xs
xsm
sm
md
lg

แห่นางดาน-โล้ชิงช้า เมืองคอน ต้อนรับการมาเยือนของเทพแห่งพราหมณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ประเพณีแห่นางดาน หรือนางกระดานเป็นส่วนหนึ่งของพิธีตรียัมปวาย ประเพณีโบราณทางศาสนาพราหมณ์ตามความเชื่อในตำนานเรื่องพระอิศวรเสด็จลงมาเยี่ยมโลก ซึ่งบรรดาพราหมณ์ในเมืองนครศรีธรรมราชและชาวบ้านที่นับถือพระอิศวร ปฏิบัติกันสืบมาในวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่ของทุกปี นับตั้งแต่ครั้งมีชุมชนพราหมณ์เกิดขึ้นในนครศรีธรรมราช จนเมื่อพราหมณ์ได้เคลื่อนย้ายขึ้นไปอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา จึงได้นำเรื่องราวการโล้ชิงช้าไปเผยแพร่ พิธีโล้ชิงช้าจึงปฏิบัติสืบต่อมาถึงยุครัตนโกสินทร์ กระทั่งได้ยกเลิกไปในรัชกาลที่ 7

และเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ชาวเมืองนครฯ จึงได้รื้อฟื้นประเพณีดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้ประเพณีแห่นางดานเป็นที่รู้จักและดำรงไว้ซึ่งประเพณีที่เก่าแก่ดีงาม โดยนำมาผนวกเข้ากับ 'เทศกาลมหาสงกรานต์เมืองนคร'

ต้อนรับพระอิศวร

ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลของประเพณีแห่นางดาน-โล้ชิงช้าที่นำมาสาธิตในวันมหาสงกรานต์เมืองนครอธิบายว่า พิธีการโล้ชิงช้าเกิดขึ้นเพื่อต้อนรับพระอิศวะหรือพระศิวะ เทพสูงสุดของศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ที่เสด็จลงมาเยี่ยมโลก โดยปกติเสด็จมาในเดือนยี่ตรงกับขึ้น 7 ค่ำ และเสด็จกลับในวันแรม 1 ค่ำ หลังจากพระอิศวรเสด็จกลับไปแล้ว พระนารายณ์จะเสด็จลงมาในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 5 ค่ำของเดือนยี่ แต่เสด็จมาคนละสถานที่กัน ทั้งนี้พิธีต้อนรับพระอิศวรเรียกว่า 'พิธีตรียัมปวาย' ส่วนพิธีต้อนรับพระนารายณ์หรือพระวิษณุเรียกว่า 'ตรีปวาย' ซึ่งทั้งสองพิธีกรรมมีความต่างกันเล็กน้อย

จึงได้มีพิธีการต้อนรับพระอิศวรเสด็จลงมาเยี่ยมโลกของมนุษย์ โดยจะมีเหล่าเทพชั้นรอง ได้แก่ พระอาทิตย์, พระจันทร์ ,พระแม่คงคา และแม่พระธรณี มารอต้อนรับที่หอพระอิศวร ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางชุมชน โดยพราหมณ์และชาวบ้านได้ทำการแกะสลักเหล่าเทพลงบนกระดานกว้าง 1 ศอกสูง 4 ศอก แผ่นแรกแกะเป็นพระอาทิตย์ และพระจันทร์ แผ่นที่ 2 เป็นพระคงคา แผ่นที่ 3 เป็นรูปพระธรณี ซึ่งวาดหรือแกะบนแผ่นไม้

และการนำแผ่นไม้มาแกะสลักเป็นรูปเทพนี่เอง ได้กลายเป็นที่มาของชื่อนางดานหรือนางกระดาน สุธรรม ชยันต์เกียรติ์ จากกลุ่มชมรมรักบ้านเกิด ผู้มีส่วนร่วมในการฟื้นประเพณีแห่นางดานให้เป็นความจริงอธิบายว่า

"จริงๆ พิธีแห่นางดานก็คือพิธีตรียัมปวาย แต่คนแก่เล่าว่าชื่อเรียกยาก เห็นแห่ไม้กระดานเป็นแผ่น แล้วก็มีรูปแกะสลักของพระแม่คงคา แม่พระธรณี และพระอาทิตย์ พระจันทร์ ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกว่าแห่นางกระดาน แต่สำหรับคนนครฯเรียกสั้นๆ ว่า แห่นางดาน ฟังดูแล้วแปลกดี"

เขาเพิ่มเติมถึงเหตุที่นำพิธีแห่นางดานมาจัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เมืองนครฯ

"ผมเคยฟังจากคนเฒ่าคนแก่ นำมาเล่าให้คุณสมนึก เกตุชาติ นายกเทศมนตรีสมัยนั้นฟัง ท่านเห็นว่าน่าสนใจ จึงได้ขอความร่วมมือไปยังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ เขต 2 ฟื้นพิธีโล้ชิงช้า แห่นางดานปกติจัดในช่วงเดือนยี่ (มกราคม) เป็นพิธีที่กระทำระหว่างกษัตริย์และพราหมณ์ เมื่อก่อนเมืองนครฯ มีเจ้าเมืองปกครองตนเอง เดี๋ยวนี้ขึ้นกับกรุงเทพฯ ไม่มีเจ้าเมืองจึงเลิกจัด แต่เปลี่ยนมาจัดเดือนเมษายน เพราะเนื้อหาสาระมีการเล่นน้ำ วิดน้ำ จึงว่าหากนำมาใส่เป็นกิจกรรมหนึ่งในวันสงกรานต์ น่าจะเข้ากันได้"

ทดสอบความแข็งแรงของโลก

ในเวลาโพล้เพล้ไร้ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว พราหมณ์ผู้มาประกอบพิธีนั้น อาจารย์ฉัตรชัยกล่าวว่า ได้เชิญพราหมณ์จริงๆ มาร่วมพิธี

"เหมือนกับการทำพิธีทางศาสนา ไม่ได้เชิญพระจริงๆ มาเทศน์ ดูไม่เหมาะสม ในพิธีจึงได้เชิญพราหมณ์มาร่วม เพราะบวชจริง เพื่อให้พิธีมีความขลัง และทำให้เราเกิดความรู้สึกมีกำลังใจขึ้น เพื่อความขลัง"

พราหมณ์จะทำการอัญเชิญเทพชั้นรองขึ้นบนเสลี่ยง แล้วแห่แหนเป็นขบวนจากฐานพระสยม มุ่งหน้ามายังหอพระอิศวร ตลอดเส้นทางแต่ละบ้านจะร่วมมือกันดับไฟให้สนิท มีเพียงแสงจากไต้ที่ให้ความสว่าง เข้ากับบรรยากาศการแต่งกายตามความเชื่อทางศาสนา ทำให้พิธีดูน่าเกรงขามยิ่ง

เมื่อมาถึงจะทำการเวียนรอบเสาชิงช้า 3 รอบ ต่อจากนั้นพราหมณ์จะอ่านโองการเชิญเทพ ก่อนจบด้วยบทบวงสรวงเทพยดา หลังจากนั้นจะเป็นการประกอบพิธีอัญเชิญนางดาน หรือเทพเจ้าชั้นรองทั้ง 3 องค์ มาวางลงในหลุมเพื่อรอรับพระอิศวร หลุมมีความกว้างเท่าแผ่นกระดาน ลึกเพียงคืบรองด้วยอิฐและหญ้าคา ตั้งอยู่ภายในโรงชมรม หรือประลำพิธีตั้งเสาสี่เสา มีผ้าขาวขึงสี่ข้าง

เมื่อถึงเวลาที่พระอิศวรเสด็จลงมา พระยาสมมุติเป็นพระอิศวรจะเข้ามาประจำที่โรงชมรม นั่งชันเข่าเอาขาขวาทับเข่าซ้าย ถือว่าพระอิศวรได้เสด็จลงมาเยี่ยมโลกแล้ว นางอัปสร 12 นางก็จะรำบูชาพระอิศวรหรือเรียกว่ารำบูชิตอิศรา

"เสาชิงช้านี้ใช้ประกอบพิธีตรียัมปวาย ตามตำนานพระอิศวรยังกล่าวว่า เมื่อมีพรหมสร้างโลกแล้ว พระอิศวรทรงทดลองสอบความแข็งแรงของโลกด้วยการเหยียบโลกด้วยพระบาทข้างเดียว ซึ่งผู้ที่ขึ้นไปทำหน้าที่โล้ชิงช้านั้นเรียกว่า 'นาลิวัน' ท่านั่งของพระอิศวรใช้เท้าเหยียบลงมาพื้นโลกว่ายังมั่นคงแข็งแรงหรือไม่ ทดสอบง่ายๆ ให้นาลิวันขึ้นไปโล้ชิงช้าเป็นการทดสอบว่าเสามั่นคง" อาจารย์ฉัตรชัยอธิบาย

ด้วยความสูงของเสาชิงช้า 12 เมตร นาลิวันจะผลัดกันขึ้นไปโล้ชิงช้าครั้งละ 4 คน ทำการโล้ 3 กระดาน คือหลังจากชุดแรกโล้ชิงช้าเสร็จเรียบร้อยก็จะผลัดให้ชุดที่ 2 และชุดที่ 3 ขึ้นไปโล้ชิงช้าต่อ

"เสาชิงช้าทั้งสองข้างเปรียบเสมือนยอดเขาไกรลาสและเขาพระสุเมรุ ถ้าพิธีการโล้ชิงช้าเสร็จเรียบร้อย เสาไม่มั่นคงต้องทำเสาใหม่ แต่ถ้าเสาชิงช้ายังปกติดี ไม่หักโค่นถือว่าโลกยังแข็งแรง จากนั้นพระยาสมมติ พระอิศวรจะประทานพรให้ผู้มาเฝ้า บรรดานาลิวัน ออกมาร่ายรำ เรียกว่ารำเสน่ง" อาจารย์ฉัตรชัยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ภายหลังเสร็จจากการโล้ชิงช้าและได้ผลออกมาว่าโลกยังแข็งแรง บรรดานาลิวัน ซึ่งล้วนเป็นชายหนุ่มจะออกมาทำการร่ายรำ โดยมีอุปกรณ์คู่มือเป็นเขาสัตว์ใส่น้ำ เมื่อร่ายรำตามจังหวะได้สักพักก็จะล้อมวงเข้ามาใกล้ขันสาคร พร้อมกับวักน้ำจากขันสาคร ซึ่งเรียกว่าน้ำเทพมนตร์ แล้วปล่อยให้สายน้ำกระจายจากเสน่ง (เขาควายใส่น้ำ) พรมไปยังผู้ที่มาเฝ้าชม ให้ชุ่มฉ่ำกันถ้วนหน้า นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าน้ำนั้นเป็นน้ำสิริมงคลอีกด้วย

สืบสานประเพณีดั้งเดิม

วิษณุ ปทุมล่องทอง อายุ 17 ปี และอุกฤษ เต็มสงสัย อยู่ 19 ปี นักศึกษาวิทยาลัยนาฏศิลป์นครฯ แสดงเป็นนาลิวันโล้ชิงช้ามาได้ปีและสองปี ตามลำดับ แสดงความเห็นว่ารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมสืบสานประเพณี

"โล้ปีนี้ปีแรก ตอนขึ้นไปโล้สาธิต ไม่กลัว แต่สั่น เป็นประเพณีที่ชาวนครฯ ทำมาทุกปี เป็นประเพณีที่ดี" วิษณุกล่าว

"โล้เป็นปีที่สอง ปีแรกกลัวๆ พอปีที่สองเริ่มคุ้นชิน ไม่กลัว แสดงปีเดียว แสดงรอบเดียว รู้สึกภูมิใจและดีใจที่ทางจังหวัดจัดพิธีแห่นางดานขึ้น ถือเป็นการสืบสานประเพณีไว้" อุกฤษกล่าว

อาจารย์ฉัตรชัย ย้อนอดีตให้ฟังว่า ปัจจุบันคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์ในนครศรีธรรมราชไม่มีแล้ว ด้วยเหตุนี้ในช่วงหลังๆ พิธีกรรมการโล้ชิงช้าจึงหายไป กระทั่งมีการรื้อฟื้นพิธีการโล้ชิงช้าขึ้นมาอีกครั้ง โดยเปลี่ยนเป็นการแห่นางกระดานแทน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่าสมัยก่อนประเพณีพราหมณ์ที่ฝังรากในนครฯ เป็นอย่างไร

"ประเพณีดังกล่าวจึงย้อนให้เห็นว่า เมื่อก่อนคนนครฯ ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ทำอะไรกันบ้าง ก็มีพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นว่าเป็นประเพณีสำคัญ จึงต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าข้อมูล แต่ว่าไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยาก ไปถามคนเก่าแก่ที่จำได้ และจากเอกสารเขียนสรุปเพื่อประโยชน์ในการนำมาฟื้นฟู ซึ่งน่าดีใจที่ ททท.ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายต่างๆ เช่น เทศบาลเมืองนครฯ"

อาจารย์ฉัตรชัยแสดงความรู้สึกภูมิใจในพิธีแห่นางดานที่มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย

"ประเพณีนี้ถือเป็นแห่งเดียวในประเทศไทย เปรียบเสมือนคนที่มีพระเครื่องสำคัญอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งหายากมากคนที่จะมีติดคอ หรือบูชาที่บ้าน"

อาจารย์กล่าวต่อไปว่า เมื่อคนในท้องถิ่นเกิดความรู้สึกภูมิใจในประเพณีก็จะนำไปสู่ความร่วมมืออย่างอื่นต่อไป

"ในฐานะสถาบันการศึกษาซึ่งทำให้ท้องถิ่นเกิดความภาคภูมิใจ รัก และผูกพันจังหวัดที่อาศัยอยู่ เมื่อผูกพันจะทำอะไรก็ง่ายขึ้น เช่น รวมกันพัฒนาบ้านเมือง ถ้ามีใจผูกพัน พูดไม่กี่ประโยคก็ตื่นตัวได้ จึงหวังให้เกิดความภาคภูมิใจการแสดงอัตลักษณ์บ้านเมือง

"เดี๋ยวนี้เดินทางไปสู่โลกาภิวัตน์เหมือนกันเกือบทั่วโลก แต่ความเป็นท้องถิ่นจะได้รับการใส่ใจมากขึ้น ถ้าเรารักษาอัตลักษณ์ของเราได้ เพราะนครฯ เป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีอัตลักษณ์แตกต่างจังหวัดอื่น คนนครฯ จึงรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นเมืองประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เมื่อหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด จึงมีความพอใจรับฟัง และขานรับเป็นอย่างดี"

ส่วนประเพณีแห่นางดาน โล้ชิงช้า จะคงอยู่อีกนานหรือไม่นั้น อาจารย์ฉัตรชัยให้ข้อคิดทิ้งท้ายว่า

"ถ้าหากมีคนยังสนใจชม และมีการปลูกฝังความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง รวมทั้งคนนครฯ ยังเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมก็ยังอยู่ได้ เพราะในแต่ละปีมีคนมาชมมากพอควร แล้วไปพูดต่อกันไป ซึ่งลูกหลานได้รับการบอกกล่าวให้กลับไปดู โดยเฉพาะหลังจากเล่นสงกรานต์ หรือถ้าว่างก็สามารถมาดูได้ เพราะอยากให้คนเข้าใจว่าประเพณีบ้างมีชีวิต บ้างตายไปแล้ว จึงต้องการที่จะฟื้นคืนประเพณีอันเก่าแก่ เพื่อประดับความรู้ความเข้าใจอดีต"

******************

ผู้ที่สนใจชมพิธีโบราณแบบพราหมณ์สามารถเดินทางไปชมพิธีแห่นางดานและการสาธิตโล้ชิงช้า ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 เมษายน 2549 เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 19.30 น. ณ หอพระอิศวร จังหวัดนครศรีธรรมราช

เรื่อง - ศิริญญา มงคลวัจน์

 บรรยากาศการสาธิตพิธีโล้ชิงช้าของจังหวัดนครศรีฯ





กำลังโหลดความคิดเห็น