xs
xsm
sm
md
lg

ทุนนิยมก้าวหน้า-ล้าหลัง-เถื่อน? ในระบอบทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อย้อนกลับไปสู่สถานการณ์ก่อนหน้าจะมีการประกาศเว้นวรรค ต้องยอมรับว่าสังคมไทยตกอยู่ในสภาพอันร้าวฉานของคนในประเทศ หลายฝ่ายปริวิตกกังวลว่าจะเกิดการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มสนับสนุนกับกลุ่มที่คัดค้านพ.ต.ท.ทักษิณ และเมื่อการแบ่งฝักฝ่ายเป็นไปอย่างชัดเจนในทำนองที่ว่า กลุ่มคัดค้านคือคนชั้นกลางในกรุงเทพและหัวเมืองในต่างจังหวัดที่สามารถเข้าถึงข้อมูล กับกลุ่มสนับสนุนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านรากหญ้าในชนบท ภาพดังกล่าวจึงนำไปสู่การวิเคราะห์ที่ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นความขัดแย้งทางชนชั้นรูปแบบหนึ่ง

(แม้จะมีนักวิชาการบางคนแสดงความคิดเห็นว่า ภาพการสนับสนุนของกลุ่มคนรากหญ้าเป็นเพียงยุทธวิธีของพ.ต.ท.ทักษิณที่ต้องการแสดงให้สังคมเห็นว่ามีชาวบ้านเป็นจำนวนมากสนับสนุนตนเองอยู่ และปลุกกระแสความขัดแย้งขึ้นเพื่อลดความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม)

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองก็มีนักวิชาการเศรษฐศาสตร์บางท่านออกมาเสนอกรอบการวิเคราะห์ที่น่าสนใจอีกกรอบหนึ่ง โดยมองว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้คือการปะทะขัดแย้งทางความคิดระหว่างแนวทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมโลกาภิวัตน์หรือทุนนิยมก้าวหน้าซึ่งมีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวแทน กับกลุ่มทุนนิยมล้าหลังที่มีฝ่ายเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นตัวแทน โดยเชื่อว่ามีกลุ่มทุนเก่า ทุนศักดินาที่ต้องการกลับมามีอำนาจอีกครั้งในระบบเศรษฐกิจเมืองไทยคอยหนุนหลังอยู่

แม้สังคมจะยังมองไม่เห็นความขัดแย้งตามกรอบแนวความคิดนี้ชัดเจนนัก แต่การปรากฏตัวของ สมศักดิ์ โกศัยสุข ประธานกลุ่มองค์กรพันธมิตรคัดค้านการขายสมบัติชาติ ศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพพนักงานกฟผ. รสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งแสดงจุดยืนต่อต้านการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) หรือ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการองค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย และ กลุ่มเอฟทีเอวอทช์ ที่คัดค้านการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับสหรัฐอเมริกา และกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ ที่มีภาพลักษณ์ของการต่อต้านโลกาภิวัตน์ สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้นึกคิดได้อยู่เหมือนกันว่านี่คือการปะทะทางความคิดระหว่างระบบเศรษฐกิจสองรูปแบบดังที่กล่าวมาข้างต้น

แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่...

-1-

ก่อนอื่นด้วยเนื้อที่อันจำกัด คงต้องเริ่มกันที่การสำรวจกรอบแนวคิดดังกล่าวนี้ว่า เป็นการมองที่กระจ่างชัดเจนหรือว่าคลุมเครือคลาดเคลื่อนอย่างไร

"ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการสรุปภาพแบบนี้ เริ่มแรกจากที่บอกว่ากรณีประเทศไทยคือทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ทุนนิยมเสรีซึ่งไม่ใช่ ยิ่งเมื่อไปพูดโยงกับการบริหารของคุณทักษิณ มันยิ่งชัดเลยว่าสิ่งที่คุณทักษิณทำมันไม่ใช่โลกาภิวัตน์หรือทุนนิยมเสรีตามทฤษฎี มันกลายเป็นทุนนิยมโลกาภิวัตน์แบบผูกขาด แบบที่เขียนกติกาเพื่อให้ธุรกิจการเมืองเข้ามาได้ประโยชน์ ไม่ได้ให้ตลาดทำงานจริงๆ"

บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้ชำนาญการประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า การที่มองว่ามีกลุ่มทุนเก่าหรือทุนศักดินาคอยหนุนหลังกลุ่มคัดค้านเพื่อหวังกลับมามีอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่นั้นก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง ผู้เสียประโยชน์ ผู้ที่หมดโอกาสจากการที่คุณทักษิณเข้ามานั้นมีอยู่จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ความไม่ชอบธรรม ความเสี่ยงที่คุณทักษิณพาประเทศไปสู่เส้นทางนี้มันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง

"การมองแบบนี้มันทำให้เหมือนกับว่า คนที่ออกมาคัดค้านคุณทักษิณเป็นกลุ่มผู้เสียประโยชน์ซึ่งมันกลายเป็นความไม่เป็นธรรมในการมอง และทำให้ภาพการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นมันบิดเบี้ยวไปด้วย ฉะนั้น ถ้าถามผมคิดว่ามันยิ่งทำให้เกิดการอับจนทางปัญญา เหมือนกับว่าวันนี้มีคนโยนคำถามมาให้เราเลือก 2 ทางเลือก หนึ่งคุณจะเดินไปสู่ระบอบทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์ตามทฤษฎี กับสอง คุณกลับไปหาระบบเดิมแบบที่ตรงกันข้ามกับเสรีนิยมใหม่ก็คือแอนตี้-โลกาภิวัตน์ ซึ่งคนที่เรียกร้องไม่ได้ต้องการแบบนั้น แต่เขาเรียกร้องหาทางเลือกที่ดีกว่าที่จะเลือกระหว่างสองทาง วิธีสรุปแบบนี้มันเหมือนกับต้อนให้เข้าไปหาคำตอบแค่ 2 ทางแล้วให้เลือกว่าอะไรเลวน้อยกว่ากันซึ่งผมว่าไม่ใช่ทั้ง 2 ทาง"

ด้าน จักรชัย โฉมทองดี นักวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ โครงการศึกษาและปฏิบัติงานการพัฒนา ก็ดูจะมีความเห็นคล้ายกันว่ากลุ่มที่ออกมาคัดค้านพ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีหลายกลุ่ม หลายประเด็นเกินกว่าที่จะเหมารวมตามกรอบนี้ได้

"ตั้งแต่ตั้งสมมติฐานที่หนึ่งที่ว่าทุนนิยมแบบคุณทักษิณเป็นทุนนิยมก้าวหน้า ผมก็ไม่เห็นด้วยแล้ว เพราะว่านิยามคำว่าก้าวหน้ามันผิดพลาด ผมไม่เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันทำเป็นเรื่องก้าวหน้ายังไง อย่างที่สองก็คือว่าการสรุปแบบนั้นเป็นการสรุปแบบคร่าวๆ มากที่มองว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณเป็นคนกลุ่มเดียว ผมมองว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม และการเหมาะกลุ่มภาคประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดเอฟทีเอหรือการเปิดเสรีในรูปแบบของคุณทักษิณว่าเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มทุนเก่า ทุนขุนนาง มันไม่ใช่

"เราต้องมองแบบแยกแยะด้วยว่าแต่ละคนนำเสนอแนวความคิดแบบไหน ต้องคัดเลือกกันว่าแนวความคิดแบบไหนเหมาะสมกับประเทศ การโกยคนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณทักษิณไปกล่าวอ้างว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกันทั้งหมด เป็นการสรุปซึ่งไม่เคารพความหลากหลายของสังคมที่เรามีอยู่"

สมมติว่าเราเชื่อนักวิชาการทั้งสองคนนี้ ก็จะเห็นว่าแม้จะมีการปะทะกันทางความคิดด้านระบบเศรษฐกิจอยู่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดจนสามารถสรุปแบบเหมารวมได้ว่ากลุ่มต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นตัวแทนของทุนก้าวหน้าคือกลุ่มทุนล้าหลัง ต่อต้านโลกาภิวัตน์

คำถามต่อไปที่น่าสนใจก็คือการบริหารประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณคือทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ทุนนิยมเสรี ทุนนิยมก้าวหน้า จริงหรือไม่?

-2-

บางคนเชื่อว่าการแตกหักของกำแพงเบอร์ลินและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตคือสัญญาณประกาศชัยของทุนนิยมเสรี หญิงเหล็กมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึงกับพูดว่า "มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากหนทางทุนนิยมเสรี"

แต่ทุนนิยมเสรีมันคืออะไร และมันมีจริงหรือไม่

บัณฑูรอธิบายสิ่งที่เรียกว่า 'ทุนนิยมโลกาภิวัตน์' หรือ 'ทุนนิยมเสรี' ว่า เป็นระบบที่รัฐทำตัวให้เล็กที่สุด ซึ่งแนวคิดฝ่ายขวาเรียกว่า Small Government is Best โดยปล่อยให้กลไกตลาดทำงานและดูแลตัวมันเอง นำไปสู่การแข่งขันและเกิดผลประโยชน์ที่ตกอยู่กับประชาชนในท้ายที่สุด ซึ่งเขามีความคิดเห็นว่าปรัชญาแบบเสรีนิยมเช่นนี้ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยยกตัวอย่างว่า

"ข้อสมมตินี้จะเป็นจริงได้ยังไง ในเมื่อทุกวันนี้บริษัท 5 อันดับแรกของโลกถือครองสิทธิบัตรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด บริษัทเหล่านี้จะยอมยกเลิกการถือครองสิทธิบัตรที่นำไปสู่การผูกขาดหรือเปล่า ก็ไม่"

ส่วนจักรชัยระบุชัดถ้อยชัดคำเลยว่า ระบบการแข่งขันเสรีจริงๆ ไม่มีอยู่ในโลก เป็นเพียงแนวความคิดทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีต้นกำเนิดจาก อดัม สมิธ (Adam Smith) และแนวคิดนี้ได้ล่มสลายไปแล้ว

"สาเหตุเดียวที่มันได้กลับมาเนื่องจากว่าทุนข้ามชาติขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีความใกล้ชิดกับทุนข้ามชาติและทุนขนาดใหญ่เหล่านั้น นำแนวความคิดนี้กลับมาเพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้กับทุนขนาดใหญ่ และเมื่อเอากลับมาก็ไม่ได้นำกลับมาในรูปแบบเดิมเสียทีเดียว คือความเป็นเสรีโดยแท้จริงมันไม่ได้เกิดขึ้น แต่นำกลับมาเพียงเพื่อกล่าวอ้าง เพื่อเสริมให้ทุนใหญ่สามารถผูกขาดเศรษฐกิจ ไม่เพียงเฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่กลับสามารถผูกขาดเศรษฐกิจในระดับข้ามชาติได้
"ภาพนี้สะท้อนให้เห็นเด่นชัดมากในประเทศไทย โดยการดำเนินนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันไม่ได้นำไปสู่การแข่งขันเสรี ไม่ได้ใช้กลไกตลาดอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นการกล่างอ้างถึงกลไกตลาด กล่าวอ้างเศรษฐกิจเสรีเพื่อที่จะนำไปสู่การผูกขาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่"

จักรชัยยังได้ยกตัวอย่างที่น่าสังเกตของสิ่งที่เรียกว่าทุนนิยมก้าวหน้าในระบอบทักษิณว่า

"ในภาคเกษตรเราไปเปิดเสรี เมื่อเปิดแล้วเกษตรกรชาวไร่ ชาวนาที่ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ก็ต้องล้มหายตายจากไป แต่ปรากฏว่าในบางด้านเช่นด้านโทรคมนาคม เท่าที่ผ่านมากลับไม่มีการเปิดเสรีเลยจึงนำไปสู่การผูกขาด พอผูกขาดได้ในระดับหนึ่งแล้วก็ค่อยมาเปิดเสรีเพื่อที่จะขายต่างชาติได้ ดังนั้น จะเห็นว่าจังหวะจะโคนการเลือกที่จะเปิดเสรีมันกลับเป็นการเอื้อหนุนทุนขนาดใหญ่ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การแข่งขันและสวัสดิการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง"

อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่าความเห็นที่กล่าวมาค่อนไปทางเศรษฐศาสตร์ค่ายสังคมนิยมหรือฝ่ายซ้าย ซึ่งคงจะเลี่ยงอคติที่มีต่อทุนนิยมเสรีไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นค่ายเสรีนิยมเขาคิดอย่างไร

-3-

รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาประกาศชัดเจนว่า "ผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ค่ายทุนนิยม ค่ายเสรีนิยม ผมไม่ใช่พวกฝ่ายซ้าย และผมอยากให้เศรษฐกิจมันเสรี" ซึ่งเขาเชื่อว่าระบบทุนนิยมจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมี 'กติกา' ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็น 'ทุนนิยมเถื่อน'

"ผมไม่เห็นด้วยที่ว่ากลุ่มคนต่างๆ ที่คัดค้านรัฐบาลทักษิณเป็นเพราะเรื่องผลประโยชน์ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม กลุ่มทุนเก่า-ทุนใหม่ คำถามก็คือทุนนิยมเก่า ทุนนิยมใหม่คืออะไร ผมอยากจะเริ่มต้นอย่างนี้ เป็นความเชื่อของผมว่าทุนนิยมจะทำงานได้ ต้องมีกติกา มีสถาบัน ถ้าทุนนิยมไม่มีกติกาทุนนิยมกลายเป็นทุนนิยมเถื่อน มันจะรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจไม่ได้ แล้วถ้าปล่อยระบบมันไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจมันก็จะตกต่ำ"

ช่วงที่ข่าวคราวการขายหุ้น 73,000 ล้านโดยไม่เสียภาษีเป็นข่าวครึกโครม มีการตั้งข้อสังเกตแบบทุนนิยมเสรีกันถึงขนาดว่า หากใช้กรอบของทุนนิยมเสรีเข้ามาจับ การหลีกเลี่ยงภาษีย่อมถือเป็นสิ่งธรรมดาที่พ่อค้าทุกคนล้วนกระทำ เมื่อเป็นดังนี้ 'ความชอบธรรม' ที่ฝ่ายพันธมิตรฯ ยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการต่อสู้ จึงไปด้วยกันไม่ได้กับพ.ต.ท.ทักษิณที่อยู่ในระบบทุนนิยมเสรีเต็มตัว พูดให้ง่ายขึ้นก็คือการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณอาจถือเป็นความชอบธรรมตามวิธีคิดแบบทุนนิยมเสรี

แต่รศ.ดร.นิพนธ์อธิบายว่า ใช่...ที่ทุนนิยมต้องมีความชอบธรรม แต่ความชอบธรรมเกิดขึ้นไม่ได้ในตัวทุนนิยมเอง จึงจำเป็นต้องมีกติกาที่สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรม นี่คือเหตุผลที่ทุนนิยมต้องมีภาษีมรดก มีภาษีทรัพย์สินเพื่อสร้างความชอบธรรม ทุนนิยมจึงจะจีรังยั่งยืนเป็นประโยชน์ทั้งกับพ่อค้าและผู้บริโภค
"คำถามก็คือว่ารัฐบาลทักษิณได้สร้างกติกาต่างๆ เหล่านั้นเพื่อให้ระบบมันทำงานเพื่อประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ คำถามมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ไม่ใช่มาเถียงกันลอยๆ ว่าสิ่งที่คุณทักษิณทำ คนจนชอบใจมาก เราไม่ได้ดูกันตรงนั้น นั่นเป็นเพียงผิวเผิน เราต้องดูเบื้องหลังของมันว่ามีกติกาที่จะทำให้ระบบนี้มันยั่งยืนหรือไม่ ตรงนี้ต่างหากคือทุนนิยมใหม่ในความหมายที่ถูกต้อง"

และต่อจากนี้คือคำตอบของคำถามดังกล่าว ซึ่งรศ.ดร.นิพนธ์ได้อธิบายอย่างชัดเจนถึงนโยบายบางประการที่เกิดขึ้นในยุคพ.ต.ท.ทักษิณ

"เรื่องการแปรรูปเป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุด นักเศรษฐศาสตร์บอกว่าแปรเพื่อให้ประสิทธิภาพการบริหารงานดีขึ้น แต่การแปรรูปจะให้มีประสิทธิภาพต้องหลุดจากระบบราชการ แต่ของเราไม่ได้หลุดออกจากระบบราชการและการเมืองที่ครอบงำ เราไม่ได้แปรรูปแล้วให้มีผู้ถือหุ้นที่เรียกว่า Strategic Partner เข้ามาบริหารงาน แต่เราแปรรูปโดยการกระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อย เสร็จแล้วรัฐบาลก็ยังถือหุ้นรายใหญ่อยู่ ดังนั้น การบริหารหน่วยงานก็จะถูกครอบงำโดยระบบราชการแบบดั้งเดิมและนักการเมืองที่ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ นี่คือเหตุผลที่ประสิทธิภาพไม่ดีขึ้น เห็นมั้ยว่าในการแปรรูปก็ต้องมีกติกา"

แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือรัฐวิสาหกิจมีอำนาจผูกขาดอยู่ตามกฎหมายและมีอำนาจในการเวนคืน แต่ในการแปรรูปกฟผ. ได้โอนอำนาจผูกขาดและอำนาจการเวนคืนไปให้เอกชนซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ตรงนี้แหละที่ผมเรียกว่า 'ทุนนิยมเถื่อน' ถ้าหากทุนนิยมใหม่ของคุณทักษิณเป็นทุนนิยมแบบนี้มันเป็นทุนนิยมที่ไม่พึงปรารถนา พวกอนุรักษ์นิยมยังดีกว่า เพราะว่าผูกขาดก็แปลว่าเอกชนสามารถหาประโยชน์จากผู้บริโภคได้ แล้วอำนาจในการเวนคืนมันเป็นเรื่องอำนาจของรัฐ ต้องมีการออกเป็นพระราชบัญญัติ

"อีกข้อคือกฟผ. ผูกขาดอยู่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อควบคุมตลาดได้ขนาดนี้ก็มีอำนาจเหนือตลาด ก็จะสามารถใช้อำนาจนี้ในการรังแกผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อยอื่นๆ ได้ ถามว่ารัฐบาลออกกฎหมายทางการค้าเรื่องนี้ขึ้นมาหรือยัง ไม่มี กฎหมายแข่งขันทางการค้ามี แต่ยังไม่มีสภาพบังคับใช้ เพราะต้องมีการนิยามคำว่า ผู้มีอำนาจเหนือตลาด และประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ แต่จนป่านนี้ยังไม่มีการนิยามคำว่าผู้มีอำนาจเหนือตลาดคืออะไร เมื่อไม่มีการประกาศกฎหมายแข่งขันทางการค้าก็แปลว่าเมื่อไม่มีกฎหมายผู้ที่มีอำนาจเหนือตลาดอยู่ก็ไม่ผิด
กฟผ. เป็นกรณีที่เห็นชัดเจนที่สุดว่าเป็นทุนนิยมไร้กติกา เมื่อเป็นอย่างนี้ใช่หรือเปล่าว่าพอเข้าตลาดก็จะมีกลุ่มบุคคลที่มีฐานะดีกว่าคนอื่นที่จะได้ถือหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติโยมนักการเมือง ก็เท่ากับเป็นการยักยอกทรัพย์สินของประเทศไปอยู่ในมือของคนบางคน อันนี้เป็นทุนนิยมเถื่อนแน่ๆ ชัดเจน ไอ้อย่างนี้ก้าวหน้าแบบเถื่อน"
ยังมีอีกหลายประเด็นที่รศ.ดร.นิพนธ์กล่าวถึงและบอกว่า ไม่ใช่ทุนนิยมก้าวหน้าแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการทำเอฟทีเอที่ไม่เสรีจริง หรือเรื่องโครงการ 30 รักษาทุกโรคที่ทำให้โรงพยาบาลของรัฐอ่อนแอ ชนชั้นกลางหนีไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน และก็มีญาตินักการเมืองไปกว้านซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนไว้ เป็นต้น

-4-

บัณฑูรกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่พร้อมที่เปิดรับโลกาภิวัตน์อย่างเต็มที่ เพราะถึงแม้ระบบกลไกต่างๆ จะถูกวางไว้ แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถทำงานได้ ยิ่งเมื่อเผชิญกับระบอบทักษิณที่ทำให้กลไกเกิดความพิกลพิการด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้ระบบทุนนิยมมันทำงาน โดยที่ระบบกำกับยังเป็นเช่นนี้ และเขายังแสดงความเป็นห่วงที่มีการนำภาพลักษณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณไปผูกติดไว้กับความเป็นทุนนิยมเสรี ทุนนิยมก้าวหน้า เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นภาพของทุนนิยมเถื่อนที่ไร้กติกาดังที่รศ.ดร.นิพนธ์กล่าวไว้

ด้านจักรชัยก็ทิ้งท้ายไว้ว่า

"เราไม่ได้ปฏิเสธการค้าระหว่างประเทศ ไม่ได้ปฏิเสธการลงทุนระหว่างประเทศ แต่เรากำลังจะบอกว่าการค้าระหว่างประเทศเราจะต้องเข้าไปร่วมอย่างรู้เท่าทัน สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันกำลังทำเป็นการมองโลกาภิวัตน์แบบล้าหลัง มองว่าเปิดเสรีซะ แล้วจะนำไปสู่ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันไม่ใช่การเปิดเสรีในลักษณะนั้น เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่จะให้ทุนใหญ่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ประเด็นที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็คือทุนใหญ่จะได้ประโยชน์ แต่คนเล็กคนน้อยจะไม่ได้ประโยชน์"

และเมื่อกล่าวถึงรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่ากลุ่มทุนกับกลุ่มการเมืองจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันจนผูกขาดอำนาจได้ถึงเพียงนี้ ดังนั้น ในการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งรศ.ดร.นิพนธ์เห็นว่าจะต้องปฏิรูปเศรษฐกิจด้วย

"ผมอยากจะให้เริ่มดูว่านอกเหนือจากการที่เราต้องปฏิรูปทางการเมืองแล้ว เรื่องเศรษฐกิจก็จะต้องปฏิรูปในรากฐานที่ผมพูดถึงด้วยนั่นคือเรื่องกติกา เรื่องสถาบัน และจำเป็นต้องบรรจุในรัฐธรรมนูญ ต้องมีกลไกที่จะบังคับว่าเมื่อบรรจุแล้วต้องมีการออกกฎหมายลูกและบังคับใช้จริงๆ

"เพราะเศรษฐกิจกับการเมืองเป็นเนื้อเดียวกัน คุณจะมีประชาธิปไตยทางการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจควบคู่กัน อาจารย์ป๋วย (อึ๊งภากรณ์) สอนผมมาอย่างนี้ตั้งแต่ผมเรียนหนังสือ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจกับประชาธิปไตยทางการเมืองมันเป็นของคู่กัน ถ้าคุณไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจในที่สุดคุณก็มีประชาธิปไตยทางการเมืองไม่ได้ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจคือระบบทุนนิยมที่ต้องมีกติกาที่เป็นธรรมและต้องมีการแข่งขัน ไม่ใช่ทุนนิยมที่ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งผูกขาด"

ทั้งหมดนี้คือแนวความคิดทั้งแบบกระแสหลักและกระแสรองที่มีต่อสมมติฐานการปะทะกันระหว่างทุนนิยมก้าวหน้าและทุนนิยมล้าหลัง และพ.ต.ท.ทักษิณเป็นทุนนิยมก้าวหน้าหรือไม่ แน่นอนว่าผู้อ่านสามารถค้นหาคำตอบได้อีก และอาจได้คำตอบที่ต่างออกไปจากนักวิชาการทั้ง 3 คนนี้

....จะได้ช่วยกันรู้ทันทุนนิยมให้มากขึ้น

****************************

เรื่อง - กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล






กำลังโหลดความคิดเห็น