ประเทศไหนที่พยายามพัฒนาทางด้านตัวเลขในมิติทางเศรษฐกิจอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยหลงลืมสุนทรียภาพทางจิตวิญญาณของผู้คนในประเทศ
ประเทศนั้นก็มีแต่ภาพลวงตาถึงความสุขของผู้คนในชาติ
ถ้าผู้นำประเทศไม่เคยสนใจศิลปะในแขนงต่างๆ ก็แสดงถึงความตกต่ำของประชาชนในชาตินั้นๆ
ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของสังคมทั่วโลก ธุรกิจศิลปะก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสะท้อนออกมาในทางอ้อมได้ไม่มากก็น้อย ความเคลื่อนไหวในแวดวง
ศิลปะของไทยในปี 2549 มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในส่วนของหอศิลป์เอกชนหรืออาร์ต แกลเลอรี มีการรวมตัวและขยับขยายในเชิงกว้างอย่างที่
ไม่เคยปรากฏมาก่อนช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมา
พาไปสำรวจดูภาพรวมทั้งหมดว่า อาร์ต แกลเลอรี ในเมืองไทยในปัจจุบัน กำลังเคลื่อนไปในทิศทางไหน
1 สีลม แกลลอเรีย บุกเบิกและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในตอนแรกเริ่ม หอศิลป์เอกชน หรืออาร์ต แกลเลอรี่ มักจะแยกกันอยู่อย่างโดดเดี่ยวในแต่ละที่ ตามความสะดวกของผู้ประกอบธุรกิจในการซื้อขาย
งานศิลปะ อัมรินทร์ พลาซ่า และโซโก ได้เปิดพื้นที่ให้อาร์ต แกลเลอรีต่างๆ ได้เข้ามาใช้สถานที่ จนกลายเป็นแหล่งชุมนุมของแกลเลอรีที่มีลูกค้าเงินหนาไฮโซ
อยู่ในช่วงหนึ่ง แต่หลังจากมีการลดค่าเงินบาท เศรษฐกิจฟองสบู่ ทุกอย่างก็กระจายแยกสลายไป
สีลม แกลเลอเรีย กลายมาเป็นผู้นำที่พลิกฟื้นในการเปิดพื้นที่ให้อาร์ต แกลเลอรีต่างๆ มารวมกันเพื่อเป็น ศูนย์ของของการซื้อขายงานศิลปะ ถือเป็น
ผู้นำที่นำให้วงการศิลปะคึกคักอยู่ในช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ซบเซาลงไป
เอิบจิต ธำรงสมบัติสกุล ผู้จัดการทั่วไป สีลม แกลลอเรีย และบ้านสีลม ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป คนปัจจุบันได้วิเคราะห์ถึงวงการธุรกิจศิลปะในช่วงนี้ว่า
สถานการณ์ของวงการศิลปะในบ้านเราตอนนี้ อยู่ในช่วงสโลว์หรือหนืดช้า
"ในความรู้สึกคิดว่า เงินจะฝืดนิดหนึ่ง ตลาดศิลปะบ้านเราไม่กว้างขวางเหมือนยุคก่อนฟองสบู่แตก แต่น่าแปลกที่พบว่า ที่สีลม แกลลอเรีย งาน
ศิลปะของศิลปินต่างชาติจะไหลเข้ามาเยอะมาก โดยเฉพาะในย่านเอเชีย อย่าง เวียดนาม พม่า และจีนซึ่งดูแล้วค่อนข้างจะเห็นว่า เทคนิคดีได้รับอิทธิพลตะวัน
ตกร่วมสมัยมาเยอะมาก ส่วนงานของศิลปินไทยนั้นขาดการโปรโมตและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง"
ในปี 2549 นี้ เอิบจิต บอกว่า จะมีการขยายงานในส่วนของธุรกิจศิลปะอย่างจริงจัง โดยมี 2 โครงการในย่านสีลม คื่อทั้ง 'สีลม แกลเลอเรีย' ซึ่งเป็น
ศูนย์รวมแกลลอรีที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งมีพื้นที่ของ อาร์ต สเปซ รองรับอยู่แล้ว กับที่ 'บ้านสีลม' ซึ่งจะเน้นการจัดอาร์ต แฟร์ ทำเป็นตลาดนัดศิลปะหรืออาร์ต มา
ร์เกตด้วย
"จุดอ่อนมากๆ ในวงการศิลปะบ้านเราก็คือเรื่องคิวเรเตอร์ (คนคัดสรรศิลปินและเลือกงานศิลปะมาจัดแสดง) จะมีน้อยมาก และหาที่เก่งจริงๆ ก็ไม่
ค่อยมี ระบบบริหารจัดการต้องพัฒนา ศิลปินเองก็ต้องพัฒนาในตัวงานเองด้วย อย่ามองว่า เอเยนต์กินหัวคิวอย่างเดียวต้องมองเรื่องการช่วยเหลือกัน เราต้องการ
ไปอีกระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดว่าไปสู่ความดีเลิศ เพราะคิดว่าศิลปินก็ต้องหาหนทางของตัวเองได้เองในที่สุด ไต่ระดับตัวเองให้งานเป็นที่ยอมรับกัน"
เอิบจิต ยอมรับว่า สีลม แกลลอเรีย ชะลอตัวและเงียบไปบ้าง เพราะการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายของวงการศิลปะนั้นยากลำบากและเหน็ด
เหนื่อยมาก
"เพราะไม่มีการทำอย่างต่อเนื่อง ต้องเริ่มนับหนึ่งกันบ่อยๆ คราวนี้จะเริ่มเล็กๆ และไปอย่างช้าๆ ไม่มีการคาดหวังสูง แต่ไม่มีการยอมแพ้ต่ออุปสรรค
ปลายปีนี้จะมีการรวมพลศิลปินล้านนา โดยจัดสถานที่ให้เป็นงานของภาคเหนือแบบเต็มที่ รวมถึงหาศิลปินในภูมิภาคต่างๆ ด้วย และจะมีศิลปะเด็ก การ
ตกแต่งปรับปรุงสถานที่ให้ดึงดูดใจเด็กๆ เพื่อวางพื้นฐานทางศิลปะ
"แม้เราจะดูเหมือนเป็นอันดับ 1 ก็ตามในตอนนี้ ถึงจะไม่มีที่ไหนใหญ่เท่าก็ตาม แต่เราต้องไปให้ได้มากกว่านี้ แข่งกับตัวเอง สนับสนุนศิลปินรุ่น
ใหม่ แล้วเชิญศิลปินรุ่นใหญ่ของไทยและต่างประเทศมาวิจารณ์งานเพื่อให้เกิดการพัฒนาในตัวงาน รวมถึงคาดหวังที่จะจัดนิทรรศการศิลปะ หรือเอ็กซิบิชัน
ระดับโลก อย่าลืมว่า สีลมเป็นศูนย์ของการเงินการค้า การปรับปรุงของเราในครั้งนี้ก็หวังว่าจะเป็นการกลับมารุ่งเรืองของสีลมด้วย
ปี 2549 นี้ เอิบจิต ตั้งความหวังไว้ว่า ต้องขยับไปอีกก้าวที่มั่นคง เพราะสิงคโปร์ กลายเป็นอาร์ต เซ็นเตอร์ของย่านอาเซียนไปแล้ว จะมีการเคลื่อน
ไหวทางด้านศิลปะที่เยอะมาก
"เราเองก็พยายามทำให้พัฒนาขึ้นมาให้ได้ พยายามสนับสนุนศิลปินหนุ่มสาวหรือยัง อาร์ติสท์ที่มีฝีมือแต่ยังไม่มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ เราจะเป็นตัว
ส่งหรือเป็นตัวกลางสร้างศิลปินส่งต่อสู่วงการศิลปะ สร้างความยั่งยืนให้กับวงการศิลปะในบ้านเราต่อไป
"วันหนึ่งอยากให้เป็นเหมือนเมืองนอก ให้การมาดูงานศิลปะ การซื้องานศิลปะอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน มีการบริหารจัดการที่ดี ก็วางเป็นโครงการ
ระยะยาว 3-5 ปี ที่จะปูพื้นฐานให้แข็งแรง หวังว่าสักวันหนึ่งสามารถส่งงานศิลปินไปสู่ที่สาธารณะ เพราะมีช่องทางซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าในเครืออยู่มาก
มายอยู่แล้ว" เธอกล่าวทิ้งท้ายด้วยประกายตาแวววาว
2 ตลาดนัดศิลปะ ความพยายามของสำนักงานศิลปะวัฒนธรรมร่วมสมัย
ศิลปะเป็นภาษาสากล เพราะฉะนั้นคนทุกเพศทุกวัยก็สามารถดื่มด่ำเสพสุนทรียรสจากงานศิลปะแขนงต่างๆ ได้ อภินันท์ โปษยานนท์ ผู้อำนวย
การสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ซึ่งพยายามนำศิลปะลงสู่ชุมชนให้เข้าถึงอย่างใกล้ชิด โครงการ 'ตลาดนัดศิลปะ' ที่จัดอย่างต่อเนื่องมา 2 ปีแล้ว
"วงการศิลปะก็มีช่วงขึ้นๆ ลงๆ การจัดตลาดนัดศิลปะก็ทำให้มีความสนใจและตื่นตัวขึ้นเยอะมาก การจัดที่อิมรินทร์ พลาซ่า ก็มียอดขาย 900,000
กว่าบาท ส่วนในงานโอทอปที่เมืองทองธานี ที่ไปเปิดตลาดนัดศิลปะสัญจรก็ทำยอดขายได้ 1,300,000 บาท คนดูเยอะมาก ยอดขายก็น่าพอใจ ทำให้บรรดา
ศิลปินใจชื้นขึ้นมา ก็คงขยายตัวไปตามหัวเมืองต่างจังหวัดด้วย โดยมีดนตรีเข้ามาด้วยเพื่อเรียกความสนใจ"
แผนที่วางไว้ในปีนี้ก็คือ การจะเปิดตลาดนัดศิลปะ บริเวณหอศิลป์แห่งชาติ ถนนเจ้าฟ้า แล้วลากยาวไปถนนพระอาทิตย์เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาล
สงกรานต์ ซึ่งจะมีความคึกคักเป็นอย่างสูงในย่านนี้
"เราก็มีหน้าที่สร้างสุนทรี รสนิยม ทางด้านศิลปะให้มารับใช้ชีวิตประจำวัน อยากทำให้วงการศิลปะอยู่ในช่วงขาขึ้น ก็จะผลักดันกันให้ถึงที่สุด"
โครงการตลาดนัดศิลปะถาวร ซึ่งจะทำอย่างต่อเนื่องเพื่อจะให้เป็นช่องทางและโอกาสของศิลปินหนุ่มสาวรุ่นใหม่ อภินันท์ บอกว่า กำลังคุยกับกรม
ธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อหาพื้นที่ซึ่งเป็นโกดังถูกทิ้งร้างมาปรับปรุงเป็นพื้นที่ให้กับศิลปินมาบริหารจัดการดูแลกันเอง เป็นความหวังในอนาคตอันใกล้ที่
จะทำให้เหล่าศิลปินได้ชื่นใจ
3 น้องใหม่ไฟแรง 44 โมเดิร์น แอนด์ คอนเทมโพรารี ไทยแลนด์ อาร์ท
ในย่านถนนข้าวสาร ซึ่งไม่ค่อยมีอาร์ต แกลเลอรีที่เป็นทางการเท่าไหร่นัก มีพียงผับกึ่งแกลเลอรีเสียส่วนมาก การเกิดขึ้นของ '44 โมเดิร์น แอนด์
คอนเทมโพรารี ไทยแลนด์ อาร์ต' จึงเป็นที่จับตามองในแวดวงธุรกิจศิลปะเป็นอย่างสูง เพราะรวบรวมแกลเลอรีมาไว้ในพื้นที่เดียวกันถึง 10 แกลเลอรี
ปุณณภา ปริเมธาชัย ผู้จัดการสาว มองว่า จริงๆ แล้ว วงการศิลปะนั้นเฟื่องฟูอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ว่าอยู่ในคนกลุ่มน้อยเฉพาะกลุ่ม ส่วนชาวบ้านคิดว่า
ศิลปะนั้นไกลตัว
"คนที่เลือกซื้องานศิลปะหรือที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับงานศิลปะ จากประสบการณ์ของตัวเองแยกได้เป็น นักเรียนนักศึกษา และจิตรกร จะเป็นผู้เสพชม
ส่วนผู้ซื้อจะเป็นไฮโซ และนักธุรกิจ ตอนนี้มีอาชีพอาร์ต ดีลเลอร์ และอาร์ต คอลเลกเตอร์เข้ามา อยู่มาในวงการ 10 กว่าปี รู้เลยว่า แวดวงศิลปะในบ้านเรานั้น
แคบมาก ปัจจุบันนี้เราได้รับอิทธิพลศิลปะร่วมสมัยจากเมืองนอก ก็เลยมีคลื่นลูกใหม่ คนที่เข้ามาเก็บงานศิลปะเป็นนักธุรกิจที่มีอายุน้อย 30 กว่าๆ ก็มี หรือไม่ก็
เป็นนักเรียนนอกที่มีรสนิยมทางศิลปะแบบทันสมัยได้เริ่มเข้ามา และทำให้ขยายตัว แต่ผู้หญิงจะมีน้อย แปลกที่ผู้หญิงไม่ชอบซื้องานศิลปะ แต่ตอนนี้ก็มีมา
บ้าง"
เธอขยายให้เห็นภาพในทางกว้างมากยิ่งขึ้นว่า งานศิลปะแนวคอนเทมโพรารี (ร่วมสมัย) และสมัยใหม่ในบ้านเรานั้นค่อนข้างหวือหวา ทำให้วง
การมีสีสัน
"ที่เข้ามาสร้างศูนย์รวมแกลเลอรีตรงนี้ เพราะเคยทำงานแบบแกลเลอรีเดี่ยว ก็เห็นการซื้อมาขายไป แต่ไม่ได้ช่วยผลักดันให้วงการศิลปะก้าวไปข้าง
หน้า เพียงอยู่ไปวันๆ ลูกค้ามาซื้อขายงานพูดคุยกันเป็นเรื่องปกติ ทำมาหลายปีมาก พอมาแต่งงานกับศิลปินทำให้ซึมซาบว่า การพรีเซ็นต์งานศิลปะ ถ้าเรารู้ลึกรู้
จริง พลังในการพูด ความจริงใจที่สะท้อนออกมาจากตัวงาน จะส่งผลให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่า ลูกค้าซื้องานไปแล้วจะไม่ผิดหวัง ก็คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแทนที่จะ
นั่งเฉยๆ รอลูกค้ามาซื้อรูป"
ปุณณภา บอกว่า เจ้าของสถานที่คือ วีระยุทธ โชติวิจิตร เคยเป็นลูกค้าซื้องานศิลปะที่แกลเลอรีเก่าของเธอมาก่อน เป็นคนที่สะสมงานศิลปะด้วย มีใจ
รักศิลปะไม่ได้คิดเรื่องธุรกิจเพียงอย่างเดียว ก็เลยมีเป้าหมายเดียวกัน
"ถนนข้าวสารมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ที่เลือกสถานที่ตรงนี้เพราะอยู่ใกล้หอศิลป์แห่งชาติ ถนนเจ้าฟ้า ส่วนที่เลือกอยู่ชั้น 2 ก็เพราะต้องการให้
คนมาชมหรือซื้องานมีสมาธิกับการเสพชมงานศิลปะ ปัญหาที่เจอ ซึ่งชาวต่างชาติบอกมา ก็คือ ไปแกลเลอรีเพื่อชมงานศิลปะเพียงวันเดียวก็เหนื่อยแล้ว เพราะ
แต่ละที่อยู่ไกลมาก รวมทั้งการเดินทางที่จราจรติดขัด สถานที่ตรงนี้รับแขกได้ โปรดักต์หรืองานศิลปะที่นำมาโชว์และขายในแกลเลอรีต่างๆ มีความเข้มแข็ง
เพราะเจ้าของแกลเลอรีเป็นอาร์ต ดีลเลอร์เองด้วย อย่าง ซี.วี.เอ็น. อาร์ต ก็อยู่ในวงการนี้มา 30 กว่าปีแล้ว แอ็ค อาร์ต ก็เก็บรูปมา 20 กว่าปี ที่นี่เป็นที่ใหม่แต่คนทำ
งานไม่ใหม่ มีประสบการณ์และเชื่อว่าจะขับเคลื่อนไปในทางที่ดีและสร้างสรรค์ มีห้องส่วนกลางจัดนิทรรศการหมุนเวียนในแต่ละเดือน ปีนี้จะแสดงงานของ
ศิลปินอาวุโสก่อน"
การเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนถึง 4 ทุ่ม และอาจจะขยายถึงเที่ยงคืน ถ้ามีคนเข้ามาชมอย่างต่อเนื่อง แม้เพิ่งเปิดมาได้เพียง 2 เดือน แต่เธอก็เริ่มเห็น
ประกายของความสำเร็จ
"เป็นเวลาทางเลือกที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของคนเมือง อยากให้เป็นศูนย์รวมและที่พักผ่อนสำหรับคนชอบงานศิลปะ แกลเลอรีที่อยู่ในที่นี่
คุณภาพเต็มร้อย มีหลายคนพูดว่า ที่นี่รวมงานศิลปะที่มีคุณภาพน่าจะอันดับหนึ่งแล้วในกรุงเทพฯ การทำธุรกิจศิลปะเราต้องมีความรัก และจริงใจที่มีให้ต่องาน
ศิลปะ เพราะธุรกิจศิลปะนั้นปราบเซียนมาเยอะแล้ว อย่าคิดว่าเปิดแกลเลอรีแล้วเอารูปมาแขวนแล้วจะขายได้ ต้องมีสัมพันธภาพกับศิลปิน มีเครือข่ายหรือคอน
เนกชัน
"ที่นี่จะอยู่ได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ชม ผู้ชอบงานศิลปะ และศิลปินซึ่งต้องทำงานดีๆ ออกมา เพราะมองว่า การขายไม่ได้ร้ายแรงกับวงการศิลปะ เป็นการ
ช่วยศิลปินโดยตรง ทำให้พวกเขาอยู่รอด ศิลปินบางคนไม่ถนัดที่จะขายรูปเอง ผู้ซื้อบางคนก็ไม่อยากไปหาศิลปินเอง แกลเลอรีก็จะจัดการให้ เราให้เกียรติ
ศิลปินและศิลปะ เพราะการขายศิลปะเป็นเรื่องของอารมณ์ ถ้าทำให้รู้สึกว่า เป็นแค่สินค้ามันก็ไม่มีคุณค่า การให้ค่าอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่ในวิญญาณ ที่นี่ให้
ความสำคัญกับงานศิลปะทุกชิ้น"
สุดท้าย ปุณณภาเปิดใจว่า ถึงแม้เธอจะทำธุรกิจเกี่ยวกับศิลปะโดยตรง แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นก็คือ การขับเคลื่อนในวงการศิลปะที่ไปสู้กับต่าง
ประเทศได้
"เวลาไปร่วมงานศิลปะที่เมืองนอก ไม่ต้องอื่นไกล ไปสิงคโปร์ก็รู้สึกอายมาก ไม่ใช่อายแบบธรรมดา ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า เมืองไทยทำอะไร
อยู่ต้องดูตัวเอง พัฒนาให้ก้าวทันเขา ในเรื่องระบบการบริหารจัดการที่ดีให้เทียบเท่าสากล โดยเฉพาะพยายามให้เกิดการรวมตัวกันของอาร์ต คอลเลกเตอร์ และ
อาร์ต ดีลเลอร์ ให้เป็นกลุ่มก้อนพัฒนาศักยภาพให้มีอำนาจต่อรองในตลาดศิลปะนานาชาติให้ได้"
จากการเจาะลึก 3 สถานที่ซึ่งแสดงให้เห็นโครงสร้างการบริหารภายในของธุรกิจศิลปะผ่านทางแกลเลอรีต่างๆ ทำให้เห็นภาพความพยายามที่จะ
รวมศูนย์ของแกลเลอรี หอศิลป์ รวมถึงสถานที่แสดงงานศิลปะให้เป็นกลุ่มก้อนที่ชัดเจน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเสพชมและสะสมงานศิลปะให้อยู่ในวิถีชีวิต
หรือไลฟ์สไตล์ของคนไทย เพื่อให้มีมาตรฐานสากลเท่ากับระดับนานาชาติ
................ล้อมกรอบ................
ทัศนะคอลัมนิสต์ศิลปะ
ไพศาล ธีรพงษ์วิษณุพร คอลัมนิสต์คอลัมน์ศิลปะ ในนิตยสารสีสัน ได้มองถึงการเกิดขึ้นและความพยายามที่จะสร้างศูนย์กลางรวมแกลเลอรีมาไว้
ในที่เดียวกัน รวมถึงตลาดนัดศิลปะว่า ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ เป็นความการหาทางออกให้งานศิลปะของเหล่าศิลปินรุ่นใหม่ เพราะปัจจุบันแกลเลอรีมีน้อยลงจนน่า
ใจหาย
"เป็นการจุดประกายให้กับคนทำธุรกิจแกลเลอรี ตัวเจ้าของทุนเองก็อยากที่จะขายงานศิลปะแบบขายตรงมากขึ้น รวมถึงเป็นการหาทางออกและ
พื้นที่แสดงงานของศิลปิน การมารวมตัวกันอย่างนี้เป็นเรื่องที่ดี อยากจะให้ไปได้รอด แต่ก็ยังไม่เห็นปัจจัยเกื้อหนุนที่ยั่งยืน มองไม่เห็นอนาคต เพราะ
วัฒนธรรมการเก็บสะสมงานศิลปะในบ้านเรายังไม่มีเพียงพอ และไม่มีเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน คนทำงานศิลปะเยอะขึ้น แต่คนเสพและคนซื้อไม่เพิ่มขึ้นเลย"
แกลเลอรีที่สามารถประกอบกิจการในธุรกิจศิลปะในเมืองไทยยุคปัจจุบัน ไพศาล มองว่า มีวงจรที่สั้นมากแค่ 3-5 ปี ถ้ายังอยู่ได้ก็ถือว่า เก่งมาก
"สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยซึ่งกลายเป็นสังคมบริโภคนิยม วงการศิลปะความเคลื่อนไหวของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป วัฒนธรรมการเสพและ
การสะสมงานศิลปะเทียบกันไม่ได้กับสิงคโปร์ คนชั้นกลางก็ไม่ถือเอาการเสพชมงานศิลปะเป็นการพักผ่อน รวมถึงพื้นฐานของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอ
ศิลป์ของรัฐในส่วนต่างๆ ก็ยังไม่เข้มแข็งพอ ก็ต้องเริ่มต้นในจุดนี้ก่อนเพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมทางด้านศิลปะในสังคมไทย" ไพศาลฝากให้คิด
****************************
เรื่อง - พรเทพ เฮง