จากการใช้ชีวิตเป็นอาจารย์สอนด้านประติมากรรมกว่า 30 ปี วันนี้ ศาสตราจารย์ธนะ เลาหกัยกุล อดีตคณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หันเหชีวิตของเขาด้วยการตัดสินใจวางมือจากงานศิลปะชั่วคราว หันมาจับตะเกียบและทัพพีลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ในฐานะเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านจรัญวิลล่า 4 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 13
การเดินทางจนผ่านมาถึงวันนี้ของเขานั้นไม่ง่าย เขาผ่านทั้งจุดที่ได้รับการยอมรับสูงสุด จนกระทั่งถูกกดดันและบีบคั้นเท่าที่ความเป็นบุรุษและมนุษย์ผู้หนึ่งจะทานทนได้ การตัดสินใจพลิกชีวิตของตนเองด้วยการลุกขึ้นสู้ และยอมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติ เป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้วที่จะกระทำและยอมรับในวิถีที่มันเป็น
*ลูกแม่น้ำ
ศ.ธนะ เลาหกัยกุล เกิดที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี ในยุคที่เจ้าพระยายังใสสะอาดไม่มีขยะพลาสติก ก่อนที่จะย้ายไปอาศัยอยู่กับป้าซึ่งเปิดร้านขายของชำแบบที่เรียกว่าโชวห่วย ที่จ.ระยอง ตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบ เขาจึงเรียกตัวเองได้เต็มปากว่าเป็นทั้งลูกน้ำจืดและลูกน้ำเค็ม แต่แล้วสายลมแห่งโชคชะตาก็พัดพาลูกแม่น้ำคนนี้ข้ามมหาสมุทรไปไกลถึงทวีปอเมริกา
หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนศิลปะศึกษา (ช่างศิลป์) ต่อด้วยปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ในสาขาประติมากรรม เมื่อปี 2511 โดยเป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของ ศ.ศิลป์ พีระศรี ปรมาจารย์ด้านศิลปะ ศ.ธนะได้เริ่มใช้ชีวิตในต่างแดนด้วยการตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโทที่วิทยาลัยศิลปะแมสซาชูเซตส์ ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีการเปิดสอนปริญญาโทด้านศิลปะในเมืองไทย ต่อมาเขาได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี่ ให้เป็นอาจารย์สอนวิชาประติมากรรม และได้ย้ายไปสอนต่อที่มหาวิทยาลัยเทกซัส เมืองออสติน นานกว่า 26 ปี จนกระทั่งได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์จากสถาบันแห่งนี้ แต่กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้ ศ.ธนะบอกว่าเขาต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาอย่างเคี่ยวกรำ เพื่ออยู่ให้รอดในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เขาเปรียบเป็น 'หม้อจับฉ่าย' ที่รวมไปด้วยผักที่อุดมคุณค่าทางโภชนาการ
"เขาเปิดโอกาสให้เราแสดงสิ่งที่เราคิดว่าเป็นที่สุดของเรา แต่กว่าที่เราจะมีชีวิตอยู่และแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาได้ก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น เพราะการจะพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นเราก็ต้องแสดงสิ่งที่มันเป็นสุดยอดของเราออกไปมันถึงจะอยู่รอด สถาบันนั้นถึงมีแต่สิ่งสุดยอด ถ้าเราไปอยู่อย่างสบายเขาก็จะนำความสบายนั้นไปเผยแพร่ แต่ถ้าเราเป็นลูกชาวนา เขาก็จะพยายามผลักดันให้เราเอาประสบการณ์ตั้งแต่ปู่ย่าตายายตรงนั้นไปเผยแพร่ คุณค่ามันอยู่ตรงนี้ ตอนที่ผมไปใหม่ๆ ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่พออยู่ไปก็เริ่มรู้ว่าเขาเปิดโอกาสให้เรา"
ในระหว่างที่อยู่อเมริกานั้น ศ.ธนะยังได้รับเกียรติเป็นศิลปินไทยที่มีชื่ออยู่ใน 'Archives of American Art Journal' ของสถาบันสมิทโซเนียน ภายหลังจากที่ผลงานของเขาได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดอนุสาวรีย์ประติมากรรมสงครามเวียดนาม โดยได้รับมอบรางวัลจากภรรยาของประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ต่อมาทางมหาวิทยาลัยศิลปากรยังได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาประติมากรรมให้แก่ ศ.ธนะ อีกด้วย
*จุดเปลี่ยนของชีวิต
หากที่ผ่านมาเส้นทางการใช้ชีวิตเป็นอาจารย์สอนทางด้านศิลปะของ ศ.ธนะเรียกได้ว่าราบรื่น จุดเปลี่ยนของทางสายนี้ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อ ศ.ธนะได้รับตำแหน่งเป็น 'คณบดี' คณะจิตรกรรมฯ ของมหาวิทยาลัยศิลปากร
หลังจากใช้ชีวิตเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่อเมริกามาหลายสิบปี ศ.ธนะก็ตัดสินใจกลับมาทำงานให้สถาบันที่เขารัก เมื่อทราบข่าวจากเพื่อนว่ามีระบบการสรรหาบุคคลภายนอกให้เข้ามารับตำแหน่งคณบดี และหลังจากลงชื่อสมัครตามกระบวนการ ศ.ธนะก็ได้รับการคัดเลือกจากสภามหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ดำรงตำแหน่งคณบดี คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ในปี 2546
แต่เพียงปีแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ก็มีการขึ้นป้ายผ้าเขียนข้อความโจมตีจาก 'มือมืด' ตั้งแต่ ศ.ธนะยังไม่เดินทางมารับตำแหน่ง และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะยุติ นั่นจึงนำไปสู่การตัดสินใจลาออกและฟ้องร้อง 24 คณาจารย์ จนกระทั่งเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงศิลปะเมื่อปีก่อน
"ตอนนั้นผมลาออกจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส เพราะอยากจะกลับมาตอบแทนบุญคุณให้มหาวิทยาลัยศิลปากร" คือเหตุผลที่ ศ.ธนะบอกในการตัดสินใจทิ้งตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคงกลับมาเมืองไทย แต่ได้เพียงแค่ปีเศษเขาก็ต้องลาออก เมื่อออกจากราชการ ลำพังการทำงานศิลปะส่วนตัวไม่อาจเรียกได้ว่าพอเพียงต่อการเลี้ยงชีพและอนาคตของครอบครัว ศ.ธนะจึงตัดสินใจเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือแห่งนี้ขึ้น เป็นจุดพลิกผันชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งในช่วงระยะเวลาเพียงแค่ปีเศษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ศ.ธนะก็ไม่ได้ยึดติดกับเกียรติยศซึ่งเป็นสิ่งสมมติอันใด เขายอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วยความมีสติ และยึดหลักของความถูกต้อง
"ทั้งชีวิตผมที่ผมดำเนินมาผมทำด้วยความสามารถและความถูกต้อง ด้วยความตั้งใจว่าจะทำดี ผมไม่โกงใครและเอารัดเอาเปรียบใคร และผมตั้งใจว่าผมจะให้เท่าที่จะให้ได้ เพราะผมมาจากสถาบันนี้ที่เขาเคยเสี้ยมสอนผมมา เราเชื่ออย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ถูกต้อง ผมรับไม่ได้ แต่เขาคงคิดว่ามันถูกต้อง เขาถึงได้ทำ ก็ให้สังคมเขาตัดสิน"
*อนาคตศิลปะ
ในประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วนั้น มิใช่ประเด็นสำคัญที่ ศ.ธนะอยากจะกล่าวถึงเท่าวิธีคิดและระบบความเชื่อบางอย่างในสังคมไทยที่เขาได้แง่คิดจากเหตุการณ์นั้น
แม้จะเป็นครูมาตลอดเกือบทั้งชีวิต แต่น่าแปลกที่ ศ.ธนะบอกกับเราว่า แท้จริงแล้วระบบการเป็นครูไม่ถูกกับธรรมชาติของเขาที่เป็นคนชอบสังเกตและตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัวมาตั้งแต่เด็ก และ ศ.ธนะไม่ค่อยประทับใจในวิธีการสอนของครูในอดีตนัก เขาเชื่อในระบบการสอนที่ยึดมั่น 'ธรรมชาติ' ที่อยู่ในตัวของผู้เรียนแต่ละคน และปรับวิธีการสอนให้เข้ากับธรรมชาติของนักเรียนคนนั้นๆ โดยไม่มีกรอบเกณฑ์ตายตัว
"อาจารย์ผู้สอนมีความสำคัญมาก จะต้องหลากหลายรอบรู้ จะต้องเข้าใจและยอมรับว่าเด็กแต่ละคนมีธรรมชาติไม่เหมือนกัน ในการเป็นครูผมตั้งใจที่จะสอนเด็กในสิ่งที่เขาไม่ได้สอนผมมา สิ่งที่ผมอยากจะรู้และเขาไม่ได้บอกผม ถ้าเด็กเขามีจินตนาการผมก็จะให้เขาเสนอจินตนาการ คุณเสนอความฝันของคุณมาเถอะ แล้วเรารับมาศึกษาและลองมาทำดู ชีวิตที่ผมได้จากการเป็นอาจารย์ นั่นล่ะคือห้องสมุดศิลปะในอนาคตที่ผมได้"
ศ.ธนะย้ำเสมอว่า ผู้เรียนศิลปะเหล่านี้ต่างหากคือ 'อนาคต' ของวงการศิลปะ หาใช่ตัวผู้สอนไม่
"การสอนไม่จำเป็นต้องมีสถาบันอย่างที่สถาบันมี เพราะการสอนที่อยู่ในสถาบัน ผู้ที่อยู่ในสถาบันมักจะดูถูกคนที่ไม่มีปริญญาบัตรว่าเขาไม่มีความรู้ เขาไม่เข้าใจ ความเป็นครูมันไม่จำเป็นต้องมีสถาบันถึงจะเรียกว่าเป็นครู ปู่ย่าตาทวดพ่อแม่เราก็สอนเรามา ความเป็นครูก็คือการให้"
ทว่าที่ผ่านมา ในสายตา ศ.ธนะมองว่าระบบการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาไทยมักจะยึดกับเรื่อง 'สี' ของสถาบันมากเกินไป จนมองข้ามความหลากหลายและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะได้รับในการเปิดกว้างทางด้านบุคลากร
"วัฒนธรรมไทยเป็นหนี้บุญคุณกัน เด็กต้องเคารพผู้ใหญ่ พอสถาบันรับคนที่จบที่นี่มาเป็นอาจารย์ หนี้บุญคุณมันมีอยู่ มันเป็นสถาบันของครอบครัว สถาบันนี้คือบ้านของครอบครัวนี้ บ้านของฉัน ที่ของฉัน ถ้าฉันไม่พอใจคุณก็ออกไป ซึ่งอันนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่าจะเข้าไปเจอ ตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงอาจารย์ก็เลยเหมือนเป็นคนคนเดียวกัน เพราะว่ามันเป็นความรู้อันเดียวกัน เรียนจากความรู้แหล่งเดียวกัน เป็นเหมือนกบอยู่ในกะลา มันคือความเป็นจริง เราไม่ได้ไปดูถูกเหยียดหยาม"
"คุณจะมองเห็นว่าสถาบันการศึกษาเดี๋ยวนี้มันมีแนวโน้มคล้อยตามนิสัยของการเมือง ในลักษณะการคิด การวางแผน การกระทำหลายๆ อย่างมันเป็นอย่างนั้น ซึ่งผมคงหัวโบราณ ผมรับไม่ค่อยได้ ที่รับไม่ได้เพราะถือว่าเราเป็นนักวิชาการ และที่มันเป็นปัญหาเพราะเขาคิดว่านี่คือสถาบันของเขา เพราะฉะนั้นไม่ได้สะเทือนผมเลยตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมีการฟ้องร้องมันเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราทำให้แก่สถาบันนี้ ผมไม่ได้ทำให้มหาวิทยาลัยศิลปากรเสียหรอก ลองคิดให้ดีๆ ลองมองกันใหม่ มันไม่สายเกินไปหรอกเวลาคุณทำอะไรผิดแล้วคุณขอโทษ โลกนี้ถ้าคุณทำอะไรผิดแล้วไม่สำนึกผิด มันจะเกิดอะไรขึ้น" ศ.ธนะตั้งคำถาม
*มะเร็ง-ก๋วยเตี๋ยวกับความหวัง
หลังตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งคณบดีคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร มาเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือได้ไม่นาน กิจการก็ทำท่าว่าจะไปได้สวย สังเกตจากวันที่เราไปพูดคุยก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอุดหนุนร้านตลอดทั้งวัน บางช่วงคนแน่นจนต้องรอคิว ด้วยฝีมือปรุงก๋วยเตี๋ยวรสชาติดี อีกทั้งราคาย่อมเยาเพียงชามละ 10 บาท ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นเด็กๆ ที่อาศัยในละแวกนั้น
สาเหตุที่เลือกเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ศ.ธนะกล่าวว่า เป็นเพราะทำเลที่ตั้งของร้านที่อยู่ในย่านชุมชน ซึ่งร้านก๋วยเตี๋ยวก็ใช้เงินลงทุนและพื้นที่ไม่มากอย่างร้านอาหาร เป็นกิจการในครอบครัวเล็กๆ ที่พออยู่ได้
"เรามาทำตรงนี้เราก็ได้รู้ว่าคนอื่นเขาใช้ชีวิตยังไง เราต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ไปจ่ายตลาดซื้อวัตถุดิบในการทำก๋วยเตี๋ยวมาเตรียม ซึ่งเมื่อก่อนผมก็โตมาจากอย่างนี้ แต่ว่าพอห่างไปอยู่กับสังคมแบบอื่นเสียนานบางครั้งก็ลืมตรงนี้ไป เราก็ย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ผมก็ดีใจที่ลูกผมโตมาอย่างนี้ ผมก็คิดว่าดีแล้วล่ะถ้าเขาจะไต่เต้าไปเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น อย่างน้อยก็จะได้เห็นได้เรียนรู้ตรงนี้ ถ้าไม่มีเรื่องนั้นก็ไม่มีวันนี้ เราก็ดิ้นรนต่อสู้กันไป ถามว่ามันเป็นศิลปะไหม เดี๋ยวมันก็ต้องเป็นจนได้" ศ.ธนะพูดยิ้มๆ
ส่วนงานศิลปะนั้น ศ.ธนะบอกว่าก็ยังคงสร้างสรรค์อยู่แต่ก็อาจแผ่วไปบ้างตามอายุที่เพิ่มขึ้น "ธรรมชาติของผมเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ แต่บางทีเราก็อยากจะทำอะไรที่มันซ้ำๆ เอางานศิลปะเก่าๆ ซึ่งเราทำไว้ที่ดูแล้วมันน่าจะแก้ไข เอามาสร้างใหม่"
ศ.ธนะเคยจัดแสดงเดี่ยวนิทรรศการศิลปะชุด "มะเร็ง" (Cancer) ซึ่งสื่อถึงโรคภัยที่กำลังรุมเร้าสุขภาพของเขาอยู่ในเวลานี้ ศ.ธนะตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมากว่า 10 ปีแล้ว ที่ผ่านมาเขาพยายามศึกษาตำราแพทย์ทางเลือกต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเองมาโดยตลอด แต่เมื่อชีวิตยื่นบทบาทของความเป็น 'พ่อ' เพิ่มมาให้ ศ.ธนะจึงจำเป็นต้องครุ่นคิดและวางแผนอนาคตข้างหน้าเพื่อ 'น้องขิม' ลูกสาววัยขวบเศษของเขา
"ผมหวังว่าผมจะมีโอกาสอยู่จนกระทั่งลูกสาวผมมีความรู้สึกนึกคิดที่พอจะฟังผมได้ ผมอยากจะสอนเขาสิ่งแรกคือเป็นคนดี แล้วก็สอนให้เขารักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด สุขภาพดีจิตใจก็ดีตาม จิตใจไม่ดีสุขภาพร่างกายก็ไม่ดี สำคัญคือเป็นคนดี มันไม่ได้อยู่ที่ยศถาบรรดาศักดิ์ ผมเชื่อว่า เป็นคนดีแล้วทุกอย่างจะตามมา ถ้าสุขภาพดีคุณจะไม่เป็นคนจนเลย เกียรติยศไม่ได้ให้คุณเลย สำหรับลูกผม ผมไม่สนหรอกว่าลูกผมจะเรียนโรงเรียนราชินีหรือวัดฉิม ผมคิดว่าผมก็สอนลูกผมได้ แล้วผมก็ไม่ได้เห่อว่าลูกผมต้องไปอเมริกา ต้องเก่งภาษาอังกฤษ แต่ผมต้องการให้ลูกของผมเก่งภาษาของการเป็นคนดี ทำได้อย่างไร ผมรู้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่สุด"
แต่ชีวิตของ ศ.ธนะ เลาหกัยกุล ก็ต้องเดินต่อไป