรมเบรลล์ ทรานสเลชัน (Braille Translation) เพื่อแปลงออกมาเป็นไฟล์อักษรเบรลล์ ต่อจากนี้ก็คือกระบวนการของการพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม วิธีนี้จะเร็วขึ้นมากมายถ้าสามารถนำไฟล์ต้นฉบับจากทางสำนักพิมพ์มาแปลง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องลิขสิทธิ์ กิติพงศ์บอกว่ายังมีหนทางอื่นอีกแต่น่าเสียดายที่เมืองไทยยังทำไม่ได้
"เป็นวิธีที่ต่างประเทศเขาใช้กัน คือนำตัวเอกสารหรือหนังสือมาเข้าเครื่องสแกน สแกนออกมาเป็นภาพในคอมพิวเตอร์ แล้วนำภาพมาแปลงเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไฟล์ที่เป็นตัวหนังสืออีกทีหนึ่ง ส่งผ่านโปรแกรมเบรลล์ ทรานสเลชันแปลงเป็นตัวอักษรเบรลล์เพื่อส่งพิมพ์ วิธีนี้อาจดูว่าขั้นตอนเยอะ แต่ดีตรงที่คนตาบอดสามารถทำเองได้ทั้งหมด แต่วิธีนี้ยังใช้กับภาษาไทยไม่ได้เพราะเรายังขาดโปรแกรมสำหรับวิธีนี้"
ต้นทุนชีวิตที่ต้องจ่ายแพงกว่า
สมมติว่าคุณอยากจะอ่าน 'แฮร์รี่ พอตเตอร์' วิธีที่คุณจะได้อ่านก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าเดินเข้าร้านหนังสือ หยิบเล่มที่ต้องการ และจ่ายเงิน แล้วโลกเวทมนตร์ก็จะอยู่ในมือคุณ
แต่ถ้าเป็นคนตาบอดล่ะ?? เดาว่าส่วนใหญ่คงไม่เคยนึกคิดถึงคำถามดังกล่าว คำตอบในกรณีนี้เท่าที่จะนึกได้สำหรับคนปกติน่าจะเป็น 'ให้คนอื่นอ่านให้ฟัง' ที่หนักกว่านั้นก็คงจะบอกว่า 'ไม่ต้องอ่าน' ลองนึกดูสิว่าในฐานะมนุษย์เหมือนกัน เหตุใดคนอีกคนหนึ่งจึงถูกกีดกันจากสิทธิที่พึงมีพึงได้เพียงเพราะความขาดของเขา
"การแปลงหนังสือต้นฉบับมาเป็นอักษรเบรลล์ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องทำด้วยมือ ต้นทุนจึงสูงและช้า ทั้งยังได้ออกมาในปริมาณที่จำกัด แต่ในยุคปัจจุบันสะดวกขึ้น เร็วขึ้น แต่ต้นทุนการผลิตก็ยังสูงอยู่ดีเพราะว่าเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปลงตัวหนังสือปกติไปเป็นอักษรเบรลล์เป็นเทคโนโลยีนำเข้าทั้งสิ้น อีกประการคือหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ เราไม่สามารถได้ต้นฉบับที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เพราะติดลิขสิทธิ์และบ้านเราก็ไม่มีการอนุโลมในเรื่องนี้ ดังนั้น จึงต้องเอาต้นฉบับที่เป็นหนังสือมาจ้างคนพิมพ์ลงคอมพิวเตอร์แล้วจึงไปสู่กระบวนการของการแปลง"
มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย อธิบายถึงความยุ่งยากในการแสวงหาความรู้ที่ผู้พิการทางสายตาต้องประสบ และกล่าวต่อว่าข้อจำกัดอีกเรื่องก็คือไฟล์ที่ใช้ผลิตหนังสือยังไม่มีมาตรฐานร่วมกันจึงเป็นการยากต่อการแปลง ส่งผลให้ผู้ที่คิดจะทำหนังสือเบรลล์ต้องพิมพ์เองใหม่ทั้งหมด
เมื่อมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารมากเพียงนี้ ทางออกของผู้พิการทางสายตาจึงต้องอาศัยวิทยุเป็นหลัก
จตุพล หนูท่าทอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
"วิธีการติดตามข่าวสารหลักๆ ก็คือฟังวิทยุ รองลงมาก็โทรทัศน์ นอกเหนือจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ถ้าใครมีญาติเขาก็อาจจะอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง แต่นั่นน่าจะเป็นส่วนน้อย ส่วนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ได้ก็คงใช้วิธีรับรู้จากคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมอ่านข้อความจากเว็บ"
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจตุพลจะมีโอกาสได้อ่านงานวรรณกรรมหรือไม่ 'คำพิพากษา' หรือ 'เวลา' ของชาติ กอบจิตติ เขาก็ยังไม่เคยได้อ่าน เพราะแต่ละปีมีหนังสือเบรลล์พิมพ์ออกมาน้อยมาก และที่พิมพ์ออกมาส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือเรียน หาใช่หนังสืออย่างที่คนปกติอ่านกันทั่วไป
มณเฑียรเล่าว่า งบประมาณจากภาครัฐที่นำมาผลิตหนังสือเบรลล์ในแต่ละปีไม่น่าจะเกิน 10 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตหนังสือเบรลล์ราคาประมาณหน้าละ 3 บาท ก็จะได้ประมาณ 3 ล้านหน้า จากนั้นให้เอา 3 หารเนื่องจากโดยเฉลี่ยอักษรเบรลล์ 3 หน้าจะเท่ากับหนังสือปกติทั่วไป 1 หน้า ฉะนั้น เท่ากับ 1 ปีเมืองไทยสามารถผลิตหนังสือตัวอักษรเบรลล์ได้ไม่เกิน 1 ล้านหน้า ซึ่งมณเฑียรย้ำว่าที่กล่าวมาเป็นแค่ในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติเขาคิดว่าไม่ถึง
เพราะความอัตคัตแหล่งข้อมูลข่าวสาร จึงบีบบังคับให้จตุพลจำต้องเลือกอ่านเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมเท่านั้น ทั้งหนังสือที่เขาใช้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายพิมพ์เป็นอักษรเบรลล์เอง เขาบอกว่าราคาหนังสือ 900 บาท แต่เมื่อแปลงออกมาเป็นหนังสือเบรลล์ คิดสะระตะเขาต้องจ่ายไปประมาณ 3-4 พันบาท
ชีวิตส่วนที่ขาดหาย
บางคนอาจบอกว่าผู้พิการทางสายตาสามารถเลือกฟังหนังสือจากเทปเสียงได้ ก็ใช่ แต่จตุพลบอกว่า
"การอ่านเองจะทำให้เราเขียนเป็นด้วย เพราะเวลาอ่านเราจะรู้ว่าคำคำนี้สะกดยังไง จึงทำให้เราเขียนเป็น แต่ถ้าฟังอย่างเดียวก็แค่ฟังๆ ไป เวลาเราอยากจะเขียนอะไรเองเราจะมั่วมาก อีกอย่างคือถ้าเราอ่านเองเราจะสามารถจินตนาการยังไงก็ได้ต่อเรื่องราวนั้นๆ ผมว่าบางทีการอ่านเองมันได้อรรถรสมากกว่า"
ทางที่ดีจึงควรสร้างทางเลือกไว้หลายๆ ทาง
กิติพงศ์อธิบายถึงผลของการไม่มีหนังสือเบรลล์ให้ผู้พิการทางสายตาอ่านว่า ถ้าในชีวิตประจำวันไม่มีการส่งเสริมให้ผู้พิการทางสายตาได้ใช้อักษรเบรลล์ ที่สุดแล้วพวกเขาก็จะหลงลืมสิ่งที่เรียนมา กิติพงศ์บอกอีกว่าห้องสมุดหนังสือเบรลล์ของคนตาบอดที่มีอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ไม่น่าจะมีหนังสือเกิน 1 พันชื่อเรื่อง
"ผมว่าการจัดลำดับความสำคัญในเรื่องการลงทุนต่อสาธารณะเป็นเรื่องใหญ่ นโยบายของรัฐจึงต้องมีหลักประกันต่อประชาชนทุกกลุ่ม แต่ในปัจจุบันแม้รัฐธรรมนูญจะระบุไว้แต่การดำเนินนโยบายของรัฐก็ยังหละหลวมอยู่ มันไม่มีหลักประกันว่าถ้ารัฐไม่ทำแล้วจะเป็นยังไง สรุปแล้วประชาชนอย่างพวกผมก็ยังต้องเป็นฝ่ายไปขอ ได้มาทีละนิดละหน่อยเท่านั้นเอง ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบเพื่อสร้างหลักประกันทางสังคมยังมีความจำเป็น คือวิธีคิดของรัฐยังเป็นวิธีคิดแบบเอื้ออาทร ไม่ใช่วิธีคิดแบบที่จะรับรองสิทธิของพลเมือง" มณเฑียรกล่าว
นั่งนึกๆ ดู การรับฟังข้อมูลข่าวสารแข็งๆ อาจให้ความรู้ ความเข้าใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง แต่คนฟังคงหาความรื่นรมย์ ความงดงามของชีวิตได้ยากเต็มที เราถามจตุพลว่าต้องอ่านแต่หนังสือคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่มีวรรณกรรมให้อ่าน รู้สึกเสียดายหรือเปล่า? เขาตอบว่า
"เสียดายครับ เสียดายแน่นอน ใจจริงผมอยากเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่คนทั่วไปเข้าถึงได้"
แต่ด้วยโครงสร้างทางสังคมและการเมืองที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ จตุพลอาจต้องรอ...อีกแสนนาน
**********************
เรื่อง – กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล