"ปู่… ปู่มีแขกมาหา" สิ้นเสียงร้องเรียกสักพัก ร่างของชายผู้หนึ่งก็ค่อยก้าวข้ามผ่านสระน้ำใต้ร่มเงากอไผ่ใหญ่ข้างหน้า โดยมีสุนัขพันธุ์ไทยหลายตัววิ่งล้อมหน้าล้อมหลังตามมาอย่างร่าเริง
เบื้องหน้า… เจ้าของรางวัลศิลปินแห่งชาติ และผู้เขียน "ฟ้าบ่กั้น" อันเป็นตำนานการต่อสู้วรรณกรรมเพื่อมวลชน รับการเคารพจากผู้มาเยือนอย่างสุขุม ท่ามกลางอากาศเย็นสดชื่น ณ ไร่ธารเกษม ในห้วงเวลาก่อนจะถึงวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 75 ของเขาเพียงไม่กี่วัน
คำสิงห์ ศรีนอก หรือนามปากกา "ลาว คำหอม" บุรุษผู้ซึ่งพญาอินทรีแห่งสวนทูนอิน ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ให้คำจำกัดความถึงว่า
"ปัญญาชนแห่งที่ราบสูง ผู้สะสมเพื่อนมากกว่าวัตถุและเงิน"
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ประตูไร่ธารเกษมแห่งนี้จะเปิดกว้างตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี บรรยากาศสงบเงียบก็จะแปรเป็นคึกคักขึ้น ด้วยการเดินทางมาเยี่ยมเยือนจากลูกหลานญาติมิตรทั้งในแวดวงน้ำหมึกและวงการอื่นๆ รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่ยังเป็นเพียง "ต้นกล้า" เพื่อแสดงคารวะต่อไม้ใหญ่แห่งวงวรรณกรรมไทยผู้นี้
*วิถี
บ่ายโมงกว่าแล้ว แต่อากาศที่ไร่เชิงเขาปากช่องแห่งนี้ยังเย็นยะเยือก เสียงลมพัดยอดไม้ที่ร่มครึ้มอยู่เหนือลานอิฐโล่งเรียบ มีเพียงโต๊ะม้านั่งที่ตั้งอยู่ประปราย ที่เหลือคือธรรมชาติที่ล้วนเกิดจากสองมือของชายผู้เป็นเจ้าของ
ทั้งต้นปาล์มสูงลิ่ว หรือยางนาอายุกว่า 30 ปี ฉากหลังเป็นธารน้ำธรรมชาติที่ไหลเอื่อยๆ มีใบไผ่แห้งที่ร่วงหล่นลงมาตกบนผิวน้ำลอยเป็นแพ
จากประวัติของลูกชาวนาแห่งท้องทุ่งอีสาน-ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พ.ศ.2535 บอกว่า หลังปี 2501 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้มงวดเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด มีการจับนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ไปคุมขังจำนวนมาก ช่วงนั้นเองที่ลาว คำหอม ตัดสินใจลดบทบาททางงานเขียนเกือบจะสิ้นเชิง กลับไปประกอบอาชีพชาวไร่ที่ อ.ปากช่อง แต่เมื่อเอ่ยถาม คำสิงห์ ศรีนอก ก็แก้ความเข้าใจให้ฟังว่า
"นั่นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เหตุผลหลัก ตัวเองตัดสินใจแล้วว่าอยากจะเขียนหนังสือ อยากจะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ผมเป็นชาวบ้านก็ไม่อยากจะห่างเหินกับชาวบ้านมากนัก ครั้งแรกคิดว่าอยากจะกลับไปอยู่บ้านเกิดตัวเองด้วยซ้ำไป แต่ว่าสถานภาพของหมู่บ้านมันไม่เปิดโอกาสให้คนที่มีการศึกษาพอสมควรไปใช้ชีวิตอยู่ได้ มันไม่มีที่ลง ไร่นาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลงไปปลุกไปปล้ำได้มากนัก แต่อยากจะมีชีวิตที่ใกล้ชิดกับดินกับหญ้าก็เลยหาที่สักแปลงหนึ่งเพื่อจะดำเนินชีวิตตามความใฝ่ฝัน"
แน่นอนว่า ความฝันของเขาก็คือการเขียนหนังสือ และหนังสือ "ฟ้าบ่กั้น" นั้นก็ส่งผลสะเทือนไปในวงกว้างในหมู่ปัญญาชนยุคนั้นอย่างคาดไม่ถึง แม้จะมีบางฝ่ายพยายามยัดเยียดคำว่า "คอมมิวนิสต์" ประทับตราลงบนปกหนังสือเล่มนี้ก็ตาม
จากนั้นมา นักวิชาการและปัญญาชนไทยจากทุกสารทิศก็ต่างมุ่งตรงมายังไร่แห่งนี้ ไร่ธารเกษมกลายเป็นสถานที่บ่มเพาะทางความคิดของนิสิตนักศึกษา ที่มาใช้ชีวิตกินนอน ทำกิจกรรมช่วงหนึ่งอยู่ที่นี่ ก่อนจะแยกย้ายไปช่วยเหลือสังคมในพื้นที่อื่นต่อ แต่ทว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ก็เหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาแยกพลังมวลชนคนหนุ่มสาวจนย่อยยับ แม้แต่ตัวคำสิงห์เองก็ยังต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ประเทศสวีเดนพร้อมครอบครัว
ล่วงมาถึงปี พ.ศ.2524 เขาจึงเดินทางกลับมาและใช้ชีวิตอยู่ ณ ไร่แห่งนี้จนถึงปัจจุบัน คนหนุ่มสาวในยุคนั้นก็พากันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีวิถีทางของตน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังระลึกถึงก็คือ ไร่ของนักเขียนอาวุโสที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองและญาติผู้ใหญ่ของใครหลายคน จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่รู้กันดีว่า ในช่วงเดือนเกิดของลาว คำหอม คือเดือนธันวาคมของทุกปี จะเป็นการรวมตัวโดยไม่ได้นัดหมายของผู้คนทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ และแปลกหน้าต่อไร่นี้
บทสนทนาเหนือเก้าอี้ไม้ไผ่ยังไหลลื่น เช่นเดียวกับม้วนเทปในเครื่องอัด แม้หลายคำถามจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนถูกถามอย่างคำสิงห์ แต่เขาก็ยังตอบคำถามอย่างเต็มใจและเต็มไปด้วยความเมตตาต่อเด็กรุ่นหลัง
"สภาพสังคมชาวนาไทยในภาคอีสานช่วงก่อน พ.ศ.2500 เป็นอย่างไร คำตอบมีอยู่แล้วในฟ้าบ่กั้น ส่วนสถานะของชาวไร่ชาวนาหลัง 2500 เป็นอย่างไรนั้น ก็ขอให้อ่านในเรื่อง "แมว" ที่ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงภาวะล้มละลายของชาวไร่ชาวนา ในฐานะคนเขียนหนังสือก็อยากจะแสดงความเป็นไปของสังคม ซึ่งในสองเล่มนี้ผมพอใจ คิดว่าน่าจะตอบได้สมบูรณ์แล้ว" คือคำสรุปสั้นๆ ของคำสิงห์ ถึงความเป็นไปของกระดูกสันหลังของชาติในยุคก่อน
*"ฟ้าบ่กั้น" นามบัตรวรรณกรรม
เราพูดคุยย้อนไปถึงตอนที่คำสิงห์พร้อมครอบครัวต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่สวีเดน ดินแดนแห่งต้นกำเนิดรางวัลโนเบล ซึ่งคำสิงห์ ศรีนอก หรือลาว คำหอม ได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกสมาคมนักเขียนสวีเดน ที่ใช่ว่านักเขียนคนไหนจะได้รับเกียรติง่ายๆ คำสิงห์บอกว่า หนังสือเล่มเล็กๆ เรื่อง "ฟ้าบ่กั้น" คือนามบัตรแนะนำตัวเขาในต่างแดน
"การที่เรามีหนังสือสักเล่มหนึ่งจะถือว่าเป็นนามบัตรแนะนำตัวเองก็ได้ หนังสือทุกเล่มมันแนะนำตัวมันเองได้ นอกจากมันจะแนะนำตัวมันเองแล้ว มันแนะนำตัวคนเขียนที่เป็นผู้สร้างมันด้วย บังเอิญฟ้าบ่กั้นนั้นได้รับการอ่านจากคนกลุ่มหนึ่งที่สนใจเอเชีย นักวิทยาศาสตร์ยุโรปก็สนใจเอเชีย แต่สิ่งที่เขาขาดก็คือความเข้าใจผู้คน เขารู้จักว่าเอเชียอาณาเขตขนาดไหน อุณหภูมิเป็นอย่างไร พลเมืองเท่าไร นับถือศาสนาอะไร มีทรัพยากรอะไรบ้าง รู้หมด แต่ไม่รู้ผู้คน"
เมื่อยุโรปขณะนั้นเริ่มให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศต่างๆ ในเอเชีย การเดินทางไปถึงสวีเดนของครอบครัวนักเขียนชาวไทยผู้หนึ่งในเวลานั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง
"สวีเดนเป็นประเทศเล็กๆ แต่ร่ำรวย มีการศึกษา ตั้งองค์กรช่วยเหลือระหว่างประเทศเหมือน USOMของอเมริกา ก็มีปัญหาอย่างเดียวกันก็คือว่าทำไมไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เมื่อถามคำถามนี้มากขึ้น ในที่สุดก็สรุปได้ว่าเพราะเขาไม่รู้จักคน มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เต็มบ่า แต่ไม่รู้จะเชื่อมโยงภูมิปัญญายุโรปกับภูมิปัญญาเอเชียเข้ากันได้อย่างไร เมื่อไม่รู้จักกันก็อาศัยงานวรรณกรรม ว่าคนแต่ละประเทศเขาหิว เขาอด เขาอยากอย่างไร ก็บังเอิญมีคนแนะนำให้อ่านฟ้าบ่กั้น เนื่องจากมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษ อาจารย์ผู้ใหญ่ที่มหาวิทยาลัยสตอกโฮล์มก็เอาไปแปล ในที่สุดก็มีการพิมพ์เผยแพร่ ด้วยเหตุนี้เองการเป็นสมาชิกสมาคมนักเขียนสวีเดนก็ตามมากับหนังสือเล่มนี้"
*กลิ่นธูปแห่งความหวัง
แม้จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางวงล้อมของขุนเขาและความเขียวขจีของแมกไม้ แต่ใช่ว่าคำสิงห์ ศรีนอก จะตัดขาดจากวิถีชีวิตในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง เขายังอ่านหนังสือ ดูทีวี ติดตามข่าวสารบ้านเมืองไม่ขาด เฝ้ามอง...พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดถึงความเป็นไปของโลกอยู่เสมอ
ฉะนั้น เมื่อเราถามถึงงานเขียนชิ้นใหม่ของลาว คำหอม คำสิงห์จึงตอบทันทีว่าเขายังทำงานเขียนอยู่เรื่อยๆ และประเด็นที่นักเขียนเรื่องสั้นมือฉกาจผู้นี้กำลังสนใจก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เราเรียกว่า "ยุคสมัย"
"ผมพยายามจะพูดถึงปัจจุบันนี้ที่ยุคสมัยมันท้าทายต่อสติปัญญายิ่ง รู้สึกว่าเราฝากอนาคตชีวิตไว้กับสิ่งที่มองไม่เห็นมากขึ้นๆ ความงอกงามในไสยศาสตร์ พิธีกรรมสารพัดชนิด ผมสะเทือนใจทุกครั้งที่เดินออกจากบ้านไปตลาดผลไม้ริมถนนใหญ่ สิ่งที่สะดุดใจคือ ทุกเสาไฟฟ้า ทุกต้นไม้ จะมีกระถางธูปจุดอยู่ตลอด แล้วก็จะเห็นแม่ค้าถือธูปมานั่งพนมมือบนบานสานกล่าว ผมเดินจากหัวถนนไปถึงร้านสุดท้ายนี่ หอมกลิ่นธูป กลิ่นธูปแห่งความหวัง ความฝัน กลิ่นธูปของการบนบานศาลกล่าว สิ่งเหล่านี้มันบอกอะไรเราบ้าง บอกว่ามนุษย์กำลังสิ้นหวังในมนุษย์ด้วยกันไหม ตอนนี้จึงต้องหันไปพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็น มนุษย์กำลังเริ่มจะสูญเสียสภาวะความเป็นคนของตัวเอง ไม่สามารถจะพึ่งตัวเองได้ ต้องหันไปอ้อนวอน"
"นี่คือสิ่งที่ผมท้าทายและอยากจะเขียน ผมก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้เขียนแล้วมันจะได้รับการตอบสนองอย่างไร แต่อยากจะทำไว้ให้ปรากฏว่าครั้งหนึ่งยุคสมัยหนึ่ง บ้านเมืองเป็นอย่างนี้"
*คำพูดของพ่อ
ในวัย 75 ปี นอกจากจะเป็นนักเขียน ชาวไร่ และศิลปินแห่งชาติแล้ว คำสิงห์ยังรับบทบาทเป็นพ่อของลูกสาวทั้ง 3 ใบเถา คือ เตือน,คำหอม และภูเพียง ที่ต่างก็เติบโตขึ้นมาได้งดงามสมใจผู้เป็นพ่อ โดยเฉพาะตัวคำหอมนั้นเป็นที่รู้จักดี ด้วยตำแหน่งบรรณาธิการสำนักพิมพ์สุดสัปดาห์ เธอจึงเป็นลูกไม้ไม่ไกลต้นในสายตาของคนนอก และน่าสนใจว่านักเขียนอาวุโสท่านนี้มีวิธีการเลี้ยงดูลูกอย่างไร
"เด็กรุ่นใหม่เขาเติบโตมาในสังคมที่แตกต่างจากเรา ผมบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่สามารถเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไปสั่งไปสอนลูกอะไรได้นักหนา เพราะว่าปัจจุบันมันเป็นโลกของเขา เราเป็นคนของโลกเก่า คติความเชื่อหลายสิ่งหลายอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือรักษาความสัมพันธ์ของพ่อลูก มีความรักเท่านั้นเป็นสิ่งเยียวยา ถ้าไม่มีความรักเป็นสิ่งยึดโยงมันก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว"
ในการเลี้ยงลูกนั้น เขาจึงถือคติในแนวทางการเลี้ยงดูแบบตะวันตกไม่น้อย คำสิงห์บอกว่า เพราะตัวเองต้องระเหระหนอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมากมาก ใช้ชีวิตนอกบ้านกับในบ้านเกือบจะพอๆ กัน จึงอาจจะคุ้นเคยกับวิธีคิดแบบนั้นมากกว่า
"ภาวะครอบครัวผมก็เลยจะเดินไปในแนวทางนั้น เพราะฉะนั้น สิทธิเสรีภาพของลูกเราคงห้ามเขาไม่ได้ เราไม่สามารถจะวางกฎวางเกณฑ์ชีวิตให้เขาได้ สิ่งที่พูดกับลูกก็คือว่า พ่อยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้นะ แต่ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะกระทบกระเทือนถึงพวกหนูนะ ต้องดูแลตัวเอง จะไม่บอกว่าสิ่งนี้ถูกสิ่งนี้ผิด ควรจะทำอย่างนี้ แต่พยายามหาหนังสือให้เขาอ่าน ในฐานะที่เขาเกิดมากับหนังสือก็สบายใจอยู่บ้าง แต่ว่าต้องอ่านให้มาก ผมเป็นคนเชื่อในหนังสือ อาจจะเป็นว่าตัวเองเป็นตัวเป็นตนอยู่ในโลกมาได้ก็เพราะหนังสือ ตัวเองเรียนหนังสือกระท่อนกระแท่น แต่ว่าสิ่งที่ไม่เคยกระท่อนกระแท่นเลยตลอดชีวิตคือการอ่านหนังสือ เข้าใจว่าที่เราอยู่ในโลกได้ เดินตามโลกทัน มันเป็นผลจากการอ่านหนังสือ"
ยิ่งมีโอกาสเดินทางมาก พบปะผู้คนมาก สิ่งหนึ่งที่คำสิงห์ตระหนักก็คือ ความสำคัญของการอ่าน และการเดินทาง
"โลกการอ่านสำคัญมากต่อเส้นทางการพัฒนายกระดับสติปัญญา บางคนอาจจะบอกว่าตัวเองด้อยโอกาส ไม่ได้เรียนหนังสือมาก ก็ดูตัวอย่างผมจริงๆ ก็ไม่ได้เรียนอะไรมากมาย เมื่อเปรียบกับคนอื่นก็กลางๆ แต่ทำไมยังอยู่และสามารถสื่อสารกับโลกปัจจุบันได้ สติปัญญาที่มันจะมีอยู่บ้าง ความคิดความอ่านที่เกิดขึ้นมาจากหนังสือ มาจากการคบเพื่อนที่ดี"
และสิ่งหนึ่งที่ "เพื่อนที่ดี" คนหนึ่งบอกกับเขาก็คือ "นอกจากหนังสือแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญคุยกับลูกเสมอคือการท่องเที่ยว เหตุผลของการเดินทางท่องเที่ยวก็คือทำให้เราเห็นโลกกว้างขึ้น เห็นผู้คนที่ต่างวัฒนธรรมไปจากเรา ทำให้เข้าใจความแตกต่างของคนอื่น เพราะฉะนั้น สองสิ่งในชีวิตคือ หนังสือกับการท่องเที่ยว ผมไม่สอนอะไรลูกมากกว่านี้ คุยกับลูกก็บอกว่า ทุ่มเทชีวิตหนึ่งจะให้การศึกษาเขาเท่าที่สติปัญญาของเขาจะมีได้ เท่าที่ทุนรอนของเราจะส่งเสียได้ พอจบออกมาแล้วก็อย่าลืมหนังสือ สอง ถ้ามีเงินมีทองก็จงออกเดินทางท่องเที่ยว ชีวิตมีเท่านี้"
*โครงกระดูกวรรณกรรม
คุยกับลาว คำหอม ทั้งที จะไม่เอ่ยถามถึงเรื่องวรรณกรรมคงไม่ได้ คำสิงห์มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่งานวรรณกรรมจะฉาบเปลือกข้างนอกไว้ด้วยความบันเทิง แต่สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือ "กระดูก"
"งานวรรณกรรมต้องไม่ใช่สิ่งที่เลื่อนลอย ต้องมีสิ่งที่เป็นสาระ ซึ่งผมชอบใช้คำว่า ต้องมีกระดูก คนเราถ้าไม่มีกระดูกก็คงทรงตัวอยู่ไม่ได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ วรรณกรรมก็คงอย่างเดียวกัน วรรณกรรมที่เลื่อนลอย ไม่มีกระดูกอะไรเลย ก็เหมือนลูกโป่งลอยไปลอยมา แต้มสีสันให้สวยยังไงก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นกระดูกนั้นก็น่าจะบอกว่ามีสิ่งที่เป็นสาระ หรืออย่างน้อยก็มีความคิดอยู่ในงานเหล่านั้นบ้าง คนที่จะเขียนหนังสือคนอื่นจะคิดยังไงผมไม่ทราบ แต่สำหรับผมเอง ผมคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นรูปธรรมของความคิดของคนที่เขียน คุณจะคิดแผลงยังไงก็ได้ แต่งานนั้นก็สมควรจะมีความคิด มีปฏิกิริยาที่มองโลก โลกทัศน์ของคุณเป็นอย่างไร ผ่านมาทางความคิด ถึงโลกจะไม่ชอบ ตัวเองจะถูกเข่นฆ่าทำลาย แต่ความคิดถ้ามันออกไปแล้ว ถ้ามันมีสาระ มีแก่น มีกระดูก มันก็อยู่ได้"
"นักเขียนตายได้ เข้าคุกได้ ติดตะรางได้ แต่ความคิดยังคงอยู่ อาจจะเป็นเพราะอุดมการณ์แบบนี้ ทำให้ผมอ่านงานดีๆ หนักๆ ศิลปะนั้นต้องมี ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่งานวรรณกรรม แต่ต้องมีจิต มีวิญญาณทางความคิด ความคิดฆ่าไม่ได้" คำสิงห์ย้ำด้วยน้ำเสียงและแววตาหนักแน่น
เมื่อถามถึงเป้าหมายชีวิตในวัย 75 ปี คำสิงห์กล่าวว่า เขายังอยากจะทำงานแบบเดิม แม้ผลงานที่ผ่านมาจะไม่มากชิ้น จนบางครั้งเขารู้สึกอายที่จะเรียกตัวเองว่า นักเขียน แต่สำหรับคนฟังอย่างเราแล้ว ปริมาณนั้นใช่สาระสำคัญอันใดเล่า ในเมื่อนักอ่านกี่รุ่นต่อกี่รุ่นต่างยอมรับในฝีมือและผลงานระดับมาสเตอร์พีซของนักเขียนอาวุโสผู้นี้
"คนที่เป็นนักเขียนต้องมีผลิตหนังสือออกมาเป็นร้อยๆ เล่ม ของผมมีแค่ 7-8 เล่ม มันยังห่างไกลมากกับความเป็นนักเขียน แต่ก็ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองควรจะได้ทำ ทำด้วยความตั้งใจ และภูมิใจในความเล็กๆ น้อยๆ ของมันอยู่ 75 ปี วาระที่ต่อไปข้างหน้าถ้าบังเอิญยังมีแรงทำงานได้ก็คงจะสร้างวรรณกรรมที่มีกระดูก" เจ้าของนามปากกาเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ "ลาว คำหอม" กล่าวทิ้งท้าย
//////////////
เรื่อง รัชตวดี จิตดี
ภาพ อาทิตย์ นันทพรพิพัฒน์