xs
xsm
sm
md
lg

"ไทยลีก" VS "โปรลีก" วิถีต่างบนจุดหมายเดียวกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 เหล่านักเตะจากทีมนครปฐม
บรรยากาศวงการลูกหนังไทยคงไม่มียุคไหนจะมีความคึกคักแข่งขันกันทำงานเท่ากับยุคสมัยที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาชื่อ ประชา มาลีนนท์ และมีรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องการกีฬาที่ชื่อ สุวัจน์ ลิปตพัลลภอีกแล้ว เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ในการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้กลายเป็นอาชีพ ท้ายที่สุดบทสรุปอย่างเป็นรูปธรรมของฟุตบอลอาชีพไทยคือการแบ่งทัวร์นาเมนต์การแข่งขันฟุตบอลในประเทศออกเป็นสองลีก

ฝ่ายหนึ่งคือไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และคณะกรรมการพัฒนาฟุตบอลแห่งชาติ ภายใต้การกำกับดูแลของนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ที่ปรึกษาของรองฯสุวัจน์ ในขณะที่อีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลอาชีพในเมืองไทยคือไทยแลนด์ โปรเฟสชั่นนัล ลีก รายการที่พัฒนามาจากโปรวินเชี่ยล ลีก กลับมาเกิดใหม่ภายใต้การสนับสนุนของการกีฬาแห่งประเทศไทยและ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภายใต้การกำกับดูแลของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เลขาฯคู่บารมีของรัฐมนตรีประชา มาลีนนท์

การแข่งขันไทยแลนด์ โปรเฟสชั่นนัล ลีก หรือ ที่เรียกสั้นๆว่า "โปรลีก" ฤดูกาล 2549/2006 นั้นได้เริ่มการแข่งขันไปแล้วเมื่อวันที่ 14 มกราคม 49 ภายใต้การประสานงานของผู้กว้างขวางในวงการกีฬาที่ชื่อ ถิรชัย วุฒิธรรม ซึ่งเงินรางวัลรวมของการแข่งขันรายการนี้สูงถึง 23,600,000 บาท ในขณะที่ไทยแลนด์พรีเมียร์ ลีกหรือที่เรียกสั้นๆว่า "ไทยลีก" จะเริ่มต้นขึ้นในวันเสาร์ที่ 28 มกราคมนี้โดยมีนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์และสมาคมฟุตบอลไทยให้ความสนับสนุน โดย "ไทยลีก" มีเงินรางวัลสำหรับทีมชนะเลิศอยู่ที่ 10 ล้าน เงินรางวัลรวมอยู่ที่ 19 ล้านบาท

เมื่อมีลีกฟุตบอลอาชีพถึงสองลีกถูกจัดขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เงินรางวัลสูสีกัน แฟนลูกหนังชาวไทยที่อยากเห็นฟุตบอลไทยพัฒนาเป็นลีกอาชีพที่ได้มาตรฐานอย่างประเทศเพื่อนบ้าน และสามารถพัฒนาไปสู่การแข่งขันในระดับโลกได้ ต่างแสดงความกังขาว่าทำไมทั้งสองลีกไม่รวมตัวเป็นหนึ่งและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทำไมผู้ใหญ่ที่กำกับดูแลถึงชอบกินเกาเหลากันนัก บรรทัดต่อจากนี้ คือความในใจ และ เป้าหมายของที่ผู้ดูแลจัดการแข่งขันทั้ง "ไทยลีก" และ"โปรลีก" ที่วันนี้ทีมข่าวกีฬาได้เปิดพื้นที่ให้ทั้งสองฝ่ายได้ระบายอย่างตรงไปตรงมาในหน้ากระดาษของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 

ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ "เวลา 4 ปี"
จะทำให้ฟุตบอลอาชีพเกิดขึ้นในเมืองไทย


วงการกีฬาไทยถ้าพูดถึงชื่อ "บิ๊กแน็ต" หรือ ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ คงไม่มีใครที่ไม่คุ้นเคย จากผลงานที่ให้ความสนับสนุนสมาคมสนุกเกอร์แห่งประเทศไทยจนประสบความสำเร็จได้ในการแข่งขันระดับซีเกมส์ และ เอเชี่ยนเกมส์ เส้นทางของผู้ชายที่ชื่อ ชัยภักดิ์ ได้ก้าวต่อเนื่องไปยังลอนเทนนิสสมาคม และทำให้การแข่งขันเทนนิสในเมืองไทยรายการ ไทยแลนด์โอเพ่น กลายเป็นทัวร์นาเม้นท์ ในระดับเอทีพีทัวร์ ที่มีนักเทนนิสหมายเลขหนึ่งของโลกมาร่วมการแข่งขันส่งผลให้คนไทยหันมาให้ความสนใจการแข่งขันกีฬาในประเทศเพิ่มมากขึ้น

ด้วยผลงานที่โดดเด่นเมื่อ ชัยภักดิ์ ก้าวเข้าสู่วงการลูกหนัง หลายคนจึงจับตามองว่าผู้ชายที่โลดแล่นอยู่ในวงการกีฬามาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง จะสร้างปรากฏการณ์ให้ฟุตบอลไทยกลายเป็นฟุตบอลอาชีพได้จริงหรือ? ในฐานะประธานอำนวยการจัดการแข่งขันไทยแลนด์พรีเมียร์ ลีกซึ่งมีอายุการทำงานรวมทั้งสิ้น 4 ปี "บิ๊กแน็ต" เปิดห้องทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลเผยความในใจถึงหน้าที่และความรับผิดชอบต่องานใหญ่ที่หลายคนไม่อยากจับว่า

"สำหรับความพร้อมของไทยลีก ณ ปัจจุบันทุกอย่างก็เดินหน้าไปได้ด้วยดีโดยมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 12 ทีมโดยจะลงสนามนัดแรกในวันที่ 28 มกราคม 49 ทางคณะกรรมการหวังให้ "ไทยลีก" เป็นลีกกึ่งอาชีพที่จะพัฒนาเป็นอาชีพแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ภายในสี่ปี โดยการแข่งขันรายการนี้ขึ้นตรงกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กับเอเอฟซี และ ฟีฟ่า เป็นลีกกึ่งอาชีพของประเทศไทยลีกเดียวที่เขาให้สิทธิสโมสรอาชีพในเอเชียไปเตะในระดับเอเอฟซี ที่เรียกว่าเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก"

แต่ก่อนที่จะมี 12 สโมสรใน "ไทยลีก" โดยนายชัยภักดิ์ เปิดเผยเบื้องหลังการทำงานในครั้งนี้ และการเตรียมความพร้อมให้กับทุกทีมว่า "สำหรับปีนี้ทางรัฐบาลให้เงินสนับสนุนเพื่อจัดการแข่งขันตามแผนพัฒนาฟุตบอลแห่งชาติทำให้แต่ละทีมจะมีเงินสนับสนุนทีมละ 5 แสนบาทในขณะที่เงินรางวัลรวมของรายการนี้มีตัวเลขอยู่ที่ 19 ล้านบาทแชมป์ได้ 10 ล้านบาทจากเดิมอยู่ที่ 5 ล้านบาท และในปีนี้เป็นปีแรกที่ต้องมีการแข่งขันแบบเหย้าเยือน และทุกทีมต้องมีสนามเป็นของตนเองจากแต่ก่อนที่ต้องใช้สนามกลาง เพื่อให้การแข่งขันกระจายไปตามต่างจังหวัด ตอนนี้ไกลสุดก็จะเป็นสุพรรณ ชลบุรี อยุธยา ก็จะแข่งตามความเป็นจริงของทีม และบางทีมที่อยู่ในกรุงเทพฯ เราก็พยายามจะจับคู่ให้"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง มาตรฐานในการจัดการแข่งขันฟุตบอลกึ่งอาชีพในครั้งนี้ว่าจะวางให้เทียบเคียงกับลีกใด นายชัยภักดิ์ กล่าวว่า "ทางคณะกรรมการฯต้องการให้ "ไทยลีก" มีมาตรฐานเดียวกันกับ เอสลีก ของสิงค์โปร์ หรือ วีลีก ของ เวียดนาม ต้องบอกว่าเราพยายามทำเป็นขั้นเป็นตอน ปีนี้เป็นปีของการเริ่มต้นซึ่งผู้เกี่ยวข้องก็จะเหนื่อยกันมาก แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ทำให้ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกเป็นลีกสูงสุดจริงๆและผมต้องการให้คนไทยทุกคนก็จะเป็นเจ้าของลีกนี้ด้วยกัน ในขณะที่สโมสรหนึ่งในหกก็อาจจะจัดในรูปแบบบริษัทมีผู้ถือหุ้นมีสัญญาจากสมาคมฟุตบอล 5-10 ปีในการที่จะเป็นคนทำแล้วก็จะดำเนินงานไปตามระบบ

สำหรับการแข่งขันปีหน้า งบประมาณสนับสนุนที่อยู่ในยุทธ์ศาสตร์ 4 ปีได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งเงินรางวัลจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 25 ล้านบาทแต่อายุของกองทุนฯนี้และคณะกรรมการพัฒนาฟุตบอลแห่งชาติจะมีอายุ 4 ปี ดังนั้นฟุตบอลอาชีพต้องโตให้ได้ เราต้องจัดให้เข้าระบบสากลให้ได้ ซึ่งผมในฐานะที่เป็นประธานจัดการแข่งขันเชื่อว่าเวลา 4 ปีเพียงพอที่จะทำให้การแข่งขันฟุตบอลอาชีพในไทยมีขึ้นได้"

แม้ว่าจะมีความพยายามที่จะสร้างให้มีลีกฟุตบอลอาชีพเกิดขึ้นในเมืองไทย แต่แฟนลูกหนังชาวไทยเกือบร้อยละ 90 ชื่นชอบและชื่นชมการแข่งขันฟุตบอลในต่างประเทศมากกว่าแน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวต้องมีผลกระทบต่อจำนวนผู้เข้าชมในสนาม ซึ่ง นายชัยภักดิ์ เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า

"เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาที่สำคัญเมืองไทยยังไม่มีแฟนคลับนักกีฬาจริงๆ ต่างจากกีฬาที่ได้รับความนิยมมากกว่าอย่าง เทนนิส หรือ กอล์ฟ แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีบ้างแล้ว ถ้าวันไหนบีอีซี เทโร เอาลีซอ ลงสนาม ก็อาจจะเริ่มมีแฟนคลับ อย่างเทนนิสเมื่อก่อนไม่มีคนดู แต่พอภราดร ดัง ก็มีคนเข้ามาดูเพิ่มมากขึ้น"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามสถานะของ "โปรลีก" ณ เวลานี้ในสายตาของประธานคณะกรรมการพัฒนาฟุตบอลแห่งชาติ นายชัยภักดิ์ กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเราเคยเปิดโอกาสให้ทีมในโปรลีก หรือ โปรวินเชี่ยล ลีกเดิมได้พัฒนาฝีเท้าเพื่อเป็นหนึ่งใน 12 ทีมแต่หลังจากไม่สามารถตกลงกันได้ทำให้ทั้ง ไทยลีก และ โปรลีก ต้องต่างคนต่างจัดทั้งที่ความตั้งใจของ คณะกรรมการ และสมาคมฟุตบอลต้องการให้ โปรวินเชี่ยล ลีกไว้เหมือนเดิมเพื่อเป็นตลาดของนักฟุตบอลหน้าใหม่ให้กับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพวกเขาได้รับคัดเลือกให้เล่นในลีกสูงสุดของประเทศจากค่าเหนื่อยที่ได้รับก็จะเพิ่มมากขึ้น โอกาสในการได้ลงทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติก็เพิ่มมากขึ้น

แต่เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อการแข่งขันจาก โปรวินเชี่ยล ลีก มาเป็นโปรเฟนชั่นนัล ลีก มีแนวความคิดที่จะตั้งสมาคมฟุตบอลฯขึ้นมาแข่งขันกันทำให้สภากรรมการและผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลฯไม่สบายใจ ผมก็ต้องปล่อยให้ทางผู้จัดการแข่งขันใน โปรลีก ดำเนินการกันเองไม่สามารถนำพวกเขามารวมกับลีกสูงสุดของประเทศได้

ปัญหาในขณะนี้มันไม่มีเรื่องอื่นเลย นอกจากชื่อของการแข่งขันแต่เดิมที่ชื่อ โปรวินเชี่ยล ลีก ซึ่งนำเอางบประมาณการจัดแข่งขันฟุตบอลอาชีพมาใช้จำนวน 28 ล้านมากกว่า "ไทยลีก" ซึ่งเป็นลีกอาชีพจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการแข่งขันฟุตบอลที่เป็นทัวร์นาเมนต์ คณะกรรมการจัดการแข่งขันของโปรลีกต้องทำหนังสือขอกับทางสมาคมฯ ปัญหาก็เกิดขึ้นตรงนี้เพราะโปรลีกเดิมมีชื่อว่า โปรวินเชี่ยล ลีก ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็น โปรเฟสชั่นนัล ลีก ซึ่งความหมายก็เท่ากับว่าในเวลานี้เมืองไทยจะมีลีกอาชีพถึงสองลีก คุณวรวีร์(วรวีร์ มะกูดี) ซึ่งเป็นบอร์ดฟีฟ่าก็ติงมาว่าอย่างนี้ทางฟีฟ่าต้องตำหนิมาอย่างแน่นอน เพราะลีกหนึ่งคือไทยแลนด์พรีเมียร์ ลีก ซึ่งเป็นลีกอาชีพ อีกหนึ่งลีก คือ โปรเฟสชั่นนัลลีก ก็จะเป็นลีกอาชีพเช่นกัน

เมื่อมีความสับสนเกิดขึ้นปัญหาก็ตามมาทางสมาคมฯก็ไม่รับรองการแข่งขัน "โปรลีก" ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากจะช่วยรับรอง ที่นี้ก็เลยกลายเป็นฟุตบอลเถื่อนเพราะ กกท. ไม่ได้มีอำนาจเหนือองค์กรกีฬา หรือ รัฐบาลก็ไม่มีอำนาจเหนือองค์กรกีฬา และในทุกประเทศ องค์กรกีฬานั้นปราศจากการเมือง พอมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวก็จะถูกระดับนานาชาติบอยคอต ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวงการบาสเกตบอลในฟิลิปปินส์ เมื่อครั้งแข่งขันซีเกมส์

จริงๆแล้วผมก็เสียดายเด็กที่อยู่ในโปรวินเชี่ยล ลีก เพราะบางคนมีโอกาสจะเติบโตได้ เมื่อไปเตะบอลที่สมาคมไม่รับรองนั้น คนที่จะซวยก็คือเด็กนักฟุตบอล ถ้าสมาคมรับรองทัวร์นาเมนต์ การจะไปดึงเด็กพวกนี้มาเล่นทีมชาติก็ทำได้ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็มีปัญหา เพราะกติกาสากลนั้นการแข่งขันที่ไม่ได้รับการยอมรับจากองค์กรอย่างเป็นทางการ ก็จะถูกบอยคอต นี่เป็นกติกาสากล"

ความขัดแย้งดังกล่าวดูเหมือนจะยังพอมีจะประสานกลับคืนกันได้ ซึ่งนายชัยภักดิ์ เองก็กล่าวในฐานะของคนทำงานว่า "คือต้องเรียนให้ทราบว่าไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน แต่เป็นการไม่เห็นด้วยระหว่างองค์กร เพราะสมาคมฟุตบอลฯตั้งมาจนถึงวันนี้จะเข้าปีที่ 90 อยู่แล้ว ที่สำคัญองค์กรนี้เป็นองค์กรที่มีความภูมิใจในเกียรติยศของตนเอง คนในสภากรรมการฟุตบอลไม่ใช่คนพูดยากเลย เพียงแต่ต้องมีความเคารพกัน ไม่ใช่พูดจาท้าทาย ผมบอกตรงนี้เลยว่าการทำงานในสมาคมฟุตบอลนั้นเป็นระบบมากและพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ ถ้าในอนาคตมีการเปิดใจมากขึ้น ก็ไม่แน่ว่าอาจมีการแข่งขันกันระหว่างทีมในไทยลีกและโปรลีกเพื่อชิงถ้วยกันก็ได้"

อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
"ไม่มีใครอยากทำให้วงการฟุตบอลตกต่ำ"

จากทำเนียบรัฐบาล ทีมข่าวกีฬาผู้จัดการรายวันเดินทางมาถึงห้องทำงานของ เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบนถนนราชดำเนินนอก เพื่อพบกับ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีตนักร้องชื่อดังที่ผันตัวมาทางสายการเมือง แม้ว่าบนถนนสายนี้ของเขาต้องเดินแบบ "เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง" แต่ "พี่กี้ร์" หรือท่านกี้ร์ ในวันนี้ได้ถูกสปอตไลต์ของวงการกีฬาฉายจับแทบจะทุกฝีก้าว ทันทีที่ขอเอาตำแหน่งทางการเมืองเป็นเดิมพันหากปลุกฟุตบอลอาชีพให้เกิดขึ้นในเมืองไทยไม่ได้

หลังจากการแข่งขัน "โปรลีก" เริ่มต้นมาได้สองสัปดาห์ วันอังคารที่ 24 มกราคม 49 เป็นวันแรกที่อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ขยับตัวคุยกับสื่อหลังจากมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนในวงการออกมาปรามถึงลีลาเผ็ดร้อนก่อนหน้านี้ให้เบาๆลงบ้าง เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลตอบรับที่ผ่านมาช่วงสองสัปดาห์ อริสมันต์กล่าวว่า

"หลังจากผ่านมาแล้วสองสัปดาห์กระแสการตอบรับจากประชาชนก็ดีขึ้น ตั้งแต่เริ่มต้นทุกจังหวัดก็ให้ความสนับสนุนอยู่แล้ว นอกจากนี้แฟนบอลในบางจังหวัดก็ให้การตอบรับเกินคาด อย่างที่จังหวัดนราธิวาสยอมรับว่าเป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย ได้รับรายงานว่า 25,000 – 28,000 คนที่เข้ามาชมการแข่งขันนอกจากนี้ก็ได้รับรายงานว่าที่สตูลก็มีแฟนบอลเยอะมากเช่นกัน"

แน่นอนว่าความนิยมชนิดที่ถ้าเทียบเป็นยอดจำหน่ายเทปแล้วเกินความคาดหมาย แสดงว่า "โปรลีก" ต้องมีทีเด็ดหรือจุดเด่นที่แอบซ่อนเอาไว้ ซึ่งอริสมันต์ เผยว่า "จุดเด่นของรายการนี้คือการก้าวเข้าสู่เวทีระดับชาติของคนต่างจังหวัด เราจะสังเกตได้ว่าทีมอย่างนครสวรรค์ นครปฐม เชียงใหม่ ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา จันทบุรี จนไปถึงสุราษฎร์ธานี สตูล หรือ นราธิวาส ทีมเหล่านี้ไม่มีโอกาส แต่ในวันนี้โปรลีกได้เปิดโอกาสให้พวกเขาก้าวไปสู่เวทีระดับชาติ มันเป็นการจุดกระแสของคนที่รักท้องถิ่นอยู่แล้ว วัดได้จากจำนวนผู้ชมที่มากเกินความคาดหมายเกือบทุกสนาม สำหรับกรุงเทพฯก็มีจำนวนน่าพอใจ แต่ยังไม่เพียงพอส่วนหนึ่งเป็นเพราะสนามอาจจะไกลเกินไป คงต้องย้ายมาจัดสนามกลางเมืองซึ่งทางเราอาจจะขอใช้สนามไปที่ดินแดง หรือ ที่สนามเทพหัสดิน"

หลังดีใจกับการตอบรับของแฟนบอล ผู้สื่อข่าวจึงถามความรู้สึกลึกๆของ อริสมันต์ ที่การแข่งขันฟุตบอลรายการนี้โอกาสของนักฟุตบอลในโปรลีกไปสู่ทีมชาตินั้นมีน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย เนื่องจากสมาคมไม่ยอมรับผลการแข่งขัน ถึงตรงนี้คำตอบจากตัวแทนกระทรวงที่ต้องเข้ามากำกับดูแลได้กล่าวว่า

"เราต้องพูดกันตรงๆว่า การคัดเลือกนักฟุตบอลในโปรลีกติดทีมชาติหรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของสมาคมฟุตบอลฯ ถ้าเขาเห็นว่าทางเรายังไม่เข้าขั้นเขาจะเลือกหรือไม่เลือกก็คงแล้วแต่เขา แต่เรื่องของการรับรองผลคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเราถือว่าจัดการแข่งขันภายในประเทศและคณะทำงานก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะให้โปรลีก ก้าวไปสู่ระดับเอเชียหรือระดับนานาชาติ

เป้าหมายอันแท้จริงของเราคือพัฒนากีฬาฟุตบอลในประเทศให้เข้มแข็ง เช่น ทีมของจังหวัดใดสามารถซื้อตัวนักกีฬาจากต่างประเทศเข้ามาร่วมทีมได้ เช่นนครสวรรค์ หรือ นครปฐม นั่นก็หมายความว่านักฟุตบอลต่างชาติที่ทีมเหล่านั้นซื้อมาคือส่วนที่ช่วยสร้างสีสันในขณะเดียวกันสโมสรต่างๆก็ได้ทักษะของนักเตะจากต่างประเทศมาเสริมทักษะให้กับนักฟุตบอลไทยที่อยู่ในทีม ถึงเวลานี้มีหลายสโมสรได้ติดต่อสโมสรทางยุโรปตะวันออก เพื่อหานักฟุตบอลเข้ามาร่วมทีมซึ่งผมเชื่อว่าการแข่งขันต่อจากนี้จะสนุกยิ่งขึ้น

"ในส่วนของเงินสนับสนุนแต่ละทีมที่กระทรวงฯให้ในเวลานี้อยู่ที่ทีมละ 5 แสนบาทในอนาคตก็คงต้องดูว่า 5 แสนบาทพอหรือไม่ อาจเพิ่มให้เป็นทีมละ 2 ล้านบาทซึ่งทางกระทรวงฯ ก็จะยังคงสนับสนุนงบประมาณตรงนี้ ขณะที่เงินรางวัลว่าคงต้องดูกันต่อไปว่าน้อยเกินไปหรือไม่อาจมีการเพิ่มเงินรางวัลให้ภายหลัง อีกส่วนคือการพูดคุยกับทางจังหวัดผู้ว่าราชการจังหวัด นักธุรกิจภายในจังหวัด หอการค้าจังหวัด และ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนทีมของจังหวัดตนให้กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะเป็นกองเชียร์ หรือ งบประมาณ และเป็นทีมที่มีการโฆษณามีการจ้างโค้ช หรือ ผู้จัดการทีมเข้ามาดูแลให้ทีมมีทิศทางที่สามารถพัฒนาได้ยิ่งขึ้นไป ซึ่งเป้าหมายการพัฒนาฟุตบอลอาชีพให้เกิดขึ้นในเมืองไทยนั้นมีระยะเวลา 4 ปี"

แม้ว่าจะมีเสียงตอบรับที่ดีกลับมาแต่ในสายตาของ ผู้รับผิดชอบแล้ว อริสมันต์ มองว่ายังต้องมีการปรับปรุงข้อปลีกย่อยบางเรื่องเพื่อให้ "โปรลีก" มีความน่าสนใจขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกองเชียร์ "ภาพรวมของการแข่งขันนั้นคิดว่าคงต้องแก้ไขกันไปเรื่อยๆจนกว่าจะลงตัว แต่สิ่งที่เห็นชัดเวลานี้น่าจะเป็นเรื่องของกองเชียร์ ที่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าน่าจะมีสีสันมากกว่านี้ ต้องทำให้เกิดแฟนคลับของสโมสรให้ได้เร็วที่สุดเพราะกองเชียร์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตของสโมสรฟุตบอล

ผมคิดว่าในโอกาสต่อไปแต่ละสโมสรต้องมีสินค้าของทีมไม่ว่าจะเป็นเสื้อทีม หรือ หมวก หรือของที่ระลึกต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงจะให้แนวนโยบายดังกล่าวแก่สโมสรที่อยู่ใน "โปรลีก" ในขณะเดียวกันผมก็อาจจะแต่งเพลงประจำทีมให้กับแต่ละสโมสร โดยใช้ศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง จากนั้นทางสโมสรก็นำเอาเพลงดังกล่าวไปมอบให้กับแฟนบอลของสโมสร ได้เชียร์การแข่งขันสนุกสนานและผูกพันกับทีมมากขึ้น"

แม้ว่าจะมีข่าวเรื่องความขัดแย้งในแนวทางการทำงานระหว่างไทยลีก และ โปรลีก แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ที่อาจมีสโมสรในไทยลีก สนใจซื้อตัวนักฟุตบอลโปรลีก ในฐานะผู้จัด อริสมันต์ กล่าวแบบเปิดกว้างว่า "ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องของสโมสรต่อสโมสร เป็นเรื่องของธุรกิจแต่เราอาจจะเข้าไปดูแลให้นักฟุตบอลอาชีพของเราให้ได้รับค่าเหนื่อยที่ยุติธรรมและปกป้องคุ้มครองประโยชน์ของเขาได้มากที่สุด เพราะสิทธิประโยชน์ของนักกีฬาควรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเพราะในเวลาอันใกล้นี้เรากำลังจะมีมีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับกีฬาอาชีพมารองรับ เนื้อหาของ พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้นจะกำหนดสิทธิประโยชน์ที่นักกีฬาอาชีพควรจะได้รับไม่ว่าจะเป็นเงินรางวัล หรือการซื้อขายตัวนักฟุตบอล"

นอกจากนี้โอกาสที่ทีมระหว่าง "ไทยลีก" และ "โปรลีก" จะลงสนามพบกันเพื่อวัดศักดิ์ศรีแข้งระหว่างสองลีก อริสมันต์ กล่าวถึงความเป็นไปได้ว่า "ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้แน่นอน อาจจะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เป็นนัดการกุศลเตะในสนามเป็นกลาง มีถ้วยและเงินรางวัลที่มาจากผู้สนับสนุน"

การทำงานชนิดทุ่มสุดตัวแน่นอนว่าเจ้าของผลงานย่อมมีความคาดหวังที่จะเห็นเมล็ดพันธุ์ของชิ้นงานที่ว่านลงไปนั้นเติบโต อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ในฐานะผู้รับผิดชอบการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้ก็มีเช่นกัน "ผมหวังว่าการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยในครั้งนี้ จะทำให้คนไทยได้เห็นทีมฟุตบอลไทยกลับมารุ่งเรืองเหมือนครั้งอดีตที่มีนักฟุตบอลของเรา ที่สามารถสู้กับนักฟุตบอลอย่างญี่ปุ่น เกาหลี หรือ อิหร่านได้อย่างสูสี

แต่ก่อนจะก้าวไปถึงขั้นนั้น เราต้องเริ่มต้นที่จะพัฒนาอย่างจริงจัง แน่นอนว่าของการเริ่มต้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับคนที่กล้าเปลี่ยนแปลง อย่างผมเองต้องยอมรับความเจ็บปวดครั้งนี้ แม้ว่าปูมหลังของผมจะทำงานมาในสายบันเทิงมีความเชี่ยวชาญทางด้านบันเทิง แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้พัฒนามาตรฐานฟุตบอลเราก็ต้องทุ่มเทสรรพกำลังลงไป ในบางครั้งอาจโดนแรงเสียดสีเสียดทานค่อนข้างที่จะหนักหนาสาหัส แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เราย่อท้อหรือเหนื่อยหน่าย ผลออกมาอย่างไรประชาชนจะเป็นคนตัดสิน

การทำงานของทุกคนในวงการฟุตบอลเวลานี้เปรียบไปก็เหมือนการทำงานเพื่อให้ไปถึงจุดสูงสุดของพีระมิด เพียงแต่การทำงานในระดับเริ่มต้นมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นของรัฐบาล มุมหนึ่งก็อาจจะเป็นของสมาคม อีกมุมก็อาจเป็นของเอกชน แต่ท้ายที่สุดเราต่างก็ช่วยกันผลักดันให้ฟุตบอลไทยไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนวัตถุประสงค์ของคนทำฟุตบอลทุกคนไม่มีใครอยากทำให้วงการฟุตบอลตกต่ำ แต่ทุกคนมีจุดประสงค์อย่างเดียวกันคือทำให้วงการฟุตบอลไปอยู่บนจุดสูงสุดและอยู่ให้ได้นานที่สุดให้ได้ เพียงแต่องค์กรที่เข้ามาทำงานอาจจะยืนอยู่คนละมุมของพีระมิด

บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้ง แต่ผมมองว่าเป็นการแข่งขันเรื่องการทำงาน อย่างสมาคมฯเมื่อทำทีมแล้วมีลีกอื่นมาแข่งขันเขาก็อาจจะตื่นตัวขึ้น ในขณะเดียวกันโปรลีกก็ต้องพัฒนาตนเองให้ได้มาตรฐานเทียบเท่ากับไทยลีก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทั้งสองลีกการแข่งขันจะทำให้มาตรฐานของวงการฟุตบอลไทยพัฒนาขึ้นมาได้อย่างที่คนไทยต้องการเห็น"

*****

เรื่อง - สวรรยา ทรัพย์ทวี
 นครราชสีมา หนึ่งในทีมจากโปรลีก
ถิรชัย วุฒิธรรม (กลาง) ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพ โปรลีก
ประชา มาลีนนท์รมต.ว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันโปรลีก
ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์4 ปีฟุตบอลอาชีพจะเกิดขึ้นในเมืองไทย
อริสมันต์ พงษ์เรืองรองเราต่างมีเป้าหมายเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น