xs
xsm
sm
md
lg

จากไม้ป่าสู่ “เสาชิงช้า” ตั้งตระหง่านคู่กรุงรัตนโกสินทร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กว่าจะหาต้นสักทองที่ถูกต้องตามคุณสมบัติที่ต้องการไม่ใช่เรื่องง่าย
เสียงสังข์ ผสมเสียงจากการตีบัณเฑาะว์ ผสานด้วยเสียงทุ้มๆจากการตีฆ้องที่ดังกึกก้องไปทั่วผืนป่าบริเวณหน่วยประสานงานป้องกันและรักษาป่า(นปป.) จ.แพร่ อันเป็นแหล่งต้นสักทองคุณภาพดีอีกแห่งหนึ่งที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องการที่จะนำมาบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้าแทนอันเก่าที่มีความชำรุดทรุดโทรมหลังจากที่ตรวจพบเมื่อปี 2547 และซ่อมแซมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2548

ต้นสักทองที่นำมาใช้ในการทำเสาชิงช้าอันใหม่นี้ มีทั้งหมด 6 ต้นด้วยกัน และคงต้องบอกว่าเป็นสักทองที่พิเศษสุด และไม่ได้หาเจอกันได้ง่ายๆ จนกระทั่งสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มว่า เป็นต้นสักทองที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว

และเรื่องราวต่อไปนี้คือ เรื่องราวของการค้นหาไม้สักและการบวงสรวงที่เต็มไปด้วยความเชื่อที่น่าสนใจมากมายเพื่อนำไม้สำคัญจากป่าสู่เมืองในครั้งนี้....

**ตามล่าหาไม้สักทอง

ภายหลังจากตรวจพบความทรุดโทรมที่เกิดขึ้นของเสาชิงช้า ในปี 2547 ซึ่งยากที่จะซ่อมแซมหรือบูรณะให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้ กระบวนการในการเริ่มค้นหาไม้ทดแทนก็เกิดขึ้นในทันที โดยในช่วงแรกนั้นมีไม้ 2 ชนิดเป็นทางเลือกคือ "ไม้สักทอง" และ "ไม้ตะเคียนทอง" แต่ในที่สุดก็มาลงเอยที่ไม้สักทอง

สุรพล วัฒนวิจารณ์ รองผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร(กทม.) เล่าให้ฟังถึงการสืบค้นหาไม้ในครั้งนี้ว่า ในการสืบค้นไม้กทม.โดยคณะอนุกรรมการสืบค้นหาไม้ซึ่งมีนายไชยวัฒน์ ฉลองพันธรัตน์ ผอ.สำนักเทศกิจ กทม.เป็นประธานได้รับความร่วมมือจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกค้นหาต้นสักทองที่มีขนาดตามกำหนดตามแหล่งไม้สักทั่วไปในภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งได้เดินทางไปสืบค้นในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุโขทัย ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และจังหวัดแพร่ฯลฯ โดยมีอาจารย์จากคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมเดินทางไปค้นหาโดยใช้หลักวิชาการตรวจสอบต้นสักทองที่อยู่ข่ายการคัดเลือกทุกแห่ง...

...และในที่สุดความพยายามของกทม.ก็เป็นผลสำเร็จเมื่อคณะอนุกรรมการฯ สามารถค้นพบไม้สักทองสำคัญในจังหวัดแพร่จำนวน 3 แห่งด้วยกันโดยต้นหลักที่ 1 อยู่ที่บริเวณหน่วยประสานงานป้องกันและรักษาป่า(นปป.) จังหวัดแพร่ หมู่ที่ 2 ตำบลไทรย้อย อำเภอเด่นชัย มีขนาดเส้นรอบวงบริเวณโคนต้น 360 เซนติเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 114 เซนติเมตร ความสูงจากโคนถึงยอดไม้มากกว่า 40 เมตร อยู่ในพื้นที่ราชพัสดุในการดูแลของธนารักษ์พื้นที่แพร่
 
ต้นหลักที่ 2 พบที่บริเวณไหล่ทางหลวงหมายเลข 101 หลักกิโลเมตรที่ 104+066 หน้าบ้านเลขที่ 26/1 หมู่ที่ 2 9.ไทรย้อย อ.เด่นชัย มีเส้นรอบวงโคนต้น352 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 112 ซม. ความสูงจากโคนถึงยอดมากกว่า 30 เมตร ซึ่งอยู่ในเขตควบคุมรับผิดชอบของแขวงการทางแพร่

ส่วนต้นสักต้นที่ 3-6 ซึ่งจะนำไปทำเป็น "ไม้ตะเกียบพยุง" ไม่ให้เสาชิงช้าเกิดความสั่นสะเทือน อยู่บริเวณสวนป่าห้วยไร่ปลูกเมื่อปี 2488 อายุ 61 ปี มีเส้นรอบวงโคนต้น 230 เซนติเมตร สูง 20 เมตร ทั้งหมด โดยอยู่ในเขตควบคุมรับผิดชอบของกระทรวงทรัพย์

ประสงค์ สงวนธรรม หัวหน้าภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บอกว่า การจะตรวจสอบว่าไม้สักทองมีคุณภาพเนื้อไม้เป็นอย่างไรจะเจาะที่ระดับความสูง1.30 เมตร จากโคนต้นซึ่งจากการตรวจสอบเนื้อไม้ตั้งแต่เปลือกไปจนถึงแกนไม้พบว่าไม้สักทั้ง 6 ต้นมีคุณภาพดี แข็งแรง ไม่มีโพรงในเนื้อไม้ ทั้งนี้ไม้สักเป็นไม้ผลัดใบ ดังนั้น จึงต้องการฤดูเจริญเติบโตและฤดูพักตัวซึ่งประเทศไทยเหมาะสมอย่างยิ่งกับการปลูกไม้สัก และตนก็เชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีไม้สักทองที่คุณภาพดีที่สุด

"ไม้สักที่กทม.ต้องการจะต้องมีขนาดที่เมื่อกลึงแล้วจะต้องได้โคนต้นเสาชิงช้ามีเส้นรอบวง 60 ซม.ปลายยอด 50 เซนติเมตร ไม่มีลักษณะบิดเบี้ยว และต้องเป็นไม้สักทองเท่านั้น ซึ่งดูมาเป็นร้อยต้นแล้วจึงมาเจอและเป็นต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตาชาวบ้าน และในส่วนราชการจึงไม่มีใครมารบกวน และระหว่างที่ค้นหามีชาวบ้านจากหมู่บ้านห้วยไร่ มาบอกว่าที่หมู่บ้านมีต้นสักทองที่กทม.ต้องการทั้งๆที่ต้นสักทองดังกล่าวเป็นของราชการก็ไปดูและก็ได้ต้นสักทองที่นั้นมาอีก 4 ต้น"

"ผมก็เคยกลัวเหมือนกันว่าจะไม่สามารถหาไม้สักทองที่ต้องการได้แต่กทม.ก็ได้เตรียมแผนไว้ว่าจะนำไม้ตะเคียนทองมาแทนซึ่งมีความแข็งแรงกว่าไม้สัก แต่เหตุที่ไม่เอาตะเคียนทองเพราะว่าความเชื่อของคนที่เชื่อว่าใช้ไม้สักจะมีศักดิ์มีศรี และคนทั่วไปจะบอกว่าอะไรก็ตามที่เป็นไม้สักจะมีคุณค่าทางจิตใจสูง"
 
ขณะที่สุรพลขยายความเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ไม่ใช้ไม้ท่อนๆมาต่อกันเหมือนของเดิมเพราะไม้ท่อนต่อจะมีปัญหาเนื่องจากน้ำจะเข้าระหว่างรอยต่อทำให้มีผุเร็วมากอย่างที่ซ่อมเสาชิงช้าล่าสุดอยู่ได้เพียง 35 ปี ซึ่งหากใช้ไม้ท่อนเดียว ผนวกกับกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ด้วยการอบ อาบน้ำยา ก็จะทำให้ไม้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นซึ่งคาดว่าการบูรณะครั้งนี้จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 100 ปี

**ถึงขั้นต้องประชาพิจารณ์

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะได้ไม้สักทองครบทั้ง 6 ต้นนั้นก็ต้องมีอุปสรรคมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือความไม่เข้าใจจากชาวบ้าน เพราะแม้จะมีชาวบ้านบางส่วนเห็นด้วยแต่อีกหลายๆคนกลับไม่ทราบเรื่อง ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการทำประชาพิจารณ์กรณีไม้สักทองเกิดขึ้น ณ หมู่บ้านห้วยไร่ อ.เด่นชัย

และในที่สุดเมื่อความเข้าใจตรงกัน ชาวบ้านมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะยกไม้สักทองให้กับกทม.

ภูวนารถ สินทรัพย์ นายอำเภอเด่นชัย จ.แพร่ บอกว่า บอกว่า ชาวบ้านทุกคนซึ่งเป็นเจ้าของต้นสักทองยินดีที่จะมอบต้นสักทองทั้งหมดให้กับกทม.เพื่อนำมาเป็นเสาชิงช้าคู่ใหม่ เพื่อร่วมสืบสานประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม และที่สำคัญเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ในเดือนมิถุนายนนี้ ตลอดจนการตัดไม้สักทองครั้งนี้จะเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกหน้าหนึ่งของประเทศไทยในรอบ 100 ปีที่จะมีการบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้าใหม่ทั้งหมด

"เปรียบเทียบต้นสักทองกับหญิงงามแล้ว ต้นสักทองทั้งหมดหากขึ้นประกวดบนเวทีนางงามระดับโลกแล้วผมมั่นใจว่าจะต้องได้รับตำแหน่ง Miss Universe อย่างแน่นอน"นายอำเภอเด่นชัยยืนยันความสวยของต้นสักทอง

ด้านสุพจน์ กาศสกุล อายุ 50 ปี ชาวตำบลไทรย้อยที่หน้าบ้านมีต้นสักต้นที่ 2 ตั้งอยู่หน้าบ้าน บอกว่า รู้สึกดีใจและเสียใจเพราะเกิดมาก็เห็นต้นสักทองต้นนี้แล้ว พ่อกับแม่เคยเล่าให้ฟังว่าเกิดมาก็เจอต้นสักต้นนี้แล้วเหมือนกัน ก็ผูกพันเป็นธรรมดา เพราะปกติตนจะเข้าไปเก็บกวาดใบสักที่ร่วงลงมา ซึ่งก็ทำอย่างนี้มากว่า 30 ปีแล้ว

ทั้งนี้ ตนได้ไปทำประชาพิจารณ์ด้วยเขาก็บอกว่าจะเอาไปทำเสาชิงช้าตอนแรกก็เคยคิดที่จะไม่ให้แต่เขาบอกว่าจะทำเพื่อถวายในหลวงก็เลยเห็นชอบด้วย ส่วนกับเพื่อนบ้านก็ได้คุยเรื่องนี้ด้วย ซึ่งทุกคนก็รู้สึกดีใจแม้จะเสียใจเสียใจแต่ก็ไม่คิดคัดค้าน และหากมีโอกาสจะไปดูที่กรุงเทพฯ

**เคล็ดลับแห่งพิธีบวงสรวง

เมื่อค้นหาต้นสักทองทั้ง 6 ต้นเจอเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ ก็มาถึงจุดสำคัญนั่นก็คือการทำ "พิธีบวงสรวง" ที่ทำให้วันที่ 19 พ.ค. ซึ่งมีทั้งพุทธและพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิธีพราหมณ์นั้นถึงขนาดมีตำรับตำราหรือคู่มือในการบวงสรวงเลยทีเดียว เนื่องจากในความเป็นจริงนั้น กำเนิดแห่งการสร้างเสาชิงช้าหรือพิธีโล้ชิงช้าก็คือพิธีกรรมของทางพราหมณ์โดยตรง...

พระราชครูวามเทพมุนี หัวหน้าพราหมณ์เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เล่าให้ฟังถึงการบวงสรวงในครั้งนี้ว่า กำหนดจากตำราของอาจารย์ทองเจือ อ่างแก้วที่ระบุไว้ว่าเวลา14.14 น.- 15.27 น. เป็นมหาฤกษ์ แม้ว่าจะมีการบวงสรวงก่อนฤกษ์ไม่เป็นไรเพราะวันศุกร์ที่ 19 พ.ค.ถือเป็นวันดี ซึ่งการบวงสรวงคือการระลึกถึงคุณความดีของเทพเทวา เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตในป่าแห่งนี้

สำหรับสิ่งของที่ใช้ในพิธีบวงสรวงต้นสักทองในครั้งนี้ จะไม่ใช้อาหารคาวซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่เบียดเบียนชีวิต ขนมหวานประกอบด้วยนม เนย งา ถั่ว งา ซึ่งหมายถึงความสุขและปัญญา ผลไม้ คือ มะพร้าว กล้วย และผลไม้ตามฤดูกาล แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ในส่วนนี้ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข มีปัญญาเหมือนที่ได้ถวายของหวาน

ขณะที่ การบายศรีเป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ ทั้งนี้การบวงสรวงในแต่ละที่จะเป็นแบบเดียวกันเพียงแต่พิธีการบางส่วนจะถูกเปลี่ยนไปเพราะการบวงสรวงที่ต้นสักต้นแรกเป็นการบวงสรวงครั้งใหญ่แล้ว ซึ่งเมื่อไปบวงสรวงต้นสักทองที่เหลืออีก 5 ต้นก็จะเป็นขั้นตอนการรดน้ำเทพมนต์ พรมน้ำอบ เจิมต้นไม้สัก และอธิษฐานจิตเพื่อแสดงความยินดีที่จะนำต้นสักทองไปบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้าอันใหม่ ผูกขวัญต้นไม้สักจากประชาชนที่เข้าร่วมงาน

"สำหรับการเคลื่อนย้ายท่อนไม้สักไม่ต้องใช้ฤกษ์ใดๆอีกแล้ว เพราะเป็นขั้นตอนต่อเนื่องจากพิธีการบวงสรวงต้นสักทองในครั้งนี้ ซึ่งหากพร้อมเมื่อไหร่เจ้าหน้าที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทันที"

พระราชครูวามเทพมุนี อธิบายด้วยว่า เสาชิงช้าเป็นคติทางศาสนาพราหมณ์เพราะโบราณที่จะมีการสร้างพระนครก็จะมีพระราชพิธีตรียัมปวายเพื่อให้เกิดสิริมงคลซึ่งพิธีโล้ชิงช้าเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีตรียัมปวายและตรีปวาย

ส่วนพิธีโล้ชิงช้าก็คือ การจัดให้มีการแสดงตำนานถึงการสร้างโลกกำหนดว่าในตำนานมีพระพรหมเป็นผู้สร้าง จากนั้นก็ขอให้พระอิศวรมาทดสอบว่าโลกที่สร้างมีความแข็งแรงหรือไม่ ซึ่งพระอิศวรก็กำหนดว่าถ้าจะแข็งแรงให้พญานาคขนดตัวระหว่างภูเขาใหญ่ 2 ลูกบนโลกนี้ และก็ให้พญานครดึงยื้อยุดดูว่ามีความสั่นสะเทือนแค่ไหนซึ่งหากสั่นสะเทือนมากถือว่าไม่มีความแข็งแรง พร้อมทั้งกำหนดด้วยว่าจะยืนยกขา 1 ข้างถ้าสั่นสะเทือนจนล้มและต้องเอาขาอีกข้างมาช่วยยืนหมายความว่าไม่แข็งแรง แต่ในการทดสอบพระอิศวรก็สามารถยืนอยู่ขาเดียวจนการทดสอบเสร็จสิ้นลงท่านก็ไม่ล้มแสดงว่าโลกที่สร้างขึ้นนี้มีความแข็งแรง

ทั้งนี้ กำหนดให้เสาทั้ง 2 เสาเป็นภูเขา ผู้ที่ขึ้นไปโล้สมมติให้เป็นพญานาคซึ่งคนโล้จะใส่หมวกรูปพญานาคด้วย จากนั้นไกวชิงช้าทดสอบว่าแข็งแรงหรือไม่ โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่1 ซึ่งครั้งนั้นทำเพื่อดูว่าเมืองที่สร้างขึ้นมีความแข็งแรงและมีความรุ่งเรืองเหมือนดังโลกที่พระพรหมทรงสร้างขึ้น และกำหนดว่าเสาชิงช้าต้องอยู่ใจกลางพระนครโดยวัดจากริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปจนถึงกำแพงเมืองบริเวณป้อมพระสุเมรุซึ่งที่ได้ก็คือบริเวณหน้าเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ แต่ปัจจุบันได้เลื่อนเสาชิงช้าไปทางวัดสุทัศน์เพราะปัจจัยทางสถาปัตยกรรม

**ปลูกสักทอง 1 ล้านต้นทดแทน

หลังจากผ่านพิธีกรรมต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการชักลากไม้จากแพร่ ซึ่งคาดว่าประมาณต้นเดือนมิถุนายนนี้โดยจะนำไปไว้ที่โรงงาน(อู่บก)ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้(ออป.)ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อให้เจ้าหน้าที่จากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินการแปรรูป พร้อมทั้งอาบน้ำยา อบ เกลา เพื่อให้ไม้สักทองมีความแข็งแกร่ง ทนทาน รวมทั้งแกะสลักกระจังยอดของเสาชิงช้าให้เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ จะนำของเดิมมาทาบ อาบน้ำยาผิวหน้าอีกครั้ง จากนั้นลองประกอบให้เข้ากันก่อนที่จะนำมาแทนเสาชิงช้าตัวเดิม โดยกระบวนการทั้งหมดกรมศิลปากรจะเป็นผู้ควบคุมทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด

หลังจากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2549 กทม.จะขุดฐานรากเสาเข็มและรื้อเสาชิงช้าเก่าออกทั้งหมด ซึ่งในเดือนกันยายน 2549 จะนำเสาชิงช้าคู่ใหม่มาติดตั้ง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเสาชิงช้าคู่เก่านั้น กทม.อาจจะคืนให้แก่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ส่วนกระจังด้านบนจะนำกลับมาไว้ที่ศาลาว่าการกทม. จากนั้นคณะกรรมการจะพิจารณาวัน เวลา เพื่อจัดพิธีตรียัมปวายต่อไป
รองฯสุรพล บอกต่อว่า เมื่อกทม.นำไม้สักมาจากแพร่ กทม.ก็จะมีการตอบแทนน้ำใจอันดีงามกับชาวจังหวัดแพร่ด้วยเช่นกันซึ่งก็คือการปลูกต้นสักคืนให้กับแพร่ จำนวน 9 ต้นที่นปป.แพร่ โดยมีผู้ว่าฯ กทม และผวจ.แพร่ และข้าราชการผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันปลูกด้วย การทำข้อตกลงบ้านพี่เมืองน้องโดยกทม.จะให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการ การสาธารณสุข เป็นต้น ส่วนเศษไม้ที่เหลือจากการกลึงเป็นเสาชิงช้าจะนำมาทำเป็นศาลา 6 เหลี่ยม คร่อมที่ตอไม้แล้วทำแท่นจารึกไว้

นอกจากนี้จะได้นำไม้จากต้นสักทองดังกล่าวไปไว้ที่ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อศึกษาทางวิชาการต่อไป ขณะที่ใบและกิ่งสักจะนำไปทำเป็นเสาชิงช้าจำลองเพื่อหารายได้เข้ากองทุนที่จะตั้งขึ้นเร็วๆนี้ ซึ่งใบสักจะทำดอกไม้ประดิษฐ์ ฟอกให้เป็นสีขาวทำเป็นที่ระลึก โดยจะพยายามเอามาใช้ประโยชน์ให้หมดทั้งต้น

ด้านอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ยืนยันด้วยว่า กทม.จะนำเนื้อเยื่อจากไม้สักทองไปเพาะชำเป็นกล้าไม้อีก 1 ล้านต้นหลังจากที่ได้ร่วมกันปลูกกับผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวมจำนวน 9 ต้น ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตได้ขนาดที่เหมะสมแล้ว ก็จะนำมาปลูกที่แพร่ พื้นที่บางส่วนของกทม. รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ ที่มีความเหมาะสมต่อไป

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้าครั้งนี้จะสามารถเสร็จภายในปลายปี 2549 อย่างแน่นอนเพื่อร่วมเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี

*******************
เรื่องและภาพโดย...ธีรกานต์ จันทะรัง
 







กำลังโหลดความคิดเห็น