"ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน ถ้าลูกค้าพอใจอยากให้ทำอะไรผมก็ทำ" นี่คือคำพูดของเอ็กซ์ (นามสมมติ) ชายหนุ่มวัย 24 ปีที่อ้างว่ามายืนริมคลองหลอดกว่า 4 เดือนแล้ว เอ็กซ์เปิดเผยว่า ตอนที่ตัดสินใจจะมายืนเขาก็ยังรู้อะไรไม่มากนักว่ามาแล้วต้องทำอะไร ต้องพูดแบบไหน และต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง รู้เพียงสองอย่างเท่านั้นคือ หนึ่งมายืนตรงนี้แล้วได้เงิน และสอง ที่ได้เงินเพราะ 'ต้องขายบริการทางเพศ'
'ผู้จัดการปริทรรศน์' มีโอกาสได้พูดคุยกับ 'ผู้ชายขายบริการริมคลองหลอด' ถึงเรื่องราวชีวิต และความเป็นไปเป็นมา จนกระทั่งมาเป็นผู้ที่เลือกจะ 'ให้บริการทางเพศ' แก่แขกที่มีเงินทุกคน พวกเขาทำเพื่อสิ่งที่ตนเรียกว่า 'ชีวิต'
คืนค่ำในกรุงเทพฯ มีถนนหลายสาย และสถานที่หลายแห่งที่ไม่ยอมหลับใหล หลายที่สว่างไสวต้อนรับบรรดานักท่องราตรีทั้งชาวไทยและต่างชาติ หากว่ามีคนอุตรินับจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวตอนกลางคืนเพื่อเปรียบเทียบประเภทแล้วล่ะก็ หมอดูหลายท่านต้องฟันธงแน่นอนว่า สถานเริงรมย์ที่มีการให้บริการทางเพศทั้งที่เปิดโจ่งแจ้งและแอบเปิด มาแรงแซงร้านประเภทอื่นๆ แน่
นับจำนวนร้านยังเห็นแววว่าจะชนะ คราวนี้ลองหาคนที่มหาอุตริมานับจำนวนคนที่เลือกที่จะเป็นผู้ให้บริการทางเพศดีกว่าว่าจะมีเยอะแค่ไหน คงต้องลำบากกันยิ่งกว่าการเลือกตั้งซ่อมแน่ เพราะคนพวกนี้หาตัวไม่ใช่ง่ายๆ สำหรับคนที่มีสังกัดตามสถานบริการต่างๆ ก็ดีไป แต่คนที่เป็นฟรีแลนซ์ (ประกอบการอิสระ) เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ก็คงต้องควานตัวกันยากหน่อย เพราะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน
'คลองหลอด' เป็นอีกที่ในยามค่ำคืน ครึกครื้นไปด้วยเด็กหนุ่มหน้าตาดี อายุระหว่าง 17-25 ปี พวกเขามายืนแสดงความนอบน้อมโดยการโค้งให้กับรถของคนที่พวกเขาเรียกว่า 'แขก' ที่ขับวนไปเวียนมา รอบบริเวณแห่งนั้น เด็กหนุ่มเหล่านี้ภายนอกมีบุคลิกที่ดึงดูดไม่น้อย หน้าตา ท่าทาง ดูออกว่าไม่ใช่เด็กเร่ร่อนที่ไหน หลายคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาแถวนี้คงชินกับภาพพวกเขาที่ยืนรายล้อมคลองหลอด บ้างก็จับกลุ่มดื่มเหล้า บ้างก็ยืนลำพังอย่างโดดเดี่ยว หลากหลายปนเปกันไป
*ทำไมตัดสินใจมาเป็น 'ผู้ชายขายบริการ'
เอ็กซ์เล่าถึงเหตุผลที่ต้องมายืนขายบริการตรงคลองหลอดว่า ก่อนหน้านี้เขาเป็นพ่อค้าขายกิฟต์ชอบย่านปทุมธานี และอาศัยตลาดนัดตามที่ต่างๆ ลงแผงไปเรื่อยๆ แต่พักหลังเริ่มขายได้ไม่ดี ส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนไม่ทัน สุดท้ายเลยต้องหยุดชั่วคราว
"ฟังดูมันเหมือนตลกนะ แต่ผมผ่านมาแถวนี้เห็นเขายืนกันแล้วได้เงินดี ผมก็เลยลองเอาบ้าง ก็ดีนะ ขายตรงนั้นไม่ดีเลยมาขายตรงนี้แทน รายได้ดีกว่ากันเยอะจริงๆ"
เอ็กซ์แสดงทัศนคติที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์ที่เกิดขึ้นจากการขายบริการว่า
"ผมไม่ซีเรียสเรื่องเซ็กซ์อยู่แล้ว ขอแค่ให้มีเงินใช้ก็พอ ผมเลิกขอเงินพ่อแม่ตั้งแต่อายุ 16 พอเรียนจบ ม.3 ก็ต่อการศึกษาผู้ใหญ่ เรียนบ้างไม่เรียนบ้างตามประสา ก็เพราะเป็นแบบนี้ผมเลยอยากหาเงินใช้เอง ไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อน"
เอ็กซ์เล่าถึงรายได้ที่เขาแบ่งให้กับทางบ้านว่า เขาให้เงินทางบ้านวันละ 200 บาท หนึ่งเดือนก็ 6,000 ไม่มากไม่น้อย แต่ก็พอแบ่งเบาทางบ้านได้
นอกจากเอ็กซ์แล้ว ยังมี ต้น(นามสมมติ) เด็กหนุ่มเมืองกรุงหน้าตาสะอาดสะอ้านวัย 18 ปี ที่ถึงแม้อายุจะน้อยกว่าเอ็กซ์หลายปี แต่อายุการทำงาน ณ บริเวณคลองหลอดแห่งนี้ก็นับว่าเป็นรุ่นพี่เอ็กซ์อยู่ไม่น้อย เหตุผลที่มาขายบริการทางเพศของต้นแตกต่างจากเอ็กซ์ค่อนข้างมาก เอ็กซ์มาเพราะตกงาน แต่ต้นมาเพราะมันเป็นงาน
"ผมไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน หยุดเรียนแล้วก็อยู่บ้านเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ จนตัดสินใจเลือกมายืนแบบนี้ มันกลายเป็นชีวิตประจำวันผมไปแล้ว กลางวันนอน กลางคืนขายตัว"
ถึงแม้ว่าเหตุผลของการมาขายจะต่างกัน แต่สิ่งที่เขาทั้งสองทำอย่างไม่แตกต่างคือ การนำเงินไปจุนเจือครอบครัว
"ผมให้เงินที่บ้านใช้วันละ 500 นะ พ่อแม่ผมก็ทำงาน แต่บางครั้งเงินก็หมุนไม่ทัน ทุกวันนี้เงินกินเงินใช้เป็นของผมหมด" ต้นกล่าว
เมื่อพิจารณาจากเหตุผลข้างต้นแล้ว คงจะไม่น่าเกลียดถ้าจะขอสรุปว่า ที่พวกเขาเลือกจะมาเป็นหนุ่มขายบริการทางเพศแบบนี้ก็เพราะเหตุผลทางการเงิน ที่บ้านอาจจะลำบากหรือไม่ ก็มิสามารถสรุปได้หมด แต่น้ำหนักของตรรกะถ่ายโอนไปที่คำว่า 'รายได้ดี' กว่า 90 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว
เมื่อได้รับรู้ถึงเหตุผลที่เขาต้องมาขายบริการทางเพศแล้ว วิธีการขาย เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยที่คนธรรมดาอย่างเราใคร่รู้ว่า เขามีวิธีการอย่างไร แตกต่างจากนวลนางตู้กระจก หรือผู้ชายป้ายเหลืองในบาร์ ที่เราท่านพอจะนึกภาพออกว่า ต้องผ่านกระบวนการใดบ้าง จึงจะได้มาซึ่งนัมเบอร์ที่ลูกค้าต้องการ
*กระบวนการขายและการให้บริการ
เอก (นามสมมติ) หนุ่มเหนือ จากพิษณุโลก วัย 19 ปี อธิบายถึงวิธีการมาขายบริการริมคลองหลอดว่า การยืนมีทั้งยืนเดี่ยว ยืนกลุ่ม คนที่ยังไม่มีเพื่อนหรือมาคนเดียว มักจะยืนเดี่ยว แต่คนที่อยู่มานานแล้ว มีเพื่อนเยอะ จนถึงขั้นสนิทกันก็จะยืนเป็นกลุ่ม เริ่มมายืนกันตั้งแต่ 1 ทุ่มเป็นต้นไป
"แต่ช่วงหัวค่ำคนยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เพื่อนๆ จะเริ่มมายืนเยอะตอนช่วงสี่ทุ่มถึงตีสอง ช่วงนั้นครึกครื้นที่สุดแล้ว" เอกกล่าว
จากนั้นเอกเล่าถึงวิธีการเข้ามาซื้อของแขกว่า แขกจะมีทั้งขับรถมาเองและนั่งแท็กซี่ แต่วิธีเลือกจะเหมือนกันคือ ขับวนรอบคลองหลอดจะกี่รอบก็ไม่ว่ากัน
"แขกจะวนกี่รอบก็ได้นะ แต่ถ้าวนนานๆ แล้วไม่เลือกสักที พวกผมก็รำคาญ บางทีก็สงสัยว่าเป็นพวกอื่นที่ต้องการอะไรจากเราหรือเปล่า แต่เขาก็มีสิทธิ์นะ สิทธ์ที่จะเลือกและพิจารณาได้อย่างเต็มที่ เพราะเงินที่จ่ายเป็นของเขา และอีกอย่างเราก็เป็นสินค้านี่"
เอกเล่าต่อว่า ถ้าแขกพอใจหรือสนใจคนไหนก็จะจอดรถรับคนนั้นให้ขึ้นไปคุยตกลงราคากันบนรถ
"แต่ก่อนไม่ต้องขึ้นรถก็ได้นะ เปิดกระจกคุยกันตรงนั้นเลย แต่ตอนนี้จอดรถแช่ไม่ได้เดี๋ยวโดนตำรวจซิว อีกอย่างก็จะโดนแขกคันอื่นเร่งด้วย"
เอกเปิดเผยถึงคำถามที่แขกมักจะถามประจำในการพิจารณาเลือกใช้บริการ ได้แก่ เท่าไหร่? ทำอะไรได้บ้าง? ไปได้ไกลหรือเปล่า? และบางทีอาจเจอคำถามทีเด็ดคือ แล้วขนาดล่ะแค่ไหน?
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ถ้าโชคดีแขกตัดสินใจจะใช้บริการ หน้าที่ต่อมาของหนุ่มๆ เหล่านี้คือแนะนำโรงแรมใกล้ๆ ราคาประหยัดและสะอาดให้แก่ลูกค้าที่ไม่ค่อยคุ้นกับสถานที่และต้องการให้ธุระเสร็จเร็วๆ แต่บางรายที่ต้องการความสะดวกสบายของตนเอง ก็จะพาไปที่อพาร์ทเมนต์ คอนโดฯ หรือไม่ก็ที่บ้าน จะไกลหรือใกล้แค่ไหนต้องขึ้นอยู่ที่ข้อตกลงร่วมกันก่อนเลือก แต่สิ่งที่แขกต้องเทกแคร์ประจำคือ กลับมาส่งที่เดิมหรือถ้าไม่สะดวกก็เปลี่ยนเป็นค่าแท็กซี่ก็ไม่ว่ากัน
เห็นวิธีการซื้อขายบริการแล้ว อาจดูเหมือนไม่ยาก ไม่เหนื่อย และไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย แต่เอกบอกว่า กว่าจะได้แขกแต่ละคนก็ใช้เวลาเหมือนกัน ยิ่งช่วงปลายสัปดาห์แขกเยอะก็จริง แต่เพื่อนๆ ที่มาขายก็เยอะมาก ยิ่งคนขายเยอะก็แสดงว่าตัวเลือกเยอะขึ้น บางคนโชคไม่ดีได้ออกแค่รอบเดียวหรือก็ไม่ได้ออกเลยทั้งคืน
*แขกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชาย
เอกเล่าว่า ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ แขกจะเยอะมาก แต่แขกส่วนใหญ่เป็นผู้ชายวัยทำงาน
"ผู้หญิงก็มีนะ แต่นานๆ ครั้ง คนที่มาซื้อก็เป็นคนมีเงิน ชอบเที่ยว สะอาดสะอ้าน เป็นเกย์ซะส่วนมาก พวกเราบางคนก็เป็นเกย์นะ แล้วแต่ว่าจะเป็นประเภทไหน เรื่องหน้าตาพวกเราก็ต้องดูแลตัวเองเหมือนกัน เพราะถ้าปล่อยตัวเอง ดูไม่ได้ก็จะหาแขกลำบาก เพราะไม่มีใครชอบคนสกปรกหรอก"
ด้านต้นเล่าว่า ไม่มีวันไหนไม่ได้แขก เพราะแขกวนมาทุกๆวัน
"ส่วนมากเขาไม่กะแขกเป็นรายตัว กะเป็นตัวเงินมากกว่า ราคาทั่วไปเริ่มที่ 500 บาท อย่างผมได้สองพันกว่าผมก็เลิกแล้ว แขกบางคนก็ให้พันกว่าบาท วันไหนดวงดีคนเดียวก็ให้สองพันเลย ออกคนละสามรอบก็พอแล้ว
"เวลาไปกับแขก ก็แล้วแต่เจอคนแบบไหน บางคนก็ถามซอกแซก บางคนก็เฉยๆ เจอหลากหลายอารมณ์ ซึ่งส่วนนี้ทำให้เราอึดอัดและกดดันเหมือนกัน แต่ถ้าโชคร้ายเจอแขกวิตถารก็ซวยไป" ต้นกล่าว
"มาทำแบบนี้เราก็ต้องทันคน มีไหวพริบ แขกบางคนอยากพูดให้เราฟัง เหมือนกับเขาเครียดจากการทำงาน หรือจากครอบครัวก็แล้วแต่ เราก็ควรจะฟังเขา พูดเสริมหรือสนับสนุนได้บ้างก็จะดี เขาจะได้ไม่หาว่าเราโง่ แต่ถ้าเจอคนที่เขาเงียบไม่อยากพูดมาก หรืออารมณ์ร้ายๆ นิ่งได้ก็ควรนิ่ง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาจะอาละวาดกับเราหรือเปล่า ถ้าเขาลุกขึ้นมาทำร้ายเราก็ยุ่ง ชีวิตไม่ปลอดภัยอีก เพราะฉะนั้นต้องดูสถานการณ์และประเมินอารมณ์ของลูกค้าด้วยก็จะดี เพื่อการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง และความปลอดภัยของเราด้วย" ต้นกล่าวเสริม
*เงินดีแต่เสี่ยง
ขึ้นชื่อว่าเป็น 'งาน' นอกจากวิธีการดำเนินงาน และผลตอบแทนที่ได้จากการทำงานแล้วนั้น ยังมีอุปสรรคในการทำงานอีกด้วย หนุ่มๆ เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน
"พวกเรามาทำแบบนี้แน่นอนว่า เจอถูกจับ บางที่จับไปแป๊บเดียวก็ปล่อย แต่บางที่จับไปนาน ตรวจบัตร ตรวจนั่นตรวจนี่ วันดีคืนดีก็ตรวจฉี่ด้วย" ต้นกล่าวถึงอุปสรรคในการทำงานด้วยอารมณ์เซ็งๆ
ต้นยังเล่าต่อว่า เรื่องถูกจับไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะยังไงก็เข้าใจว่าเป็นหน้าที่ และที่พวกเขามายืนแบบนี้ก็ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไรด้วย แต่ปัญหาชิ้นโตที่เจอเป็นประจำและอันตรายกว่าถูกจับคือ 'แก๊งก์มอเตอร์ไซค์รีดไถ' พวกนี้จะมาจี้ขอเงินบ่อยมาก โดยเฉพาะวันศุกร์- เสาร์-อาทิตย์ ตอน 5 ทุ่ม
"พวกนี้จะขี่มอเตอร์ไซด์มาไถเงิน เราก็ต้องวิ่งหนี ถ้าหนีไม่ทันมันก็ต้องไถ ถ้าไม่ให้มันก็ตี ที่จริงจะสู้เราก็สู้ได้นะ แต่ไม่อยากสู้ เพราะเป็นที่ทำมาหากินของเรา แล้วเขาก็จะมากวนตลอด ก็คิดนะว่านิดๆ หน่อยๆ ให้ไปเถอะ แต่มันก็เอาเยอะ ครั้งละ 500 บางทีมาล้วงที่กระเป๋าเลย แต่เราก็ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะตรงนี้เราคุ้นเคยแล้ว รู้ทางหนีทีไล่หมด แต่ถ้าไปที่อื่นก็ต้องนับหนึ่งใหม่ สู้อยู่ที่เดิมดีกว่า
เรามายืนตรงนี้ต้องอย่าบื้อ ต้องรู้ทันคน แขกไม่ดีก็มีเยอะ จิ๊กโทรศัพท์ก็มีบ่อย เช่น พาไปนั่งร้านคาราโอเกะ สักพักก็ขอยืมโทรศัพท์เราออกไปคุยนอกร้าน อ้างว่าคุยข้างในไม่ได้ เสียงดังเกินไปไม่ได้ยินเสียง จากนั้นก็หนีไปกับโทรศัพท์ของเรา มิหนำซ้ำค่าร้านคาราโอเกะเรายังต้องจ่ายอีก ทำงานแบบนี้ต้องทันคน พอลงจากรถเราต้องอยู่ติดกับแขกตลอด บางคนต้องรีบขอเงินก่อน อย่าหาว่างกหรืออะไรเลย แต่เราต้องใช้วิธีแบบนี้เพราะยังไม่คุ้นกับแขก แต่สำหรับคนที่เจอกันบ่อยก็ไว้ใจได้ ยิ่งบางคนที่เจอกันบ่อยแล้ว ก็แลกเบอร์โทรศัพท์กัน ก็มีนัดเจอกันข้างนอกบ้างบางโอกาส" ต้นทิ้งท้ายถึงปัญหาที่ต้องเจอเวลาทำงาน
ปัญหาและอุปสรรคที่พวกเขาเจอในการทำงาน อาจจะดูมีแค่ไม่กี่ปัจจัย แต่เมื่อมองไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากปัญหานั้นๆ ดูจะยิ่งใหญ่ถึงแก่ความปลอดภัยในชีวิต เมื่อการทำงานในแต่ละค่ำคืนอยู่ท่ามกลางอันตรายรอบด้านอย่างนี้ พวกเขาคงต้องเพิ่มความห่วงใยในตัวเองมากขึ้น เพราะไม่มีใครจะตอบได้ว่า ภัยร้ายแรงจะเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน และเมื่อไหร่
สิ่งที่พวกเขาต้องตระหนักถึงคือ เมื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับตนเอง พวกเขาจะให้คำตอบกับครอบครัวและคนรอบข้างอย่างไร คำตอบที่จะต้องตอบพ่อแม่เมื่อถูกถามว่า "ไปทำอะไรมาถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้" นี่แหละคือสิ่งที่ต้องคิดให้ยาวว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
*ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
"ผมเป็นแบบนี้ผมจะมีแฟนได้ยังไง" นี่คือคำตอบของเอ็กซ์ หลังจากที่ถูกถามว่า มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ลึกซึ้งกับใครหรือเปล่า เอ็กซ์เล่าให้ฟังว่า ก่อนมาขายบริการ เคยมีแฟนเป็นกระเทยแปลงเพศ เขาก็ดูแลมาตลอดแต่หลังจากนั้นก็เลิกกัน เพราะฝ่ายนั้นมีคนใหม่ จากนั้นก็คบมาเรื่อยทั้งผู้ชาย ผู้หญิง แต่พอมาทำที่นี่ก็เลิกหมดทุกคน เพราะไม่รู้จะสานต่อความสัมพันธ์อย่างไร
ถ้าถามว่าผมอยากมีแฟนไหม ผมอยากมีนะแต่ก็สงสารอีกฝ่ายถ้าเขารู้ว่าเราเป็นแบบนี้ เคยทำอย่างนี้เขาจะรู้สึกอย่างไร สู้ตัดใจไม่มีดีกว่า เพื่อนเก่าหรือคนใกล้ตัวผมไม่มีใครรู้เลยนะว่าผมมาทำแบบนี้ ผมมาเจอเพื่อนใหม่ที่นี่ มาเจอสังคมใหม่ ที่ข้างนอกอาจจะรับไม่ได้ ทุกวันนี้ผมก็คิดถึงเรื่องอนาคตนะ ว่าผมก็ต้องมีงาน มีครอบครัว แต่ตอนนี้มันตื้อไปหมด ยังหาทางออกไม่ได้" เอ็กซ์กล่าว
สำหรับต้น ก็เช่นเดียวกัน "พ่อกับแม่ไม่รู้นะว่าลูกตัวเองมายืนแบบนี้ เขารู้แต่ว่าลูกทำงานบาร์ แต่ก็ไม่เคยทำงานบาร์มาก่อนนะ เพราะอายุไม่ถึง แค่ 18 ปีเอง แต่ถ้าอายุถึงก็คงไม่ทำ งานบาร์เป็นงานที่แน่นอนก็จริงแต่ต้องเข้าทุกวัน ไม่มีอิสระ แต่งานนี้มันขึ้นอยู่กับเรา จะมาก็ได้ไม่มาก็ได้ เลิกตอนไหนก็แล้วแต่เรา เราควบคุมตัวเองหมดทุกอย่าง"
ความรู้สึกที่พวกเขาต้องปิดบังคนในครอบครัวว่าทำงานอะไร คงยากจะบรรยายว่าทรมานและเจ็บปวดแค่ไหน ความอึดอัดกับสภาพของสังคมที่มีอยู่จริงและต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต้องมาผ่อนคลายและระบายออกกับอีกสังคมที่พวกเขาและกลุ่มเพื่อนใหม่ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาจากพื้นที่เล็กๆ ที่ปราศจากหลังคา ฝาบ้าน มีเพียงลมและฟ้ายามราตรี เท่านั้นที่ปกคลุม และมี 'เงิน' เป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจให้อยู่ได้ไปอีกวัน
*ชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป
"สำหรับตัวผม ผมไม่เคยคิดว่าตรงนี้ดีแล้ว ผมแค่มาหาเงินตั้งตัวเท่านั้น ได้เงินพอแล้วก็จะหยุด และจะกลับไปขายของเหมือนเดิม ผมไม่เคยมองว่านี่จะเป็นสิ่งที่ผมต้องทำตลอดไป มันเป็นแค่ตัวช่วยอีกตัวที่มาดึงผมขึ้นในยามที่ลำบากเท่านั้น" นี่เป็นคำตอบสุดท้ายของเอ็กซ์ หนุ่มวัย 24 เขาพูดอย่างหนักแน่นและจริงจังว่า การมาขายบริการของเขา มาเพื่อตั้งตัวเท่านั้น ไม่ใช่มาทำตลอด พอทุกอย่างลงตัวเขาก็จะกลับไปดำเนินชีวิตของเขาตามปกติ มีทุน มีของมาขาย อยู่กับครอบครัว และมองหาอนาคตเหมือนอย่างที่เขาได้พูดไว้ตั้งแต่ต้น
ซึ่งแตกต่างจากเอกและต้น สองหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และให้คำตอบกับอนาคตของตัวเองว่า ยังจะขายบริการทางเพศต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังทำรายได้ให้กับตัวเองค่อนข้างดี มีเงินใช้ มีเงินเที่ยว มีแบ่งให้ครอบครัว และสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็สบายดี ไม่เหนื่อยหรือลำบากอะไร ในเมื่อยังมีความสุขกับตรงนี้ ก็ยังจะทำไปเรื่อยๆ
พวกเขาอาจถูกมองว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นความมืดมิดของชีวิต เป็นความฟอนเฟะของสังคม แต่นี่คือผลจากความไม่สมดุล โอกาสที่แตกต่าง รวมไปถึงการมองที่ต่างมุม ทำให้สังคมของเราเต็มไปด้วยคนมากมายหลายประเภท ทุกคนแตกต่าง แต่ก็คือการดิ้นรนเพื่อชีวิต โอกาสมีเข้ามาหาทุกคน แล้วแต่ว่าคนนั้นจะหยิบฉวย ฉกชิง หรือจะเลือกรอโอกาสใหม่ เพียงเพื่อความสบายใจของตนเอง
คลองหลอดหลับแล้วทันทีที่เข้าสู่ราตรีกาล แต่รอบกายคลองหลอดยังมีคนที่ต้องมนตราของเงิน เฝ้ารอโอกาส ด้วยดวงตาสุกไสว พร้อมลมหายใจที่เต็มปรี่ด้วยหัวใจของนักบริการ
***************************
เรื่อง - ปารวี มีสมวิทย์