...สุพรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์
นารายณ์ทรงสุบรรณบิน ลินลาศฟ้าอ่าอวดองค์
อนันตนาคราช งามผุดผาดวาดแวววง
อเนกชาติภุชงค์ ลงเล่นน้ำงามเลิศลอย...
(บางท่อนจากกาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี : นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย-ผู้ประพันธ์ :ร.อ.ณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ-ผู้เห่ )
ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมาในช่วงของวันที่มีการซ้อมกระบวนเรือพระราชพิธี แม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ท่าวาสุกรีไปจนถึงวัดอรุณราชวราราม แลดูงดงามไปด้วยขบวนเรือพระราชพิธีอันวิจิตรตระการตา ไม่ว่าจะเป็นความงามของเรือพระที่นั่ง ดังบทกลอนที่กล่าวมาในข้างต้น หรือเรือรูปสัตว์รูปแบบต่างๆ อาทิ
...กระบี่ศรีสง่า งามท่วงท่าไม่ท้อถอย
เรือครุฑไม่หยุดคอย ยุดนาคคล้อยลอยเมฆินทร์...
ในขณะที่เรือประกอบขบวนอื่นๆก็งดงามไม่แพ้กันไม่ว่าจะเป็น
...เรือแซงแข่งเรือดั้ง พร้อมสะพรั่งกลางสายชล
เรือชัยไฉไลล้น ยลเรือกิ่งพริ้งเพราตา...
นอกจากความวิจิตรของลำเรือและรูปกระบวนเรืออันงดงามแล้ว การเห่เรือและผู้เห่เรือ ถือเป็นส่วนสำคัญที่กระบวนเรือพระราชพิธีจะขาดไม่ได้ เพราะด้วยเสียงร้องอันทรงพลังดังกังวานก้องของคนเห่เรือที่ขับขานบทเห่เรืออันไพเราะสละสลวยออกมา ผสานกับเสียงขานรับของฝีพายและท่วงท่าการพายที่พร้อมเพรียงนั้น ช่วยส่งให้ขบวนเรือพระราชพิธีงามสง่าสมกับที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าหนึ่งเดียวในโลก
*พล.ร.ต.มงคล แสงสว่าง เจ้าของเสียงเห่เรือสุดคลาสสิก
...เห่เอยเห่เรือสวรรค์ เพลงคนธรรพ์ลั่นลือสรวง
ฝากหาวเดือนดาวดวง อย่าลับล่วงอยู่นิรันดร์เทอญ...
นับตั้งแต่ปี 2525 มาจนถึงปี 2546 ไม่ว่าจะเป็นกระบวนพยุหยาตราชลมารค หรือกระบวนเรือพระราชพิธี พลเรือตรีมงคล แสงสว่าง หรือที่หลายๆ คนมักเรียกว่า อาจารย์มงคล ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง เจ้าของเสียงอันไพเราะเพราะพริ้งแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง จะทำหน้าที่ขับขานบทเห่เรือข้างต้นในฐานะของผู้เห่เรือมือหนึ่ง ที่วันนี้แม้ว่าอาจารย์มงคลจะเลิกร้างการเห่เรือไปแล้ว แต่ซุ่มเสียงและลีลาการเห่เรือของ อ.มงคล ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของใครหลายๆ คน เพราะนี่คือหนึ่งในเจ้าของเสียงเห่เรือสุดคลาสสิกคนหนึ่งของเมืองไทย
อ.มงคล เล่าว่า ได้เริ่มงานเห่เรือมาตั้งแต่ปี 2511 โดยงานใหญ่ทำงานแรกคือ งานกระบวนพยุหยาตราชลมารคเมื่อเดือนเมษายน 2525 ซึ่งเป็นงานใหญ่ครั้งแรกในชีวิต หลังจากนั้น อ.มงคลก็รับหน้าที่พนักงานเห่เรือตัวจริงมาโดยตลอด ก่อนที่จะอำลาหน้าที่การเห่เรือในงานใหญ่งานสุดท้าย นั่นก็คือ การเป็นผู้นำเห่กระบวนเรือพระราชพิธีในงานเอเปก 2003 (พ.ศ.2546) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน
"เมื่อเข้ามารับราชการที่กองทัพเรือ มาเห็นเขาฝึก เห็นเขาร้องก็เกิดความสนใจ เดิมเราอยู่บ้านนอกก็ชอบเรื่องของการร้องรำทำเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกทุ่ง เพลงไทยสากล อันนี้ชอบร้องอยู่แล้ว พอมาเห็นอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่แปลก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ก็เกิดความสนใจ พยายามฝึกดูเขา พร้อมจดจำ ทั้งในเรื่องของการพายและการร้องว่าเขากันพายอย่างไร และร้องอย่างไร มันค่อยๆ ฝัง ค่อยๆ ซึมเข้าไป เป็นลักษณะของครูพักลักจำ กระทั่งมันอดรนทนไม่ไหว ไปฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านครูพันจ่าเอกเขียว สุขภูมิ และได้เริ่มฝึกกันจริงๆ จังๆ ในปี 2508 จนกระทั่งถึงปี 2510"
"เวลาสังสรรค์กับเพื่อนๆ เราจะนำบทเห่เรือที่ได้รับการฝึกจากคุณครูมาร้องให้เพื่อนฟัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงดึกจึงเงียบสงบ พอเราขึ้นเสียงเพลงเรือมันดังลั่นไปหมดเลย ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งท่านมีบ้านพักอยู่ในนั้น ท่านก็มาถามว่าใครเห่เรือ เราก็บอกไปว่า ผมเองครับ ท่านก็บอกว่าเสียงดีนี่ น่าจะฝึกหัดให้มันเป็นกิจจะลักษณะ จริงๆ จัง ๆ มันเลยเป็นมูลเหตุให้เราได้รับหน้าที่เป็นพนักงานเห่เรือ"
"หลังจากนั้นกรมการขนส่งทหารเรือได้จัดการประกวดเห่เรือขึ้นในงานปีใหม่ของกรมฯ โดยเอาข้าราชการที่ฝึกกับครูจำนวน 5 คนในขณะนั้น มาร้องแข่งขันกันว่าใครควรจะเป็นพนักงานเห่เรือแทนท่านที่กำลังจะเกษียณ การตัดสินท่านไม่ได้ชี้ว่าใครได้ที่ 1, 2, 3 เพียงแต่ในซองที่เป็นของขวัญ ท่านใส่เงินในซองจำนวนลดหลั่นกันออกไป พอเราร้องเพลงเสร็จเรียบร้อย ก็เอาซองมาอวดกันว่าใครได้เท่าไหร่ ก็ปรากฏว่าเราได้มากกว่าเพื่อน ท่านก็บอกนั่นแหละ ท่านให้เป็นโดยปริยายแล้ว" อ.มงคลกล่าวอย่างภูมิใจ
ส่วนการฝึกซ้อมในสมัยนั้นจะถ่ายทอดกันด้วยวิธีครูร้องนำ แล้วศิษย์ก็ร้องตาม หากว่าท่วงทำนองหรือการเอื้อนไม่ได้ ครูจะจะค่อยๆ แต่ง ค่อยๆ สอนไปทีละวรรค ซึ่งโดยรวมแล้วการฝึกในสมัยนั้นกับตอนนี้เหมือนกัน เพียงแต่สมัยก่อนการฝึกอาจจะเคร่งกว่า ดุหรือปากจัดกว่า ไม่ปล่อยให้ผ่านกันง่ายๆ
"สำหรับผม ตั้งแต่ปี 2508 ที่เราสนใจ เราจำจากที่ครูร้อง ไปหัดร้องที่บ้าน แม้แต่เวลากล่อมลูกก็เห่เรือกล่อมลูก ท่วงทำนองต่างๆ มันก็ฝังอยู่ในใจเรา ฝังอยู่ในสันดานของเรา จนกระทั่งท่านเปิดหลักสูตรขึ้นมาสอน 3 เดือนมันก็เป็นจังหวะดีของเรา ท่านชี้ให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ในเรื่องของการร้อง เรื่องของจังหวะ แม้แต่เรื่องของการพายด้วยว่าการพายนั้นมันมีกี่จังหวะ มีกี่ท่า เราต้องเข้าใจว่าเราเห่เรือเพื่ออะไร การเห่เรือก็คือการให้จังหวะฝีพาย เพราะว่าในเรือแต่ละลำ 40 - 50 คน เราจะทำอย่างไรให้เขาพายพร้อมกันได้ แล้วก็ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ การที่เสียงจะออกมาดีไม่ได้มีวิธีรักษาเสียงเป็นพิเศษ เราต้องรู้ว่าเราควรออกเสียงแต่พอสมควร ไม่ตะเบ็งเสียงมากๆ เพราะหลอดเสียงมันจะแย่ ต้องใช้เสียงให้มันถูกต้องแค่นั้น"
ในเรื่องของความรู้สึกที่ได้เป็นพนักงานเห่เรือนั้น อ.มงคลกล่าวว่า
"ความรู้สึกตอนแรกที่ได้ลงงานใหญ่ มันบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาทำหน้าที่เป็นพนักงานเห่ ทำหน้าที่ที่มีเกียรติอย่างนี้ ก็ตื่นเต้น กระบวนพยุหยาตราฯ กว่าที่เราจะได้แสดง กว่าที่เราจะได้ปฏิบัติงานจริงๆ ในวันจริง ใช้เวลาในการฝึกซ้อมหลายขั้นตอน อย่างน้อยที่สุดที่เห็นๆ คือ 6 เดือน เพราะฉะนั้นความตื่นเต้นไม่มี แต่ว่าความภูมิใจที่มันเกิดขึ้นที่เราปฏิบัติหน้าที่นี้ มันบอกไม่ถูก บอกเป็นคำพูดออกมาไม่ได้"
แม้ว่าในการแสดงกระบวนเรือพระราชพิธีในงานเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีในปีนี้ อ.มงคล จะไม่ได้ลงแสดงน้ำเสียงและลีลาการเห่เรือ แต่อาจารย์ก็วางใจได้ เพราะพนักงานเห่เรือคนใหม่ที่มาเพิ่งมาทำหน้าที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถือว่าทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
*ร.อ.ณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ เจ้าของเสียงหวาน พนักงานเห่เรือคนล่าสุด
...เจ้าเอย เจ้าพระยา ถั่งธารามานานไกล
เอิบอาบ กำซาบใจ หล่อเลี้ยงไทยแผ่นดินทอง...
ในกระบวนเรือพระราชพิธี วันที่ 12 มิ.ย. 2549 นี้ สำหรับบทเห่เรือ ได้มีผสมผสานกันระหว่างบทเห่เรือใหม่กับบทเห่เรือเก่า เกิดเป็น 'กาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี' ที่ความไพเราะงดงาม โดยผู้มาทำหน้าที่เห่เรือขับขานสรรพสำเนียงอันไพเราะของกาพย์เห่เรือในกระบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้ก็คือ เรือเอกณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ หนุ่มไฟแรง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำการเห่เรือมานานนับสิบปี
ร.อ. ณัฐวัฏ เข้ามาอยู่ในกรมการขนส่งทหารเรือตั้งแต่ปี 2524 ซึ่งเป็นปีที่เตรียมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เขาเริ่มต้นด้วยการฝึกเป็นฝีพายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เพื่อเป็นฝีพายในงานกระบวนพยุหยาตราที่เสด็จ ณ ปริมณฑลท้องสนามหลวง เมื่อขณะที่ฝึกฝีพายก็ได้ฝึกหัดร้องเห่เรือไปด้วย จนกระทั่งในปี 2539 เขาได้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งพนักงานขานยาว และพนักงานเห่สำรอง จนกระทั่งปี 2549 จึงได้ก้าวขึ้นมาเป็นพนักงานเห่เรือตัวจริงเสียงจริง
"ผมเริ่มร้องเห่จริงๆ จังๆ ก็ช่วงตอนที่มาเป็นครูฝึกฝีพายในปี 2530 เราอยากให้ลูกศิษย์เราหรือฝีพายที่เราฝึกเขาอยากฝึก หมายถึงว่าถ้าเราร้องส่งเดชไป เขาก็ไม่อยากฝึกกับเรา เราจึงต้องพยายามร้องให้มันดี" ร.อ.ณัฐวัฏ กล่าว
ในส่วนของการฝึกซ้อมนั้น ร.อ. ณัฐวัฏ อาศัยการฟังจากครูท่านอื่นๆ ก่อนตั้งแต่ยังเป็นฝีพาย จนกระทั่งมาฝึกอย่างจริงจังกับ อ.สุจินต์ สุวรรณ์ และอ.มงคล แสงสว่าง โดยอาจารย์ทั้ง 2 ท่านจะคอยแนะนำว่าต้องลากเสียงยังไง ค่อยๆ แต่ง ค่อยๆ ติกันไป เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบร้องเพลงอยู่แล้ว รวมถึงจำเนื้อได้อย่างขึ้นใจ มันก็ทำให้การเห่ง่ายขึ้น
"สำหรับเสียงของผมนั้น อาจารย์กับเพื่อนๆ จะบอกว่าผมเสียงหวาน ซึ่งในเรื่องของน้ำเสียงมันคงแก้ไขกันลำบาก คนเสียงแบบไหนก็ต้องเสียงแบบนั้น แต่ว่าการเอื้อนการปรับแต่งทำให้มันเพราะขึ้นมันปรับกันได้ ส่วนเวลาร้องก็จะมีลูกคู่รับ ซึ่งลูกคู่จริงๆ แล้วก็คือฝีพาย เช่นตอนเกริ่นโคลง พนักงานเห่จะเกริ่นคนเดียว แล้วก็ชะละวะเห่ ฝีพายจะเริ่มพาย แล้วก็ร้องรับไปด้วยเป็นลูกคู่ไปด้วย ส่วนมูลเห่ฝีพายนี่เขาจะร้องรับ ชะๆ หะๆ เห่ๆ อะไรก็รับไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปสวะเห่ ก็จะเป็นลูกคู่รับไปด้วย ฝีพายก็จะรับแบบสบายๆ" ร.อ.ณัฐวัฏ กล่าว
ทั้งนี้ การร้องเห่เรือแต่ละครั้งต้องใช้เวลาติดต่อกันนานเป็นชั่วโมงๆ ดังนั้นทั้งฝีพาย และพนักงานเห่ จำเป็นต้องมีร่างกายแข็งแรง ซึ่ง ร.อ.ณัฐวัฏ ได้ฝึกฝนด้วยการต้องออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะทำให้สามารถร้องกาพย์เห่เรือได้ดังใจ รวมถึงสามารถร้องได้นานๆ พอร้องบ่อยๆ ก็จะจำบทได้เอง และตนเองเป็นคนที่จำแม่นอยู่แล้ว กลอนก็เป็นบทที่คล้องจองสัมผัสกันทำให้จำง่ายขึ้น แต่ถึงวันจริงต้องเปิดตำราดูเพื่อกันพลาด เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศดังนั้นจะพลาดไม่ได้
สำหรับกระบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้ ร.อ. ณัฐวัฏ คือผู้ทำหน้าที่เป็นพนักงานเห่เรือ โดยประจำอยู่ที่เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ซึ่งเขาได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมในงานอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้อย่างภาคภูมิใจว่า
"ผมภูมิใจและดีใจมากที่ได้เห่เรือถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้เป็นตัวแทนของคนไทยคนหนึ่งที่ได้มีส่วนแนะนำวัฒนธรรมประเพณีไทย อนุรักษ์ประเพณีไทย ผมพอใจและภูมิใจมากๆ ในความเป็นไทย"
*พ.จ.อ. เฉลิม รอดดี พนักงานขานยาว กับเสียงห้าวๆ ให้จังหวะ
วัดวาทุกอาวาส พุทธศาสน์ธรรมทอแสง
น้ำใจจึงไหลแรง ไม่เคยแล้งจากใจไทย
นอกจากการขับขานบทเห่เรืออันไพเราะแล้ว เสียงขานให้จังหวะสอดรับกันระหว่างการเห่กับฝีพายก็ถือเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน สำหรับผู้รับหน้าที่นี้ก็คือ พ.จ.อ.เฉลิม รอดดี พนักงานขานยาวประจำเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ซึ่ง พ.จ.อ.เฉลิม ได้เข้ารับราชการมาตั้งแต่ปี 2530 และได้คลุกคลีอยู่กับการพายเรือและการเห่เรือมาตลอด จนในปี 2545 ที่มีการเปิดหลักสูตรการเห่เรือขึ้นมา โดยเขาติดหนึ่งในสามของพนักงานเห่เรือ
พ.จ.อ.เฉลิม กล่าวว่า เป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว แนวเพลงลูกทุ่งจะชอบมาก โดยเฉพาะชาย เมืองสิงห์ ชอบมาตั้งแต่สมัยเด็ก เพราะเสียงเขาดี ร้องง่าย เสียงไม่สูงมาก ไม่ต่ำมาก มีอยู่วันหนึ่งตอนกำลังร้องลิเกเล่นกับเพื่อน บังเอิญครูมงคล (แสงสว่าง)มาได้ยิน จึงได้ชวนให้มาเห่เรือ ระหว่างนั้นก็ฝึกตัวเองอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ เมื่อครูมงคลเรียกไปทดสอบเสียง ท่านจึงบอกให้มาอยู่แผนกเห่เรือก็แล้วกัน
"พนักงานเห่จะมีบทบาทในเรื่องของการเห่ เสียงของคนเห่จึงอาจจะต้องมีความหวาน ส่วนการขานยาวเป็นการให้จังหวะ ซุ่มเสียงจึงจำเป็นต้องดังและออกห้าวหาญนิดๆ"
"การขานยาวก็เป็นการเห่อย่างหนึ่ง เพื่อให้ฝีพายได้ผ่อนคลายอิริยาบถ เมื่อฝีพายเริ่มพายไม่พร้อมเพรียงกัน เริ่มไม่สวยแล้ว ผมก็จะขานยาวทีหนึ่ง อาจจะสัก 3 นาที 5 นาทีเว้นไป แล้วก็ขานใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะคำว่า เยิ้ว! ของฝีพายที่เขารับเนี่ย เขาจะไปหยุดนิ่งอยู่ในจังหวะที่สี่ ตรงนั้นเสร็จปุ๊บต่อไปเขาจะลงมาพร้อมกัน ทีนี้คำที่เขารับ จะเรียกว่า สร้อย เป็นการโต้ตอบระหว่างพนักงานขานยาวกับฝีพาย ลักษณะของการขานยาวเขาจะมีแบบ เยิ้ว (เสียงยาว) อะไรอย่างนี้ แล้วฝีพายเขาก็จะรับว่า เยิ้ว (เสียงสั้นๆ) มันจะมี 2 อย่าง คือ กาบขวากับกาบซ้าย อย่างกาบขวาผมจะขึ้นมาว่า เยิ้ว....(เสียงยาวๆ) ฝีพายเขาก็จะรับห้วนๆ เยิ้ว!! แล้วก็ ขวา..พายสิพ่อ พายสิพ่อ พายสิพ่อ... ถ้าเป็นทางกาบซ้ายก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน แต่จะเปลี่ยนเสียงเป็น ซ้าย....พายสิพ่อ...แทน แบบนี้คือการขานยาว"
พ.จ.อ.เฉลิมเล่าต่อว่า คนที่จะเข้ามาเป็นพนักงานเห่ หรือพนักงานขานยาวก็ตาม ต้องมีพื้นฐานของการพายเรือพระราชพิธีได้ เนื่องจากจะได้รู้จังหวะ จับจังหวะให้เข้ากับทำนองได้ และต้องเป็นผู้ที่มีเสียงดี วิธีการร้องและอักขระอะไรต่างๆ ต้องชัดเจน ถูกต้อง เวลาฝึกก็ต้องฝึกกับฝีพาย เพราะเราเป็นครูฝึกของเขาด้วย คือฝึกเขาไปแล้วเราก็เห่ไปด้วย เหมือนได้ฝึกตัวเอง ฝึกให้ทำนองการเห่การพาย เขาก็รับด้วยเท่ากับเรามีลูกคู่ เป็นการฝึกฝนตัว และฝึกฝนเสียงไปในตัว
สำหรับงานครั้งแรกที่ พ.จ.อ.เฉลิม ได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ก็คือ งานฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี 2530 ซึ่งขณะนั้นรับหน้าที่เป็นฝีพายเรือสุพรรณหงส์ จากนั้นก็ได้มาเป็นครูฝึก จนมาได้ลงเรืออเนกชาติภุชงค์ ในตำแหน่งพนักงานขานยาว
"ผมภูมิใจทุกครั้งที่มีกระบวน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำถวายองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราทำด้วยความเต็มใจ ต้องยอมทำทุกอย่างอยู่แล้วครับ ยอมทุกอย่างถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากบ่น เหงื่อหยดเข้าตายังไงก็สู้ครับ ทุกคนสู้หมดใจ ภูมิใจมากครับ" พ.จ.อ.เฉลิม กล่าวอย่างปลาบปลื้ม
หมายเหตุ : อ่านเนื้อหา“กาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” ทั้งหมด และประวัติ พล.ร.ต.มงคล แสงสว่าง, ร.อ.ณัฐวัฏ อร่ามเกลื้อ ผู้เห่เรือ 2 รุ่นได้ใน www.manager.co.th/travel )
///////////////////////////
นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ผู้ปิดทองหลังกาพย์เห่เรือ
...วังทิพย์คือท้องทุ่ง ม่านงามรุ้งคือเขาเขิน
ร้อนหนาวในราวเนิน มาโลมไล้ต่างรสสุคนธ์
ย่างพระบาทที่ยาตรา ยาวรอบหล้าฟ้าสากล
พระเสโทที่ถั่งท้น ถ้าไหลรวมคงท่วมไทย...
นี่คือหนึ่งในบทเห่เรือที่ นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ประทับใจและมักจะเอื้อนเอ่ยให้คนอื่นฟังเสมอ
สำหรับนาวาเอกทองย้อยแล้ว เขาเปรียบเสมือนผู้ทำหน้าที่ปิดทองหลังกาพย์เห่เรือ เพราะมีไม่กี่คนที่จะรู้ว่า นาวาเอกทองย้อย คือผู้ประพันธ์กาพย์เห่เรืออันไพเราะงดงาม ซึ่งเขาได้ฝากฝีไม้ลายมือการประพันธ์กาพย์เห่เรือมาตั้งแต่ กระบวนพยุหยาตรา(ใหญ่)ชลมารค ในการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม ในปี พ.ศ.2539 โดยในครั้งนี้ นาวาเอกทองย้อยได้ประพันธ์บทเห่เรือส่วนหนึ่งขึ้นมาใหม่และนำไปผสมผสานกับบทเห่เรือเก่า เกิดเป็น “กาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” ที่ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ กาพย์เห่เรือบทนี้จะฝากความงามของภาษาไว้ให้กับผู้ที่ได้รับฟังประทับใจไปอีกยาวนาน
“ส่วนใจคนที่ชมขบวนเรือจะมุ่งเน้นไปที่หัวใจ 4 ห้องของขบวนเรือ นั่นก็คือ ความงดงามวิจิตรของเรือแต่ละลำ ความสวยงามของรูปขบวนเรือ ท่วงท่าทำนองของฝีพาย เสียงเห่อันไพเราะเพราะพริ้ง โดยละเลยที่รับรู้ถึงเนื้อหา และภาษาของกาพย์เห่เรือไป ซึ่งผมถือว่ากาพย์เห่เรือคือหัวใจห้องที่ 5 ของขบวนเรือพระราชพิธี”
นาวาเอกทองย้อย ที่ปัจจุบันเป็นนายทหารนอกราชการสังกัดกองทัพเรือ พูดถึงความสำคัญของกาพย์เห่เรือ ก่อนที่จะเท้าความถึงความเป็นมาว่า เหตุไฉนจึงมาจับงานทางด้านนี้ได้
“สมัยเด็กผมคิดว่าถนัด หรือชอบในทางนี้ แต่ว่าการศึกษาของตนในสายสามัญมีน้อย เพราะเป็นคนบ้านนอก(ชาวอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี )ที่รู้เพียงแต่ว่าอ่านออกเขียนได้ก็พอแล้ว ผมจึงเรียนจบแค่ ป.4 ทั้งๆที่อยากจะเรียนต่อแต่ไม่มีทุน แต่เพราะความที่ชอบอ่านหนังสือ เราจึงอ่านดะไปหมดไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรืออะไรที่เป็นกระดาษมีตัวหนังสือก็อ่านหมด แม้กระดาษห่อปลาทูก็อ่าน และโดยส่วนตัวผมก็ชอบในทางกาพย์กลอน โดยเฉพาะนิราศนรินทร์ที่แต่งเป็นโคลง 4 สุภาพ อ่านแล้วติดใจ ชอบมากๆ เลยไปหาสมุดเก่าๆ มาเล่มหนึ่ง แล้วก็ลอกด้วยลายมือตั้งแต่คำแรกจนถึงบทจบ เพราะไม่มีเงินจะไปซื้อหนังสือนิราศนรินทร์มาอ่าน ทั้งที่เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ราคาไม่กี่บาทเท่านั้น”
นาวาเอกทองย้อยรำลึกอดีต ก่อนที่จะเล่าต่อว่า หลังจบ ป.4 ก็ได้ไปบวชเป็นสามเณร เมื่อ พ.ศ.2504 และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ ก่อนสำเร็จการศึกษาจากสำนักเรียน วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ชั้นเปรียญธรรม 9 ประโยค ก่อนที่จะเทียบวุฒิเรียนปริญญาตรีและสมัครเข้ารับราชการในกาลต่อมา
ด้วยความที่มีความรักในบทกวีไทยเป็นสายเลือด นาวาเอกทองย้อยได้แต่งอะไรเรื่อยมา พอมีอายุประมาณ 18 ปี ก็ได้ส่งบทกลอนไปยังหนังสือชัยพฤกษ์ เป็นนิตยสารในเครือของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิชย์ โดยมีอาจารย์เปลื้อง ณ นคร เป็นบรรณาธิการ ก็มักได้ลงอยู่บ่อยๆโดยบางกลอนอาจได้รับการแก้ไขเล็กน้อย และยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดวรรณกรรม วรรณคดี จากมูลนิธิจอห์น เอฟ เคเนดี้ แห่งประเทศไทย
“หลังจากที่ได้แต่งบทกลอนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งในปี 2538 กองทัพเรือรวมทั้งหน่วยราชการอื่น ๆ เตรียมโครงการที่จะฉลองปีกาญจนาภิเษก ในปี 2539 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ได้มีการประกาศให้แต่งกลอนเข้าประกวดว่า “ขอเชิญท่านผู้มีความรู้ความสามารถ แต่งกาพย์เห่เรือ ประกวดเพื่อจารึกไว้ในแผ่นดิน” ใช้คำว่าจารึกไว้ในแผ่นดิน ซึ่งคำๆนี้กระทบตาดีมากเลย แต่เนื่องจากผมไม่ค่อยมีเวลา เพราะขณะนั้นกำลังเรียนโรงเรียนนายทหารอาวุโส ที่มีหลักสูตรที่ค่อนข้างเข้มงวด จึงไม่ได้นึกจะแต่งกลอนส่งประกวดทั้งที่ชอบในเรื่องการแต่งกาพย์กลอนอยู่แล้ว”นาวาเอกทองย้อยกล่าว
แต่ก็ดูเหมือนว่าฟ้าได้ลิขิตนาวาเอกทองย้อยให้มาเดินในเส้นทางสายนี้ เพราะไม่นานเขาก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่า ให้แต่งกาพย์เห่เรือเข้าประกวดที่ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลา แต่ในระบบทหารเมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งก็ต้องทำ นาวาเอกทองย้อยเลยต้องใช้เวลาบนรถไฟที่นั่งจากบ้านที่ราชบุรี ไปเรียนที่ศาลายา เป็นระยะเวลาไป-กลับ 4 ชั่วโมง แต่งกาพย์เห่เรือไปในตัว เขาแต่งอยู่ประมาณ 2 เดือนจึงเสร็จ และเมื่อส่งเข้าประกวด ผลที่ประกาศออกมาก็คือ นาวาเอกทองย้อยได้รับรางวัลชนะเลิศ
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำหน้าที่ผู้ประพันธ์กาพย์เห่เรือ โดยหลังจากนั้นเขาก็ได้รับหน้าที่เรื่อยมา ซึ่งในกระบวนเรือพระราชพิธีครั้งนี้ก็เช่นกัน โดย “กาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” ในครั้งนี้ อ.ทองย้อยได้แต่งไว้ 3 บท คือ บทที่ 1 สรรเสริญพระบารมี ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสรรเสริญพระบารมีพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นบทเด่น บทที่ 2 ชมเรือกระบวน ที่กล่าวถึงความงดงามของขบวนเรือพระราชพิธี และบทที่ 2 ชมเมือง ที่พูดถึงความงามของบ้านเมืองในยุคนี้และความงามของแม่น้ำเจ้าพระยา
“วิธีการของผมคือเอากาพย์เห่เรือตั้งแต่ปีกาญจนาภิเษกมาคลี่ดู ว่าของเดิมแต่งไว้อย่างไร และส่วนที่จะใช้ในปีนี้ มีบทไหนที่ยังใช้ได้ อย่างชมเรือนี่ใช้ได้แน่นอน เพราะเป็นเรือชุดเดิม ชมบ้านชมเมืองเราก็พูดถึงวัฒนธรรมประเพณี นิสัยใจคอน้ำจิตน้ำใจของคนไทย ก็ยังใช้ได้ ส่วนสรรเสริญพระบารมียังใช้ได้อยู่เหมือนกัน แต่ต้องพูดถึงทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีด้วย อันนี้คือถ้าจะว่าเอาแต่ของเก่าทั้งหมดก็ไม่ใช่ แต่งใหม่ทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะว่าเรามีการตัดออก เสริมแต่งเข้าไปใหม่ จนกระทั่งเหมาะสำหรับใช้งานในปีนี้ ทุกครั้งที่ผมแต่งผลงานเสร็จแล้วผมจะไป “บ่ม” ผลงานอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ซึ่งก็คือการปล่อยงานทิ้งไว้โดยไม่สนใจเลยเพื่อให้เราลืม ก่อนที่จะลงมือขัดเกลาแก้ไขอีกทีหลังจากนั้น”
“การแต่งกลอนของผมจะมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ส่วน คือ ฉันทลักษณ์ หลักภาษา และจินตนาการ โดยนำเอาฉันทลักษณ์กับหลักภาษามารังสรรค์ขึ้นให้เกิดเป็นจินตนาการอย่างมีอรรถรส ซึ่งหากแต่งแบบไม่มีจินตนาการ งานมันจะออกมาทื่อๆไม่กินใจ และผมได้นำหลักนี้มาแต่งบทสรรเสริญพระบารมี แล้วดูว่าถ้าเราจะสรรเสริญในหลวงของเรา ซึ่งหากผมคัดเอาโครงการในพระราชดำริมาเล่า จากท่าวาสุกรีไปจนถึงวัดอรุณฯ เล่าแค่โครงการเดียวก็หมดเวลาแล้ว ส่วนอีกร้อยพันโครงการก็ไม่ได้พูดถึง ฉะนั้นผมจึงไม่สามารถเอารายละเอียดโครงการมาเล่าได้หมด จึงเลือกใช้วิธีการเล่าในเชิงจินตนาการ ผมเลยแต่งว่า “คือแสงทิพย์ที่ส่องไทย คือสายใยแห่งทวยสยาม ยิ่งยาววันยิ่งแวววาว ยิ่งยาวยามยิ่งร่มเย็น”
“แรงบันดาลใจที่ฝังใจมาตั้งแต่สมัยบวชเป็นพระก็สำคัญ เพราะหลังจากที่สอบเปรียญธรรม 6 ประโยคได้ ผมต้องเข้าไปรับพระราชทานประกาศนียบัตรพัดยศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่วังไกลกังวล สมัยนั้นคนไปหัวหิน ในความรู้สึกของคนทั่วไปเขาคิดว่าไปเที่ยว ไปสูดโอโซน ไปนั่งกระดิกขาจิบเบียร์ริมทะเล สบาย แต่วันที่เราไปรับพระราชทานประกาศนียบัตรพัดยศ สองพระหัตถ์ที่ยื่นผ้าไตรส่งประเคนมาให้เรา ดูที่หลังพระหัตถ์นั้นเห็นเส้นเอ็นขึ้นชัดเจน ซึ่งเห็นชัดว่าพระองค์ท่านทรงงานหนักมาก ผมจึงอยากขอบอกว่าในหลวงไม่ได้ไปเที่ยวหรอกนะ ท่านไปทำงาน ท่านทำงานมานานหลายสิบปีแล้ว มาจนบัดนี้ 60 ปีที่ท่านครองราชย์ ท่านก็ยังทรงงานหนักเหมือนเดิม และนี่ก็คือแรงบันดาลใจที่ฝังติดตัวมาโดยตลอด”
“การได้แต่งกาพย์เห่เรือในครั้งนี้ มันเป็นเกียรติยศอย่างสูง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันอิ่ม เราได้ยินเขาซ้อม เขาเห่ แล้วก็มีผู้มีเกียรติ มียศ มีผู้หลักผู้ใหญ่ไปดู ผมดีใจมาก ส่วนผมจะไปซุ่มเงียบๆ อยู่ที่ไหนสักแห่ง ไม่ต้องมาสนใจผม ไม่ต้องมาเชิญผมไป ผมชอบอยู่เงียบ ๆ ชอบกินโอเลี้ยงอยู่ที่มุมโต๊ะมืดๆ แล้วก็ดูการร้องกาพย์เห่เรือที่ผมแต่งถวายแด่ในหลวง เท่านี้ผมมีความสุขแล้ว”
/////////////////////////////
เรื่อง - ทีมข่าวท่องเที่ยว