ตอนนี้ดูเหมือนว่า นอกจากบรรยากาศการเมืองที่กำลังคุกรุ่นแล้ว กระแสความบันเทิงจากฝั่งเอเชียก็กำลังร้อนแรงไม่แพ้กัน นับตั้งแต่เกิดกระแสคลั่งไคล้ซีรีส์ 'Full House' ตามมาด้วย 'Lovers in Paris' ตอกย้ำด้วยปรากฏการณ์ 'แดจังกึมฟีเวอร์' ทำให้ช่วงนี้วัยรุ่นไทยอะไรๆ ก็หายใจเข้าออกเป็นเกาหลีทั้งนั้น จนแชมป์เก่าอย่างญี่ปุ่นที่เคยครองใจวัยรุ่นเอเชียต้องหันมาจับตามองคู่แข่งอย่างไม่ประมาท
กวาดตามองบนแผงหนังสือยามนี้ นิตยสารบันเทิงเกาหลี-ญี่ปุ่น (K-J Magazine) หรือที่เรียกว่า 'เอเชียนเอนเตอร์เทนเมนต์แมกกาซีน' ก็กำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ล่าสุดมีการเปิดหัวหนังสือบันเทิงเกาหลีภาคภาษาไทยโดยเฉพาะ ยิ่งตอกย้ำถึงความแรงที่ขายได้ของกระแสบันเทิง K-Pop และ J-Pop จากเอเชียตะวันออกไกลเหล่านี้
Seoul Street ถนนอักษรบันเทิงเกาหลี
จากกระแสความนิยมสื่อบันเทิงจากประเทศเกาหลีในเมืองไทย จนกลายเป็น 'เกาหลีฟีเวอร์' ในช่วง 3-4 ปีมานี้ ส่งผลให้วงวรรณกรรมแปลบ้านเราคึกคัก มีหนังสือแปลเกาหลีออกมามากมาย ซึ่งหนึ่งในสำนักพิมพ์ที่อ่านเกมการตลาดได้ขาดอย่าง 'สำนักพิมพ์แจ่มใส' ก็แสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำตลาดอีกครั้ง ด้วยการเป็นเสือปืนไว ออกนิตยสารบันเทิงเกาหลีล้วนๆ เล่มแรก ในชื่อว่า 'Seoul Street'
เนื้อหาเรื่องราวในวงการบันเทิงเกาหลีที่ให้คอบันเทิงกิมจิอัปเดตก่อนใคร ประกอบด้วยภาพถ่ายที่คมชัด พิมพ์สี่สีทุกหน้าด้วยกระดาษอาร์ตมัน ทำให้นิตยสารบันเทิงเกาหลีน้องใหม่ฉบับนี้โดดเด่นออกจากแผงนิตยสารบันเทิงเกาหลีเล่มอื่นๆ ซึ่งมักจะมีเนื้อหาบันเทิงของชาติอื่นๆ ในเอเชียรวมอยู่ด้วย และนั่นคือสิ่งที่ ศศกร วัฒนาสุทธิวงศ์ บรรณาธิการ Seoul Street คิดว่าเป็นจุดแข็งและจุดขายของนิตยสารสายพันธุ์เกาหลีแท้ๆ ฉบับนี้
"จริงๆ แล้วตอนนี้ แมกกาซีนที่อยู่ในท้องตลาดที่เป็นจีน ญี่ปุ่นล้วนๆ ก็ไม่มี ปัจจุบันมันเริ่มแมสจากเดิมที่เคยเป็นจีนหรือญี่ปุ่น ก็เริ่มมีเกาหลีแทรกเข้าไปในเล่มสัก 20 เปอร์เซ็นต์ คนที่เข้าไปอ่านตรงนี้น่าจะมีกลุ่มใหม่ที่เข้าไปอ่านเพราะชอบเกาหลี เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือกว่าจะหาข้อมูลจากทางไหน ต้องเอาเท่าที่มีอยู่ แต่ตอนนี้มี Seoul Street ที่เป็นทางเลือกใหม่ที่ 100 เปอร์เซ็นต์จริงๆ"
ทั้งนี้ ศศกรหวังว่าจะได้กลุ่มคนอ่านหลักจากแฟนๆ เดิมของสำนักพิมพ์แจ่มใส เป็นการเอื้อซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งพิมพ์ทั้ง 2 ชนิดในเครือ โดยวาง positioning ไว้เป็นเอเชียนเอนเตอร์เทนเมนต์แมกกาซีนเกาหลีล้วนๆ ที่จับกลุ่มผู้อ่านที่ค่อนข้างไฮ-เอนด์ ด้วยราคาขายที่ไม่นับว่าถูก ซึ่งคงจะช่วยกรองแฟนพันธุ์แท้ที่ชื่นชอบบันเทิงเกาหลีได้จริงๆ
"เพราะมันเป็นเล่มที่ไม่เคยมีใครในท้องตลาดทำมาก่อน ไม่มีใครกล้าทำเป็นเกาหลีแท้ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจจะเป็นด้วยเรื่องของภาษาด้วย ก็น่าจะเจาะกลุ่มที่เป็นแฟนพันธุ์แท้จริงๆ เลย"
ด้านทางโฆษณาก็ตอบรับดี แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีแมกกาซีนเกาหลีล้วนๆ แบบนี้มาก่อน ศศกรเผยว่ามีโฆษณาที่เป็นแบรนด์สินค้าเกาหลีแท้ๆ ติดต่อมาพอสมควร อาทิ เครื่องสำอาง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
"ที่หลายคนคิดว่าจะเป็นปัญหา เพราะคิดว่าตลาดค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่มหรือเปล่า จริงๆ แล้วสามารถบอกได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของ Seoul Street มีกำลังซื้อ คนอ่านค่อนข้างจะวัยรุ่น แล้วก็เหมือนจะตามกระแสอยู่ตลอดเวลา ก็อาจจะจะรับข้อมูลข่าวสารหรืออะไรใหม่ๆ ได้ ก็คิดว่าน่าจะเป็นจุดดีมากกว่า"
ในส่วนของแหล่งข้อมูลเนื้อหานั้น ศศกรบอกว่าจะมีข่าวคราวจากเกาหลีทั้งเรื่องและภาพที่ได้ลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องจากนิตยสาร Interview ซึ่งเป็นนิตยสารบันเทิงชั้นนำของเกาหลี ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวความเคลื่อนไหวในวงการบันเทิงเท่านั้น แต่ยังมีบทความไลฟ์สไตล์ที่ตรงใจกลุ่มผู้อ่านชาว 'Korean Fanclub' ในเมืองไทย ทั้งเรื่องวัฒนธรรม ภาษา อาหาร ท่องเที่ยว และแฟชั่น เรียกได้ว่าจ่ายในราคา 100 บาท ได้สาระมาคุ้ม
"ปัญหาของแมกกาซีนเกาหลีเล่มอื่นๆ ในเมืองไทย ส่วนมากภาพจะเอามาจากอินเทอร์เน็ต หรือจากแมกกาซีนทางญี่ปุ่นหรือไต้หวันที่ทำเรื่องเกี่ยวกับเกาหลี แต่อันนี้เราได้ข้อมูลต้นฉบับมา ภาพจากต้นฉบับก็ชัดเจนสวยงาม อันนี้ก็น่าจะเป็นจุดแข็งจุดหนึ่งที่ต้องการสื่อถึงคนอ่าน เพราะคนที่ซื้อแมกกาซีนแบบนี้ส่วนใหญ่จะค่อนข้างชอบดูรูป เราตั้งใจอยากให้ Seoul Street เป็นนิตยสารที่เก็บไว้อ่านได้ เพราะปกตินิตยสารจะมีอายุแค่ 1 เดือน แต่อยากจะให้มันเป็นคอลเลกชัน อยากให้เป็นหนังสือที่เก็บไว้อ่านได้นานๆ เหมือนหนังสือพ็อกเกตบุ๊กของแจ่มใส"
ในฐานะ บก.Seoul Street นิตยสารบันเทิงเกาหลีล้วนๆ เล่มแรกในประเทศไทย ศศกรคาดหวังว่า จะเป็นทางเลือกและมุมมองใหม่ๆ ให้กับผู้อ่านที่ชื่นชอบความบันเทิงเกาหลี และหวังว่าการเปิดตัว Seoul Street จะช่วยสร้างความคึกคักให้วงการนิตยสารไทยมากยิ่งขึ้น
Cawaii! ไกด์บุ๊กแฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่น
Cawaii! เป็นนิตยสารที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของวัยรุ่นญี่ปุ่น 'Cawaii' เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลเป็นไทยว่า 'น่ารัก' วัยรุ่นญี่ปุ่นกว่า 80% ต่างซื้อนิตยสารเล่มนี้ไว้เป็นคู่มือ จนมีคนกล่าวว่า Cawaii! คือคัมภีร์แฟชั่นและการใช้ชีวิตของสาววัยทีนแดนอาทิตย์อุทัย เช่นเดียวกับที่แมกกาซีน Cosmopolitan เป็นคัมภีร์ของผู้หญิงในซีกโลกตะวันตก
ญาณิษฏ์ภัค ไตรภัทรศิษฐ์ บรรณาธิการนิตยสาร Cawaii! บอกเล่าประวัติความเป็นมาของนิตยสารหัวนอกฉบับนี้ว่า Cawaii! ออกวางจำหน่ายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1995 เป็นนิตยสารสำหรับวัยรุ่นที่มีความมั่นใจ ชอบและสนใจในแฟชั่น จุดเด่นของนิตยสารคือ เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้เข้ามามีส่วนร่วมในหลายๆ ด้าน เช่น เป็นนางแบบผู้อ่าน เสนอไอเดียในคอลัมน์ต่างๆ เรื่องราวที่นำเสนอก็เป็นเรื่องราวของแฟชั่น โรงเรียน สุขภาพ ความงาม ความรัก การทำนายดวง และอื่นๆ เปลี่ยนไปตามความสนใจของวัยรุ่น ดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นนิตยสารที่ใกล้ชิดวัยรุ่นญี่ปุ่นมากที่สุดฉบับหนึ่งก็ว่าได้
"เนื่องจากวัยรุ่นไทยมีความสนใจในประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น เช่น วงการบันเทิง เทคโนโลยี และโดยเฉพาะแฟชั่น แต่ยังไม่มีนิตยสารฉบับใดในเมืองไทยเลยที่นำเสนอแฟชั่นจากญี่ปุ่นของแท้แบบถูกลิขสิทธิ์ จึงได้เลือก Cawaii! ซึ่งเป็นนิตยสารวัยรุ่นที่เป็นที่นิยมทั้งในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศมานำเสนอ" ญาณิษฏ์ภัคกล่าวถึงเหตุผลในการผลิต Thai Edition ของนิตยสารญี่ปุ่นฉบับนี้ ซึ่งถือเป็นนิตยสารหัวนอกอีกฉบับในเครือบริษัท Inspire Entertainment ของวิลักษณ์ โหลทอง โดยเปิดตัวไปตั้งแต่เมื่อพฤษภาคมปี 2547
หลังจากเปิดตัวมาได้เกือบ 2 ปี Cawaii! เป็นที่รู้จักทั่วไป ในหมู่วัยรุ่นที่รักแฟชั่นและสนใจในความเป็นญี่ปุ่น จะเห็นได้จากจดหมายที่ทางบ้านส่งเข้าร่วมสนุก และผู้อ่านที่มาร่วมงานของ Cawaii! เช่น งาน Work Shop, Road Show หรือในงาน Anniversary ญาณิษฏ์ภัคเปรียบเทียบกลุ่มเป้าหมายนิตยสารแฟชั่นฉบับนี้ให้ดูว่า กลุ่มผู้อ่านของ Cawaii! ที่ญี่ปุ่นจะเป็นประมาณระดับมัธยมปลายจนถึงอายุ 20 ปี ซึ่งก็คาบเกี่ยวช่วงวัยรุ่นตอนปลายไปถึงสาวทำงานที่เพิ่งเรียนจบ ขณะที่เมืองไทยจะเน้นที่กลุ่มนักเรียนระดับมัธยมปลายจนถึงมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเด็กกว่าลงมานิดหน่อย
ด้านเนื้อหานั้น บก.Cawaii! บอกว่าโดยสัดส่วนแล้ว Cawaii! ที่จำหน่ายในประเทศไทยจะมีสัดส่วนของญี่ปุ่น 70% ของไทย 30% เนื้อหาส่วนที่คัดมาจากญี่ปุ่นก็จะเลือกเรื่องที่เข้ากับรสนิยมวัยรุ่นไทย โดยไม่ขัดต่อวัฒนธรรมของบ้านเรา ส่วนเนื้อหาของไทยก็จะพูดถึงสิ่งที่วัยรุ่นไทยสนใจและแฟชั่นซึ่งสามารถใส่ได้จริงในประเทศไทย รวมทั้งยังเพิ่มรายละเอียดของร้านค้า และสินค้าจากแหล่งชอปปิ้งยอดนิยมของวัยรุ่นอีกด้วย เพื่อให้ผู้อ่านวัยทีนชาวไทยสามารถอินเทรนด์ได้ไม่แพ้สาวญี่ปุ่น
สำหรับกระแสเกาหลีที่กำลังมาแรงในตอนนี้นั้น นิตยสารสัญชาติญี่ปุ่นฉบับนี้จะเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง ญาณิษฏ์ภัคกล่าวว่า Cawaii! มีแนวทางที่ชัดเจนอยู่แล้ว คือนำเสนอแฟชั่นและไลฟ์สไตล์จากประเทศญี่ปุ่น แต่กระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่กำลังเป็นที่พูดถึงในปัจจุบัน จะเน้นไปทางวงการบันเทิงหรือเพลงเสียมากกว่า ดังนั้นคิดว่าคงไม่เป็นการแย่งตลาดกัน เพราะกลุ่มผู้อ่านไม่ได้เป็นคู่แข่งกันโดยตรง และญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นประเทศที่วัยรุ่นไทยให้ความสนใจไม่เปลี่ยนแปลง
"วัยรุ่นไทยอาจจะสนใจเกาหลีในฐานะของกระแสจากละครและดนตรีที่ไม่ซ้ำกับของไทย แต่ความสนใจในญี่ปุ่นคงจะยังไม่ลดลง แต่อาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของชาวไทย เหมือนกับที่คนไทยดูภาพยนตร์ฮอลลีวูดจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว" บก.Cawaii! กล่าว
J-SPY นิตยสารญี่ปุ่นรุ่นบุกเบิก
หากจะเอ่ยถึงนิตยสารที่นำเสนอเรื่องราวเนื้อหาบันเทิงญี่ปุ่นฉบับแรกๆ ในเมืองไทยแล้ว ชื่อของ J-SPY ย่อมอยู่ในอันดับต้นๆ ของแมกกาซีนแนวบันเทิงญี่ปุ่นบนแผงหนังสือที่สาวก J-Pop และ J-Rock หรือที่เรียกกันว่า 'เด็ก J' ต่างรู้จักกันดี
อิงค์ ปรนัย บรรณาธิการบริหาร J-SPY กล่าวถึงนิตยสารในเครืออย่าง J-SPY และน้องเล็กอย่าง Sincere ว่า เธอถือว่าแมกกาซีนทั้ง 2 เล่มนั้น เป็นส่วนหนึ่งของผู้อ่าน I-SPY ซึ่งกำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 10 แล้วในปีนี้ ที่ผ่านมา I-SPY เป็นนิตยสารที่รวมเรื่องราวบันเทิงจากหลายชาติ ทั้งไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และฝรั่ง จะมีความเป็นวาไรตี้มาก กระทั่งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เซกชั่นญี่ปุ่นได้รับความนิยมมาก มีเสียงเรียกร้องจากผู้อ่านที่เป็นคอดารานักร้องญี่ปุ่นว่ายังอ่านไม่จุใจ จึงเป็นที่มาของการแยกส่วนบันเทิงญี่ปุ่น ออกมาเป็นแมกกาซีนหัวใหม่คือ J-SPY อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้
ปรากฏว่า J-SPY เล่มแรก หน้าปก 'ทักกี้' ไอดอลขวัญใจชาว J ได้รับการตอบรับอย่างดีมาก และขายดีจนสร้างปรากฏการณ์ต้องพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ทางไอทีวีนำหนังญี่ปุ่นมาฉายในช่วงเอเชียนซีรีส์พอดี บก.อิงค์มองปรากฏการณ์ที่เกื้อหนุนระหว่างทีวีกับแมกกาซีนว่า
"ในความคิดดิฉันเชื่อว่า กระแส J มัน Never Die จากวัยรุ่น คือวัยรุ่นเอเชียพูดได้เลยว่าชอบญี่ปุ่น วัดจากตัวเองสมัยเป็นเด็กต่อให้ไม่มีหนัง ไม่มีเพลง เราก็อ่านจากทีวีรีวิว ติดนักร้องคนนั้นคนนี้มากเลย ทั้งที่ไม่เคยได้ฟังเพลง ไม่เคยเห็นตัวจริง เขาไม่เคยมาเมืองไทย แต่เด็กๆ ก็ชอบกันมาก มันไม่จำเป็นต้องมีสื่อตรงนั้น แต่ถ้ามีมันก็เหมือนเสริม หากไม่มีก็ไม่ได้แปลว่าหนังสือญี่ปุ่นเกิดไม่ได้ เพราะเด็กผู้หญิงคนไหนบ้างคะโตขึ้นมาเป็นเด็กวัยรุ่น ไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น มันกุ๊กกิ๊กคิกขุน่ะ เขาสามารถจับจิตวิทยาเด็กวัยรุ่นได้"
หลายปีต่อมา ก่อนหน้าที่กระแสบันเทิงเกาหลีจะเริ่มเป็นที่นิยม บก.อิงค์ก็ตัดสินใจแยกส่วนของบันเทิงเกาหลีและฮ่องกง จีน ไต้หวัน ออกมารวมกันเป็นนิตยสารบันเทิงเล่มใหม่ ชื่อว่า 'Sincere' ด้วยสาเหตุที่เธอเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่า สักวันหนึ่งบันเทิงเกาหลีต้องเป็นที่นิยมในเมืองไทยแน่ ประกอบกับเสียงเรียกร้องของกลุ่มผู้อ่านเด็ก J ที่ไม่ค่อยแฮปปี้กับการเห็นดารานักร้องชาติอื่นมาขึ้นปก J-SPY เท่าใดนัก
"ตอนนั้นช่อง 5 เริ่มเอาหนังเกาหลีเข้ามาฉายทางทีวีแต่ก็แป้ก ดิฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งมันต้องเป็นวันของเกาหลีแน่นอน แต่ว่าตอนนั้นคนไทยยังไม่คุ้น ทั้งที่จริงคนไทยน่าจะรับได้มากกว่าหนังญี่ปุ่นด้วยซ้ำ เนื้อเรื่องมันง่ายกว่า มันมีความเป็นเอเชียที่คนไทยเข้าถึงได้ดีกว่า" ตอนที่ตัดสินใจทำ Sincere นั้น บก.อิงค์บอกว่าเธอไม่เคยสำรวจตลาด แต่เป็นไปด้วยประสบการณ์ของคนทำหนังสือที่มองถึงอนาคต
"ดิฉันทำหนังสือด้วยสัญชาตญาณตัวเอง ไม่ได้สำรวจตลาด เราก็เป็นเหมือนกับผู้อ่านคนหนึ่ง เราชอบ เราสนใจแบบไหน เราก็ทำหนังสือแบบนั้น ทำทุกอย่างด้วยสัญชาตญาณคนอ่านหนังสือล้วนๆ พอเห็นความเป็นไปได้ ก็แยกเกาหลีออกมาทำ โดยนำจีนติดมาด้วย เพราะหนังสือดาราจีน ไต้หวัน มันไม่ค่อยมีใครทำ และลำพังตัวเกาหลีเองยังไม่ได้ในตอนนั้น source ไม่มี ความนิยมยังไม่มา ก็เลยเอาไปรวมกับจีน"
ทั้งนี้ บก.อิงค์ยอมรับว่า กลุ่มผู้อ่านของทั้ง Sincere และ J-SPY ในช่วงแรกเหลื่อมกันอยู่บ้าง เพราะคนดูหนังฮ่องกง-เกาหลี ก็ค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานขึ้นมาหน่อย ขณะที่เด็ก J นั้นส่วนมากล้วนแต่เป็นวัยรุ่นวัยเรียน จนกระทั่งต่อมามีการเกิดซูเปอร์สตาร์ฝั่ง K-Pop อย่าง 'Rain' และ 'ดงบันชินกิ' ทำให้เกิดการ 'ไหล' ระหว่างกลุ่มคนอ่านนิตยสารทั้ง 2 หัวเกิดขึ้น
"เพราะฉะนั้น ตอนนี้เกาหลีเขาจับได้หมดเลย ถ้าเป็นเรื่องเพลงเขาจับวัยรุ่น ถ้าเรื่องหนังเขาจับผู้ใหญ่ เก่งมาก ไม่ใช่เฉพาะในไทย แต่ทุกประเทศในเอเชียเกาหลีเข้าไปถึงหมด เพราะว่ามาด้วยกลยุทธ์ที่ญี่ปุ่นตามไม่ทัน ญี่ปุ่นก็ยังคลั่งเกาหลีเลยคิดดู ฉะนั้น ตอนนี้แฟนผู้อ่าน Sincere มีทั้งแฟนละครผู้ใหญ่และแฟนไอดอลรุ่นเด็กๆ หน่อยสำหรับพวก K-Pop ในขณะที่ J-SPY เน้นวัยรุ่นอย่างเดียวเลย"
บก.อิงค์ไม่ได้วิตกกับการทับซ้อนกลุ่มผู้อ่านของแมกกาซีนทั้ง 2 เล่มในเครือ เพราะถือว่าอย่างไรเสียก็เป็นของเราทั้งคู่ เมื่อไหลมาก็ไหลกลับได้ เด็กวัยรุ่นเดี๋ยวนี้ก็เริ่มต้นจากชอบเกาหลีเลย ไม่ได้คลั่งไคล้ไอดอลญี่ปุ่นเหมือนเก่า เพราะมีไอดอล K-Pop เป็นทางเลือก
สุดท้าย บก.อิงค์กล่าวถึง การที่มีผู้ใหญ่ออกมาวิตกกังวลกันว่า การเข้ามาของวัฒนธรรมเกาหลีจะมากลืนเยาวชนจนหลงลืมความเป็นไทยว่า
"ถ้าหนังเรื่องหนึ่ง เพลงหนึ่ง มันจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงสัญชาติ เปลี่ยนไปเพราะได้รับอิทธิพลจากเรื่องบันเทิง ดิฉันว่ากระทรวงวัฒนธรรมไทยต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าสอนเด็กออกมาตั้งแต่เกิดเป็นยังไง ดิฉันว่าความบันเทิงก็คือความบันเทิง แต่ว่ามันไม่ได้ละลายความเป็นชาติได้ ถามว่าเราอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นกันมานาน คนไทยกลายเป็นญี่ปุ่นไหม ก็ไม่ อีกอย่างหนึ่งวัฒนธรรมเอเชียมันก็ใกล้เคียง อย่างเช่นวัฒนธรรมเกาหลีเขาเคารพพ่อแม่มาก นับถือผู้ใหญ่ ส่วนแตกต่างอื่นๆ ดิฉันว่ามันเป็นแค่ปลีกย่อย แต่โครงมันจริงๆ ก็ใกล้เคียงกัน สมัยก่อนยุคผู้ใหญ่เป็นวัยรุ่นก็คลั่งเอลวิส เพรสลีย์กันจะเป็นจะตาย แล้วมันกลายเป็นฝรั่งหรือเปล่า" บก.อิงค์ย้อนถาม พร้อมยืนยันว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สามารถกลืนกินความเป็นชาติที่มั่นคงมาเป็นหลายร้อยปีได้
"ถ้าสื่อบันเทิงต่างชาติมันกลืนได้ต้องตั้งคำถามแล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับความเป็นชาติของเรา ถึงจะมาถูกกลืนด้วยเรื่องนี้ มันเป็นไปไม่ได้"
* * * * * * * * * * * *
เรื่อง - รัชตวดี จิตดี