xs
xsm
sm
md
lg

งิ้วธรรมศาสตร์ ขับขานลำนำประชาธิปไตย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 5 ทุ่ม…

เสียงประโคมกลองเร้าใจรัวกระหน่ำ ดึงดูดความสนใจของผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนเรือนแสนให้ตรึงอยู่บนเวที

หวังเฉา-หม่าฮั่น-เปาบุ้นจิ้น หรือแม้แต่แดจังกึม ออกมาวาดลวดลายสะกดสายตาผู้ชมให้สนใจติดตามเนื้อเรื่องแห่งเมือง 'เสียมก๊ก' ที่มีผู้ปกครอง 'หน้าเหลี่ยม' ปกครองอย่างทุจริต ร้อนถึงแดจังกึมที่ถูกขับออกจากวังหลวง ต้องมาฟ้องร้องให้ท่านเปาเป็นผู้ตัดสิน เรื่องราวกำลังเข้มข้นเมื่อเปาบุ้นจิ้นสั่งให้หวังเฉา หม่าฮั่น นำตัวคนผิดมาลงโทษด้วย 'เครื่องประหารหัวสุนัข' ก่อนจะทิ้งท้ายให้ผู้ชมฮือฮาในตอนต่อไปที่จะ 'ตามหาจะเด็ด'

การแสดงบนเวทีจบลงแล้ว… แต่หลังม่านเพิ่งเริ่มต้น

การสื่อสารแนวคิดทางการเมืองผ่านรูปแบบการแสดงงิ้วพุ่งจับใจประชาชนที่ได้รับชมจนมีการบอกเล่าปากต่อปาก และมีเสียงเรียกร้องให้มีการเผยแพร่การแสดงงิ้วการเมืองในรูปแบบวีซีดีเป็นจำนวนมาก นับเป็นปรากฏการณ์เล็กๆ ที่ทรงพลังบนอีกหน้าประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย

แน่นอนว่า กลุ่มคนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังความสำเร็จนี้ จะเป็นที่สนใจและถูกกล่าวขวัญถึงไม่แพ้การแสดงบนเวที พวกเขาเป็นใคร ทำไมถึงกล้าออกมาแสดงจุดยืนในที่โล่งแจ้งซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงไม่น้อยเช่นนี้ ?

-1-

ย้อนไปเมื่อหนึ่งวันก่อนการแสดง เสียงพูดคุย หัวเราะ ปรึกษาหารือถกเถียง สร้างบรรยากาศให้ตึกกิจกรรมอันเงียบเหงาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง ต่างไปตรงที่ว่าพวกเขาเหล่านี้แทบทั้งหมดส่วนใหญ่ไม่ใช่นักศึกษา มีเพียงไฟฝันที่ยังโชติช่วงในแววตา และความมุ่งมั่นในท่าทางเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่า บัดนี้…กลุ่มนักศึกษาสมาชิกชุมนุมศิลปะและการแสดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และกลับมารวมตัวกันอีกครั้งด้วยภารกิจที่มีเป้าหมายเดียวกัน

หลายคนพาครอบครัวมาด้วย เสียงเด็กเล็กๆ วิ่งเล่นอย่างไร้เดียงสา ขณะที่พ่อแม่ของพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อเรียกร้องความถูกต้องให้เกิดขึ้นในระบอบการเมืองไทย หลายคนคงคิดตรงกันว่าลูกของพวกเขาจะเติบโตมาในสังคมที่พิกลพิการ เพราะผู้นำรัฐที่ไร้จริยธรรมได้อย่างไร การต่อสู้คราวนี้จึงไม่ใช่เป็นไปเพื่อคนรุ่นเราเท่านั้น แต่ยังหมายถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปด้วย

อดีตสมาชิกชุมนุมศิลปะและการแสดงผู้หนึ่ง ซึ่งปัจจุบันทำงานด้านสื่อสารมวลชน และยังเป็นคอลัมนิสต์ให้สื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับ เปิดเผยถึงที่มาของการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งว่า ภายหลังจากการแสดงงิ้วธรรมศาสตร์ครั้งล่าสุดเมื่อ 3-4 ปีก่อน สมาชิกในกลุ่มก็ยังมีการติดต่อพูดคุยกันทางอีเมลสม่ำเสมอ จนกระทั่งเมื่อมีการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าที่ผ่านมา หลายคนต่างก็ไปร่วมชุมนุมและพบเจอกันโดยบังเอิญ จึงนำไปสู่การพูดคุยและหารือว่าควรจะมีการแสดงอะไรสักอย่าง เพื่อเป็นการสร้างสีสันให้เวทีปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่เงียบเหงา และน่าเบื่อจนเกินไปนัก

เขาจึงรับหน้าที่เป็นผู้เขียนบทหลักของงิ้วการเมืองในครั้งนี้ ซึ่งบทนั้นนับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของเรื่องทีเดียว การจะเอาคนดูไว้อยู่หมัดได้หรือไม่ ก็อยู่ที่บทเป็นสำคัญ ทว่าการจะย่อเหตุการณ์ทางการเมืองทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลากว่า 5 ปีของรัฐบาลทักษิณ ให้เหลือเพียง 30 นาทีนั้นมิใช่เรื่องง่าย ซึ่งเขายอมรับว่าการเขียนบทงิ้วนั้นยาก เพราะไม่ใช่อธิบายให้ฟังอย่างเดียวแต่ต้องตลกด้วย

"งิ้วคืองานวัฒนธรรม แต่หัวใจของงานวัฒนธรรมก็คือการสื่อความหมาย หรือการให้การศึกษาแก่คนดูอย่างง่ายๆ และให้ความบันเทิง หน้าที่ของเราก็คือ ต้องเขียนบทให้มันง่ายๆ เพราะเรื่องการเมืองมันมีความซับซ้อน นอกจากบทจะต้องง่ายแล้ว ยังต้องกระชับ ต้องเลือกใช้ภาษาที่ให้ความหมายโดยตรง และภาษานั้นต้องตลกขบขันด้วย เพราะฉะนั้น คนเขียนก็ต้องรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุการณ์ทางการเมืองพอสมควร จากนั้นจึงนำมาย่อยให้มันง่าย โดยใช้ภาษาง่ายๆ ที่สำคัญก็คือ มุก ใช้มุกที่ร่วมสมัย เป็นมุกที่ฟังแล้วอึ้ง"

เวทีนี้ไม่ใช่เวทีการเมืองแรกสำหรับพวกเขา ก่อนหน้านี้กลุ่มงิ้วธรรมศาสตร์ได้เคยขึ้นแสดงบนเวทีทั้งที่หน้ารัฐสภาและท้องสนามหลวงในเหตุการณ์พฤษภามหาวิปโยค เมื่อปี 2535 ซึ่งผู้เขียนบทงิ้วการเมืองในครั้งนี้ เปรียบเทียบให้ฟังว่าการเขียนบทงิ้วในสองเหตุการณ์นั้นมีความยากง่ายแตกต่างกัน

"การเขียนบทครั้งนี้เราต้องคำนึงถึงสถานการณ์ให้มันค่อนข้างจะอัปเดต เพราะงิ้วการเมืองมันเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของคน ณ ปัจจุบัน ก็ต้องเช็กข่าวให้ดีๆ และต้องมาย่อยให้มันง่ายอันนี้คือสิ่งที่ยาก ต้องใช้ภาษาง่ายๆ ตรงๆ โดยเฉพาะอารมณ์ขันนี้คือหัวใจ มันต้องตลกและสะใจ คืองานวัฒนธรรมมันมีตัวละคร แล้วตัวละครก็เหมือนกับตัวแทนพูดที่พูดถึงความรู้สึกของคนทั้งสองฝ่าย คำพูดสองสามประโยคก็ทำให้เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง มันเร้าใจเนื่องจากภาษา ลีลา และเสียงกลอง เวลาที่พูดก็เลยทำให้คนตั้งใจฟัง ที่สำคัญคือมันกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ ถ้ามันยืดมากก็อาจจะน่าเบื่อ" พวกเขาจึงปรับรูปแบบอุปรากรจีนมาใช้แค่บางส่วนเท่านั้น ทำให้การแสดงงิ้วการเมืองธรรมศาสตร์มีสีสันกว่างิ้วทั่วไป
ไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชุมนุมที่ได้ชมการแสดงทั่วไปแล้ว งิ้วการเมืองคราวนี้ยังโดนใจนักการเมืองหลายคน ถึงขนาดที่ว่าเมื่อแสดงจบ มี ส.ว.เข้ามาจับมือแสดงความยินดีกับนักแสดงและผู้เขียนบทถึงหลังเวที อีกทั้งยังมีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด

"ส.ว.บางท่านบอกว่า เขาพูดไฮด์ปาร์กมาหลายเดือนแล้ว ยังได้ไม่ครบทุกประเด็น คนยังไม่เข้าใจเลย แล้วก็มีเพื่อนๆ หลายคนโทร.มาบอกให้ฟังว่า ตอนแรกพ่อแม่เขาก็ไม่เข้าใจ ก็ยังชอบคุณทักษิณอยู่ พอได้ดูงิ้วที่ถ่ายทอดทาง ASTV ถึงเข้าใจว่าทำไมมันไม่ดี แต่เขาก็ไม่ได้เครียด เขาก็ดูไปหัวเราะไปว่าอ๋อ…มันเป็นอย่างนี้เอง คำพูดที่ใช้บนเวทีมันค่อนข้างแรง สะใจ ส่งผลกระเทือนให้แก่คนดูในวงกว้างมากกว่า"

ผลจากการที่งิ้วการเมืองสามารถเข้าไปถึงหัวใจคนทุกชนชั้นได้นี่เอง ทำให้ทางกลุ่มงิ้วธรรมศาสตร์ถูกทางผู้ใหญ่เตือนให้ระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ถึงแม้หลายคนจะมาด้วยใจที่รักความเป็นธรรม แต่ในเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ควรประมาท จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมกลุ่มผู้แสดงงิ้วจึงไม่อยากเปิดเผยตัวนัก ระหว่างที่พวกเขากำลังเตรียมการแสดงชุดใหม่ โดยมีอาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ หัวหน้าคณะเป็นผู้นำที่เปิดเผยตัวเพียงคนเดียว

-2-

อาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ หัวหน้าคณะ หรือ 'นายโรง' งิ้วธรรมศาสตร์ ที่เคยผ่านการต่อสู้ทางเมืองในยุค 6 ตุลาฯ กล่าวว่า การเมืองสมัยก่อนสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่ายุคนี้มาก

"เพราะว่าเป้าหมายของเราสมัยนั้นมันถือปืนเข้ามา ทุกชนชั้นก็จะเห็นหมด ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ ไม่ว่าจะเป็นชาวนา คนเมืองหรือคนต่างจังหวัด แต่คราวนี้เป้าหมายการต่อสู้เขาถือทุนมา พอเขาถือทุนออกมาเป้าหมายมันเบลอ จะต้องเป็นคนที่มีความรู้เท่านั้นถึงจะเห็น อีกหลายๆ คนในระดับล่างก็จะไม่เห็น เขาจะมองว่าก็ดีแล้ว เพราะฉะนั้น ทำให้การต่อสู้ในครั้งนี้แยกเป็นสองฝ่าย แต่ที่ผ่านมามันค่อนข้างเห็นพ้องต้องกัน แล้วก็จะไปด้วยกัน"

ผลจากที่มีความคิดทางการเมืองแตกออกเป็น 2 ขั้วนี่เอง ทำให้ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มงิ้วธรรมศาสตร์ครั้งนี้ ต้องเลือกยืนข้างในฝ่ายที่คิดว่าถูกต้อง

อาจารย์วิโรจน์กล่าวว่า ในการออกมาแสดงตัวคราวนี้ก็มีผลกระทบจากฝ่ายตรงข้ามมาถึงตนเองบ้างเหมือนกัน อย่างเช่นในวันที่จะเดินทางไปเล่นงิ้วที่สนามหลวง เขาก็ถูกมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่นิยมอีกฝ่ายหนึ่งตะคอกใส่ว่า "กูไม่ไปส่งมึงหรอก !" มาแล้ว ทว่าภายหลังจากการแสดงเสร็จก็มีเสียงตอบรับจากประชาชนทั่วไปในแง่ดีมาก
"คราวนี้เราออกมาปุ๊บถึงรู้ว่า ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปไฮเทคยังไง จะเป็นยุคไอทียังไง งิ้วก็ยังสามารถตอบรับได้ ใช้ได้อย่างแรงเลย ซึ่งถ้าหากเราจะไปเอาลิเกขึ้นมา กว่าจะแปลงคำพูดมาเป็นคำร้อง มันก็ไม่ทันแล้ว แต่งิ้วเอาคำพูดมาตัดฉับๆ เห็นผลทันทีเลย เคลียร์คัตชัดเจน ด่าเป็นด่า หวยออกเป็นหวยออก (หัวเราะ)"

อาจารย์วิโรจน์กล่าวว่าสมควรแล้วที่เขาจะเป็นตัวแทนของคณะงิ้วธรรมศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งล้วนแต่ทำงานเป็นผู้บริหาร เจ้าของกิจการ มีบริษัทเป็นของตนเอง ขณะที่เขาซึ่งเป็นที่รู้จักในสังคมอยู่แล้ว หากเกิดอะไรขึ้นสาธารณชนก็คงให้ความสนใจ ไม่อันตรายเท่าคนอื่น

"อีกอย่างเราก็เคยมีประสบการณ์ เด็ก ๆ เขาก็บอกว่า โอ๊ย! อาจารย์เคยติดคุกมาแล้ว ไม่กลัวคุกหรอก ไปสู้เถอะ (หัวเราะ) แหม…เด็กๆ พวกนี้รักฉันจริงเลยนะ" อาจารย์วิโรจน์เล่าอย่างอารมณ์ดี

นอกจากคนธรรมศาสตร์ยุคก่อนแล้ว ก็ยังมีนักศึกษาปัจจุบันขึ้นร่วมแสดงบนเวทีด้วย ทำให้อาจารย์วิโรจน์ตื้นตันใจถึงกับน้ำตาซึม เมื่อเห็นว่าอุดมการณ์ถูกถ่ายทอดต่อให้ศิษย์รุ่นน้อง แต่อาจารย์วิโรจน์คิดว่างิ้วการเมืองธรรมศาสตร์นี้ไม่สามารถแสดงได้อย่างศิลปวัฒนธรรมทั่วไป

"ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ปกติ เชื่อเถอะว่างิ้วการเมืองไม่สนุก เพราะว่ามันจะเป็นการต่อสู้ และไม่เหมาะว่าจะมาสรรเสริญใคร พูดไปแล้วมันไม่ใช่ศิลปะอย่างโขนหรือบัลเลต์ มันจะต้องมีประเด็นแหลมๆ ที่คนในสังคมรู้สึกร่วมกัน แล้วเราก็จะหยิบเอาตรงนี้มาใช้ในการต่อสู้"

-3-

"ปัญญาชนที่แท้จริงนั้น ไม่เคยเป็นแค่ผู้ชม หากเป็น 'นักรบแห่งมโนธรรม' และศัตรูที่แท้จริงของพวกเขา คือทุกข์ร้อนในบ้านเมือง" เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษา 14 ตุลาฯ เขียนไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า 'เมื่อโลกไม่มีประวัติศาสตร์'

การรวมตัวของอดีตคนธรรมศาสตร์ นอกจากจะเป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองแล้ว ยังเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาเลือกที่จะลงมาต่อสู้เคียงข้างประชาชนเมื่อบ้านเมืองมีทุกข์ร้อน หาใช่เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่มีความจำเป็นใดๆ บีบบังคับให้ต้องออกมาเรียกร้องเช่นนี้ ทุกคนมีหน้าที่การงานมั่นคง มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบดูแล 'นักสื่อสารมวลชน' ผู้เขียนบทงิ้วการเมืองแสดงทัศนะในประเด็นนี้ว่า

"จริงๆ แล้วพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่นั่งชุมนุมอยู่ข้างล่าง เพราะเราก็เคยเป็นหนึ่งคนที่นั่งประท้วงอยู่ที่นั่นก่อนจะมาขึ้นเวที แต่เราพอมีฝีมือ มีความสามารถที่จะทำให้เวทีครึกครื้นได้ก็เลยอาสามาเท่านั้น แต่ก็ต้องยกย่องนักแสดงเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่กลัวเลย ทั้งที่การขึ้นเวทีก็เสี่ยงนะ วันเสาร์บางคนพาลูกพาครอบครัวมา แต่วันอาทิตย์จะให้เมียกับลูกอยู่ที่บ้าน เพราะว่าตกลงกันว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เมียจะได้เลี้ยงลูก เขาคุยกันจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ายกย่องเพราะว่าพวกเขาก็มีความกล้าพอสมควร"

ทั้งนี้ เขายังออกตัวในส่วนของการแสดงว่าอย่าเอาสาระมาก เพราะเป็นเพียงแค่งิ้วสมัครเล่น แต่ภายใต้ความตลกนั้นผู้ชมก็น่าจะได้อะไรกลับไปขบคิดอยู่บ้าง ขณะนี้เขากำลังขะมักเขม้นกับการเขียนบทงิ้วตอนต่อไปอยู่ รับรองว่าวันที่ 5 มีนาคมนี้ แฟนๆ งิ้วการเมืองธรรมศาสตร์จะได้รับชมอย่างสนุกสนานเต็มอิ่มเช่นเคย ผู้เขียนบทงิ้วการเมืองเชื่อมั่นว่าศิลปะการแสดงอย่างงิ้วนั้น จะสามารถช่วงส่องทางการเมืองที่กำลังมืดมนให้ประชาชนมองเห็นได้

"ในฐานะที่ทำงานด้านวัฒนธรรมมาโดยตลอด เรารู้ชัดเจนว่างานวัฒนธรรมคือหัวหอกทางการเมือง งานวัฒนธรรมทำหน้าที่ให้คนเข้าใจอะไรง่ายๆ และปลุกอารมณ์ความรู้สึกคนให้ฮึกเหิมอยู่ตลอดเวลา แต่ก็แน่นอนว่างานวัฒนธรรมก็เป็นดาบสองคม ถ้าทำดีก็สนุก ทำไม่ดีก็ฝืด แต่ถามว่าโดยหน้าที่หลักงานวัฒนธรรมก็เหมือนกับการดูหนังดูละคร ทำไมคนสนใจมากกว่า ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะมันสื่อสารกับคนได้ตรงมากกว่า เราอาจจะไม่ได้เล่นเหมือนมืออาชีพ เพราะไม่ได้เล่นกันมานานแล้ว แต่ว่าอยากทำเพราะมีหัวใจดวงเดียวกับคนที่มาร่วมประท้วง"

อย่าพลาดติดตามตอนต่อไปของงิ้วการเมืองจากฝีมือการแสดงของคนธรรมศาสตร์ ในคืนวันที่ 5 มีนาคมที่ท้องสนามหลวง ดูสิว่าคราวนี้พวกเขาจะขนมุกแพรวพราวแสบสันมาประชันกันขนาดไหน และ 'จะเด็ด' จะเป็นใคร อยากรู้ต้องติดตาม!

*********************

เรื่อง - รัชตวดี จิตดี







กำลังโหลดความคิดเห็น