ปลาอะไรเอ่ย...สุภาพที่สุด ?
หลายคนอมยิ้มเมื่อได้ยินปัญหาเชาวน์อมตะนี้ ก่อนตอบว่า "ก็ปลาคาร์ปไง" แต่ถ้าจะถามกันจริงๆ แล้ว นอกจากจะรู้ว่าชื่อของมันพ้องกับคำว่า 'ครับ' กับเคยเห็นเจ้าปลาหลากสีพวกนี้แหวกว่ายในบ่อที่มีคนเลี้ยง คนส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้จัก 'ปลาคาร์ป' ลงลึกถึงขั้นจะไปรู้ถึงอุปนิสัยใจคอว่า มันสุภาพจริงๆ อย่างที่ล้อเล่นกันหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ทุกคนรู้ดีกันว่ามันเป็นปลาสวยงามที่ซื้อหากันด้วยราคา 'แพง' ระดับคนซื้อต้องเป็นเศรษฐี หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องมีอันจะกินจนเหลืออิ่ม ถึงจะซื้อเจ้าปลาชื่อสุภาพตัวสวยนี้มาเลี้ยงไว้ดูเล่นได้
*ทำความรู้จัก 'แฟนซีคาร์ป'
ปลาแฟนซีคาร์ป (Fancy carp) หรือที่เรียกกันว่าปลาไนแฟนซี, ปลาไนสี หรือปลาไนทรงเครื่อง เป็นปลาน้ำจืดในกลุ่มปลาตะเพียน (carp) ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า โคย (Koi) หรือ นิชิกิกอย (Nishikigoi) เดิมทีเป็นปลาไนชนิดธรรมดา ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่พบอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก บริเวณที่ถือว่าเป็นแหล่งดั้งเดิมจริงๆ ของปลาไนคือ ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ชาวจีนเป็นชนกลุ่มแรกที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับปลาไนเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว สำหรับประเทศญี่ปุ่น หลักฐานตามประวัติศาสตร์ชิ้นแรกที่มีอยู่เกี่ยวกับ 'โคย' นั้น ได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 200 ปีหลังคริสต์ศตวรรษ หลักฐานดังกล่าวได้เล่าถึงปลาชนิดนี้ว่า มีสีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน ปลาเหล่านี้ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงไว้สำหรับดูเล่น
สำหรับประเทศไทยได้เริ่มมีการเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ปซึ่งนำมาจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2493 จากนั้นก็มีผู้สั่งปลาเข้ามาเลี้ยงกันมากมายในราคาที่ค่อนข้างสูง ได้มีการศึกษา และทดลองเพาะพันธุ์จนประสบความสำเร็จ ยังผลให้การสั่งเข้าปลาแฟนซีคาร์ปลดลง และปลาในประเทศที่มีคุณภาพดีได้รับความนิยมมากขึ้นจนแพร่หลายดังเช่นปัจจุบัน
*แวดวง 'แฟนซีคาร์ป' ระดับอินเตอร์
หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า วงการการเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ปนั้นจะกว้างขวาง และเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศต้นกำเนิดอย่างญี่ปุ่นและแถบเอเชียเท่านั้น ที่สำคัญ 'แฟนซีคาร์ป' ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายบางอย่าง มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ปลาสวยงามอย่างที่ใครๆ นึก
ทรงพล ธรรมบันดาล ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัทเพอร์เฟ็ค ฟาร์ม ซึ่งเคยส่งปลาแฟนซีคาร์ปเข้าร่วมการประกวดปลาคาร์ประดับโลก และได้รับรางวัลจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 2 ปีก่อนนี้ กล่าวว่า เดิมทีกิจกรรมการจัดงานประกวดปลาคาร์ปในญี่ปุ่น เริ่มแรกก็จัดกันเพื่อพบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเลี้ยงปลาระหว่างผู้เลี้ยงปลาคาร์ปทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ต่อมามีนักธุรกิจระดับบริหารและเจ้าของกิจการทุกสาขาอาชีพ ได้สนใจเลี้ยงปลาคาร์ปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนขยายวงกว้างออกไปยังต่างประเทศทั่วโลก
ในปีต่อๆ มา มีผู้เลี้ยงจากทั่วโลกสนใจส่งปลาเข้าประกวดในงานประกวดปลาคาร์ปที่ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนกลายเป็นงานพบปะสังสรรค์ตลอดทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์และชักนำให้ทำธุรกิจใหม่ๆ ระดับโลกมาจนถึงทุกวันนี้ อาทิ งานประกวดปลาคาร์ปที่จัดโดย SHINKOKAI นั้น นับเป็นงานใหญ่ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจกันมากเป็นพิเศษ สังเกตได้จากกลุ่มคนที่เข้าชมงานและส่งปลาเข้าประกวดในแต่ละปี มีจำนวนมากกว่าแสนคน แต่ละคนล้วนมีฐานะร่ำรวยและมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น ทุกคนจะพยายามลงทุนซื้อปลาส่งเข้าประกวดกัน 2-3 ร้อยล้านบาท เพื่อหวังที่จะคว้ารางวัลใดรางวัลหนึ่งในงานนี้ให้ได้
ที่ผ่านมามีกลุ่มผู้เลี้ยงปลาคาร์ปในเมืองไทยเคยส่งปลาเข้าร่วมประกวดในงานนี้เหมือนกัน แต่ไม่สามารถคว้ารางวัลมาได้ เพิ่งมีคนไทยในนาม 'เพอร์เฟ็คฟาร์ม' ซึ่งนับเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาคาร์ปแห่งแรกในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้
ในครั้งนั้น เพอร์เฟ็คฟาร์มส่งปลา Doitsu Kohaku เข้าประกวดในงาน "35 TH All japan koi Show" ประจำปี 2003 จัดโดย Shinkokai ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้รับรางวัลชนะเลิศ Best in Varieties และ Best in Size สองรางวัลซ้อนจนโด่งดังไปทั่วโลก ปัจจุบันเจ้าโคฮากุที่ได้รับรางวัลตัวนั้นเพิ่มขนาดจากความยาว 83 ซม. ขึ้นเป็น 87 ซม. แล้ว
สำหรับประวัติของปลา 'โดยซึ โคฮากุ' ที่สร้างชื่อเสียงให้เพอร์เฟ็คฟาร์ม และวงการปลาคาร์ปของประเทศไทยนั้น ทรงพลและบิดาได้เดินทางไปซื้อถึงฟาร์มมารูโช เมืองนิกาตะ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ผลิตปลาคาร์ปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น จากนั้นเขาได้นำกลับมาเลี้ยงและส่งล่ารางวัลประกวดในเมืองไทยเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเก็บตัวเพื่อเข้าร่วมงานใหญ่ของ Shinkokai จนกระทั่งสร้างเซอร์ไพรซ์ และคว้ารางวัลชนะเลิศกลับเมืองไทยได้ในที่สุด
หลังจากได้รับรางวัลนั้น มีผู้ประเมินราคาปลาให้เขาถึง 5 ล้านบาท แต่ทรงพลไม่ขายเพราะถือว่าปลาตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ฟาร์มของเขามีชื่อเสียง จนกระทั่งภายหลังมีตัวแทนจากประเทศเยอรมนีติดต่อมาให้เขาเพาะพันธุ์ส่งให้ ทำให้สายพันธุ์ปลาแฟนซีคาร์ปจากฟาร์มของทรงพลเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
เจ้าของเพอร์เฟ็คฟาร์ม กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการหลงใหลปลาแฟนซีคาร์ปจนกระทั่งกลายมาเป็นธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้ฟังว่า เริ่มจากการที่บิดาของเขาชื่นชอบในการเลี้ยงปลาคาร์ปและรู้จักกับชาวญี่ปุ่นที่เลี้ยงปลาชนิดนี้ หลังจากนั้นลูกๆ ที่เคยอยู่ไม่ติดบ้านก็เปลี่ยนมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเพื่อดูแลปลา เป็นอาการแบบที่ทรงพลเรียกว่า 'ปลาลิซึ่ม' ชนิดเลิกงานปั๊บก็กลับบ้านปุ๊บ
ปัจจุบันการจัดงานประกวดปลาคาร์ปได้ขยายวงกว้างออกไปจัดกันในหลายประเทศทั่วโลกอย่างเช่นที่มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เยอรมัน, อเมริกา, อังกฤษ ฯลฯ ส่วนในประเทศไทยจัดว่ามีการเจริญเติบโตช้ากว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากคนไทยยังไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญในการส่งปลาเข้าประกวดในงานใหญ่ระดับโลกอย่างจริงจัง ทรงพลกล่าวว่า นอกจากโรคระบาดในปลาที่ทำให้การจัดประกวดแฟนซีคาร์ปในเมืองไทยซบเซาไปช่วงหนึ่ง ยังเป็นเพราะขาดการโปรโมทเท่าที่ควร
"ถ้าวันใดประเทศไทยของเราสนับสนุน จัดให้มีการประกวดปลาแฟนซีคาร์ประดับโลกอย่างเป็นแก่นสาร จะนำเงินตราเข้าสู่ประเทศไทยมหาศาล เพราะนักธุรกิจ เจ้าของกิจการบริษัทจากทั่วโลกจะเดินทางมาร่วมงานนี้ ผมว่านั่นคือโอกาสให้เราเข้าไปคลุกคลีกับกลุ่มผู้บริหารและนักธุรกิจระดับชาติเหล่านั้น เขาจะให้ความสนใจและเชื่อถือ แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำธุรกิจใหญ่โตก็ตาม ผมเองก็เคยได้รับข้อเสนอดีๆ จากการร่วมงานแบบนี้ ที่สำคัญคือเราได้มิตรจากวงการทุกระดับชั้น นักธุรกิจระดับสากลเขาก็พร้อมที่จะทำธุรกิจกับเรา ธุรกิจนี้มันสามารถสร้างสรรค์เส้นทางลัดไปสู่เส้นทางระดับสากลได้" ทรงพลกล่าว เขายังเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่างานประกวดปลาแฟนซีคาร์ป ก็ไม่ต่างจากการเล่นกอล์ฟ ที่ช่วยให้การเจรจาธุรกิจประสบความสำเร็จในระหว่างการออกรอบของเหล่าผู้บริหารมานักต่อนักแล้ว
*วงการ 'แฟนซีคาร์ป' ในไทย
ภายหลังจากที่เกิดโรคระบาด KHB จนทำให้กิจกรรมการจัดประกวดปลาแฟนซีคาร์ปในประเทศไทยห่างหายไปหลายปี ในที่สุดก็วงการปลาคาร์ปในบ้านเราก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหวกันคึกคักให้เห็นบ้างแล้ว อาทิ การจัดงานประกวดปลาคาร์ประดับมาตรฐานสากล ที่จัดโดย THAILAND KOI CLUB เมื่อปีที่แล้ว และเร็วๆ นี้กำลังจะมีงานใหญ่สำหรับผู้ที่เลี้ยงและสนใจปลาแฟนซีคาร์ปอีกครั้งที่จังหวัดเชียงใหม่ ในชื่องานว่า "Koi Summit Chiang Mai" และ "Chiang Mai Jumbo Koi Show # 4"
วีรศักดิ์ โสตถิพันธุ์กุล ผู้จัดงานกล่าวถึงงานครั้งนี้ว่า เป็นความร่วมมือของ Chiang Mai Nishikigoi Club (C.N.C) และ Koi Fan Club (KFC) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของแกนนำกลุ่มผู้เลี้ยงปลาคาร์ปในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้วงการปลาคาร์ปบ้านเราซบเซา ไม่มีการจัดประกวดมา 7-8 ปีแล้ว แต่ช่วงหลังเริ่มมีฟาร์มที่นำเข้าและเพาะเลี้ยงปลาคาร์ปเกิดขึ้นหลายแห่ง เริ่มมีการจัดประกวดบ้างทั้งที่เชียงใหม่และกรุงเทพ สถานการณ์จึงเริ่มดีขึ้น
"การจัดประกวดขึ้นมาผมว่ามันก็น่าจะส่งเสริมวงการปลาคาร์ป ให้คนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องปลาคาร์ปดีขึ้น มีคนเลี้ยงกันมากขึ้น มันก็น่าจะทำให้วงการดีขึ้น และยังเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะถึงงานวันประมงน้อมเกล้าในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ด้วย"
สาเหตุที่เลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นสถานที่จัดงานคราวนี้นั้น เป็นเพราะมีความพร้อมและสะดวกมากกว่า วีรศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้เชียงใหม่เป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งตามปกติแล้วปลาคาร์ปก็ชอบอากาศหนาว และยังเป็นจังหวะดีที่มีงานไม้ดอกไม้ประดับพอดี ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ที่เชียงใหม่ยังนับเป็นแหล่งเลี้ยงปลาคาร์ปที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากกรุงเทพฯ โดยมีบ่อปลาคาร์ปขนาดใหญ่ 100-200 ตัน จำนวนหลายแห่ง
ในการประกวดจะแบ่งประเภทของปลาแฟนซีคาร์ปออกเป็น 5 ประเภท คือ โคฮากุ (KOHAKU), ไทโช-ซันโชกุ (TAISHO-SANKE), โชวา-ซันโชกุ (SHOWA-SANSHOKU), Variety A (Shiro Utsuri, Shiro Bekko, Tancho, Koromo, Goshigi) และ Variety B (Hikari, Asaki Shusui, Kawarimono)
วีรศักดิ์ชี้แจงว่า งานนี้จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประกวดเนื่องมาจากสาเหตุโรคระบาด โดยจะเปลี่ยนจากเดิมที่จัดปลาประเภทเดียวกันลงบ่อเดียวกัน มาเป็นแยกบ่อใครบ่อมัน เพื่อป้องกันโรคระบาด และจัดประกวดเพียงแค่ 2 ไซส์ใหญ่ที่สุดคือ ขนาด 70 ซม.ขึ้นไป และขนาด 80 ซม.ขึ้นไป ซึ่งปลาคาร์ปขนาดนี้ในประเทศไทยยังมีไม่มาก
รางวัลการประกวดปลาแฟนซีคาร์ป มีทั้งหมด 8 รางวัล ได้แก่ Grand Champion, Superior Champion, Jumbo Prize, Best in Over 70 cm., Best in Over 80 cm., 1st Prize (10 รางวัล), 2nd Prize (10 รางวัล) และ 3rd Prize (10 รางวัล) ผู้ที่สนใจอยากร่วมชม และอยากรู้จักปลาคาร์ปมากขึ้น ไม่ควรพลาดงานการประกวดปลาแฟนซีคาร์ป ในงาน "Koi Summit Chiang Mai" และ "Chiang Mai Jumbo Koi Show # 4" ระหว่างวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ 2549 ณ สนามกลางแจ้ง อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว
แต่ใช่ว่า คนเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์ปในบ้านเราทุกคน จะเน้นเลี้ยงเพื่อหวังส่งเข้าประกวด เช่น วัชระ หวลภิรมย์ บัณฑิตศิลปะจากรั้วศิลปากร ผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของปลาชนิดนี้ จนเริ่มเลี้ยงได้กว่า 40 ตัวแล้ว วัชระออกตัวว่า ปลาของเขาไม่ใช่ปลาราคาแพง แต่ที่ชอบเลี้ยงก็เพราะประทับใจในสีสันลวดลายบนตัวปลาที่แตกต่างกัน เป็นดั่งจิตรกรรมมีชีวิตที่ธรรมชาติเป็นผู้สรรค์สร้าง เวลาพักจากการวาดภาพมานั่งมองปลา เขาก็รู้สึกผ่อนคลาย และยังได้แรงบันดาลใจไปใช้ทำงานต่อไป
ปลาแฟนซีคาร์ปจึงไม่ได้มีดีแค่ความสวยงามภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ประโยชน์ต่อผู้เลี้ยงต่างกันไปแล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคล
********************
การเรียกชื่อปลาแบบญี่ปุ่น
ปัจจุบันการเรียกชื่อปลาแฟนซีคาร์ปตามสายพันธุ์ อาศัยการดูลักษณะและรูปร่างแถบสีของปลาเป็นหลัก ชาวญี่ปุ่นเป็นผู้กำหนดการเรียกชื่อของปลานี้โดยแบ่งออกเป็น 13 กลุ่ม ตามลักษณะดังต่อไปนี้
+ โคฮากุ (KOHAKU) 'โค' แปลว่า แดง 'ฮากุ' แปลว่า ขาว โคฮากุ คือปลาที่มีสีแดงกับสีขาว ปลาที่ดีสายพันธุ์นี้จะต้องเป็นสีขาวสะอาดเหมือนสีหิมะซึ่งจะตัดกับสีแดงซึ่งอยู่ในรูปแบบที่ดีอย่างเด่นชัด
+ ไทโช-ซันโชกุ (TAISHO-SANSHOKU) จักรพรรดิไทโช บิดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน คือเริ่มประมาณ ค.ศ. 1912 'ซันโชกุ' แปลว่า 3 สี ปลาคาร์ปพวกนี้พื้นลำตัวเป็นสีขาว แต่มีลวดลายหรือจุดแต้มสีแดงหรือ สีดำที่เด่นชัด ส่วนสีขาวก็เป็นสีเหมือนหิมะและที่ครีบหูจะต้องเป็นสีขาวด้วย
+ โชวา-ซันโชกุ (SHOWA-SANSHOKU) 'โชวา' หมายถึง ยุคหนึ่งในสมัยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันครองราชย์ เริ่มประมาณ ค.ศ. 1927 'ซันโชกุ' แปลว่า 3 สี ปลาคาร์ปกลุ่มนี้มีพื้นลำตัวเป็นสีดำ แต่มีลวดลายหรือจุดแต้มเป็นสีขาวและสีแดง ที่ครีบหูจะต้องมีจุดสีดำ
+ อุทซึริ-โมโน (UTSURI-MONO) "อุทซึริ" หมายถึง สีดำที่เป็นลายแถบคาดคลุมจากหลังลงมาถึงส่วนท้องด้านล่างบนพื้นสีอื่น ๆ ปลาที่รู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่น ชิโร-อุทซึริ (Shiro-Utsuri),ฮิ-อุทซึริ (Hi-Utsuri), คิ-อุทซึริ (Ki-Utsuri)
+ เบคโกะ (BEKKO) 'เบคโกะ' แปลว่า กระ ปลากลุ่มนี้มีสีขาว แดง หรือเหลือง มีลวดลายเป็นสีดำ มีลักษณะเหมือนที่พบบนกระดองเต่า คือ สีดำเป็นดอก ๆ บนลำตัว ปลาที่รู้จักกันดีในกลุ่มนี้ เช่น ชิโร-เบคโกะ (Shiro-Bekko), ฮิ-เบคโกะ (Hi-Bekko) , คิ-เบคโกะ (Ki-Bekko) เป็นต้น
+ อาซากิ,ชูซุย (ASAGI, SHUSUI) 'อาซากิ' แปลว่า สีฟ้าอ่อน ส่วนบนของลำตัวปลาเป็นสีฟ้าหรือสีเทา แต่มีลวดลายคล้ายร่างแหหรือตาข่ายคลุม 'ชูซุย' หมายถึง ปลาแฟนซีคาร์ปพันธุ์เยอรมัน (โดยซึ) ที่มีเกล็ดสีน้ำเงินบนแนวสันหลัง
+ โคโรโมะ (KOROMO) 'โคโรโมะ' แปลว่า เสื้อคลุม โคโรโมะ หมายถึง ปลาซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างกลุ่มสีโคฮากุ กับกลุ่มสีอาซากิ หรือกลุ่มสีซันโกกุ กับกลุ่มสีอาซากิ สายพันธุ์ที่เกิดใหม่และรู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่น อะ-โคโรโมะ (Ai-goromo), ซูมิ-โคโรโมะ (Sumi-goromo) เป็นต้น
+ ฮิการิ-มูจิโมโน หรือโอกอน (HIKARI-MUJIMONO OR OGON) 'ฮิการิ' แปลว่า แสงรัศมี 'มูจิโมโน' แปลว่า ชนิดที่มีสีเดียวกันล้วน ๆ หมายถึงปลาที่มีสีเดียวกันตลอดตัว 'โอกอน' เป็นปลาที่มีสีเหลืองทอง Platinum-Ogon เป็นปลาสีเหลืองมีประกายเหมือนทองคำขาว, Orange-Ogon เป็นปลาสีเหลืองมีประกายสีส้ม เป็นต้น
+ ฮิการิ-โมโยโมโน (HIKARI-MOYOMONO) 'ฮิการิ' แปลว่า แสงรัศมี 'โมโยโมโน' แปลว่า ชนิดที่ผสม รวมความแปลว่าชนิดที่มีเกล็ดสีเงินสีทองเป็นแสงรัศมี เป็นลูกผสมระหว่างปลาโอกอน กับปลาในกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปลากลุ่มอุทซึริ ปลาที่รู้จักกันดีในกลุ่มนี้เช่นยามาบูกิ-ฮาริวากี (Yamabuki-Hariwake), คูจากุ (Kujaku) เป็นต้น
+ ฮิการิ- อุทซึริโมโน (HIKARI-UTSURIMONO) เป็นการผสมพันธุ์ปลาระหว่างอุทซึริ กับโอกอน ได้ลูกปลาสีพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีสีทองหรือสีเงินแทรกอยู่ เช่น สีของพันธุ์โชวาที่มีสีทองคำขาวแทรกอยู่ (Gin-Showa) สีของพันธุ์อุทซึริที่มีสีทองแทรกอยู่ (Kin-Ki-Utsuri) เป็นต้น
+ คาวาริโมโน (KAWARIMONO) 'คาวาริ' แปลว่า เปลี่ยนแปลงนอกคอก ไม่เหมือนใคร 'โมโน' แปลว่า ชนิดรวมความแปลว่า ชนิดที่สีไม่เหมือนใคร เช่น ปลาสีดำ (Karasugoi) สีชา (Chagoi), สีเขียว (Midorigoi)
+ คินกินริน (KINGINRIN) 'คิน' แปลว่า ทอง 'กิน' แปลว่า เงิน 'ริน' แปลว่า เกล็ด รวมความแปลว่า ปลาที่มีเกล็ดทอง เกล็ดเงิน หมายถึงปลาที่มีเกล็ดสีเงินสะท้อนแสงแวววาวเป็นลายเส้นขนานตามแนวยาวของสันหลัง เช่น ปลาพันธุ์โคฮากุที่มีเกล็ดเงิน (Kinginrin-Kohaku) ปลาพันธุ์เบคโกะที่มีสีเงิน (Kinginrin Bekko) เป็นต้น
+ ตันโจ (TANCHO) 'ตันโจ' แปลว่า หงอนแดงของหัวไก่ หมายถึงปลาที่มีสีแดงลักษณะกลมที่หัว ส่วนลำตัวจะมีสีขาวหรือสีอื่นก็ได้ เช่น ตันโจ-โคฮากุ (Tancho Kohaku), ตันโจ-โชวา (Tancho-Showa) เป็นต้น
จากการตั้งชื่อกลุ่มปลาดังกล่าวข้างต้น จะสังเกตได้ว่าการเรียกชื่อถือรากศัพท์ของสี, สถานที่, ชื่อรัชสมัย ฯลฯ ในประเทศญี่ปุ่นมาเป็นคำเรียก ดังนั้นในการเรียกชื่อปลาแต่ละตัว ซึ่งมีลักษณะรวมในกลุ่มเดียว หรือหลายกลุ่มปนกันจึงสามารถนำชื่อกลุ่มเรียงต่อกัน หรือจะตั้งเป็นชื่อใหม่ก็ได้
แต่ถ้าหากจำแนกตามประเภทของปลาที่ส่งเข้าประกวดตามมาตรฐาน ZNA แล้ว สามารถแบ่งปลาแฟนซีคาร์ปออกเป็น 15 สายพันธุ์ด้วยกัน โดยมีปลาสายพันธุ์ Goshiki ซึ่งเดิมถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มปลา Kawarimono และปลาสายพันธุ์ Shusui ซึ่งเดิมถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มปลาสายพันธุ์ Asagi ได้ถูกแยกประเภทเพิ่มออกมาเป็นสายพันธุ์หลักในการเข้าประกวดไปแล้ว
*ขอบคุณข้อมูลจาก ฝ่ายสื่อสารการตลาด อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว, นิตยสาร "Best Koi" และเพอร์เฟ็ค ฟาร์ม
เรื่อง รัชตวดี จิตดี