"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เมื่องจิ๋มบิ๋ม โอย...
นมนานมามีราชาองค์หนึ่ง โปรดเสวยกระยาหารอันโอชะนานา...
มาวันหนึ่งมีบึงน้ำเมืองใหญ่
สัตว์อะไรไข่เอาไว้ข้างเขตสีมา
องค์ราชาก้มลงคว้าไข่
ไข่อะไรมหาดเล็กตอบข้ามาซิ
(ไข่เหี้ย...)
มหาดเล็กทูลตอบ (ไข่เหี้ย...)...ฯลฯ
เสียงเพลง "ไข่หงส์" ของศิลปินอินดี้ที่ชื่อ "ซีเปีย" ดังสนั่นลำโพงออกมาพร้อมเสียงร้องของคนฟังที่คลอตามไปเบาๆ ก่อนจะดังขึ้นๆ เรื่อย แล้วมาตะโกนเอาอีตอนท่อนที่บอกว่า "ไข่เหี้ย..." โดยเปลี่ยนเนื้อร้องเสียใหม่เพื่อความสะใจ จากคำว่า "ไข่..." เป็นคำว่า "ไอ้..." อย่างสุดเสียง
10 ปีที่แล้ว เพลงๆ นี้อาจจะเคยเป็นเพลงที่หลายคนฟังแล้วรู้สึกหยาบ ผู้ใหญ่บางคนอาจจะบอกว่าถ่อย รับไม่ได้ เพลงถูกแบนไม่ให้ออกอากาศ
แต่จะมีใครรู้บ้างว่า ณ วันนี้ เพลงๆ เดียวกันนี้จะได้กลายเป็นเพลงปลุกใจ เป็นเพลงปฏิวัติ และแม้กระทั่งเพลงเพื่อชีวิตในความรู้สึกของใครหลายๆ คนไปแล้ว
..........
"ไม่ใช่เฉพาะเด็กวัยรุ่นเท่านั้นนะที่ชอบ ปรากฏว่าผู้ใหญ่ระดับลุง ป้า น้า อา รวมทั้งคนที่เขามีระดับการศึกษาที่เรียกว่าไม่ต่ำเลยเนี่ยก็ชอบด้วยเหมือนกัน ซึ่งมันค่อนข้างจะแปลกมาก...." คำบอกเล่าจาก "ต่อพงษ์ เศวตามร์" คอลัมนิสต์นักวิจารณ์เพลงบอกถึงกระแสตอบรับของการนำเอาเพลงอินดี้ "ไข่หงส์" และอีกหลายต่อหลายเพลงในลักษณะเดียวกัน ไล่ไปตั้งแต่ เสพสมบ่มิสม ไม่ต้องใส่ถุง ประเทศเทยไปเปิดออกอากาศในรายการ "เมโทรไลฟ์" ผ่านคลื่นเอฟเอ็ม 97.75 Mhz คลื่นสามัญประจำบ้าน
“รายการที่ผมจัดอยู่ทางแมเนเจอร์ เรดิโอ ดอทคอมไม่ใช่รายการวัยรุ่นจ๋าแต่มีผู้ใหญ่ระดับคนทำงานแล้ว คนเกษียณฟังก็เยอะ แล้วงานเพลงอย่างซีเปียที่เต็มไปด้วยความโหดมันส์ฮาและดิบมาก ผู้ใหญ่กลับนิยมมากคือไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือต่อต้าน ถ้าเป็นวัยรุ่นผมพอเข้าใจว่าเขาก็รับได้อยู่แล้วกับคำพูดลักษณะนี้หรือแนวทางแบบนี้”
“การที่ผู้ใหญ่รับตรงนี้ได้ผมคิดว่าอันนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แสดงว่าความรู้สึกอึดอัดกดทับที่ผู้มีอำนาจได้ทำกับสังคมนี้ มันแพร่กระจายไปหมดแล้วน่ะ แล้วผู้ใหญ่ที่เล่นเน็ตได้เขาก็คงไม่ใช่ระดับตาสีตาสาแน่นอน เป็นคนมีปัญญาระดับหนึ่งเลยทีเดียว”
ทำไมเพลงที่เคยมีคนมองว่าถ่อยเหล่านี้ถึงได้กลายเป็นเพลงปลุกใจ เพลงปฏิวัติ เพลงเพื่อชีวิต ในความรู้สึกของแฟนรายการกระทั่งต่างพากันถามไถ่ให้ทั่วว่านี่เพลงของใคร? จะหาซื้อหรือว่าดาวน์โหลดได้ที่ไหน? เรื่องนี้ต่อพงษ์อธิบายว่าส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากเรื่องของการเมืองที่ทำให้คนอึดอัดเลยหันมาฟังเพลงแนวนี้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางออกไม่มีทางระบาย พร้อมกับบอกด้วยว่าถ้าลองมองกันจริงๆ ยุคนี้เหมือนมีตาข่ายครอบงำสังคมเอาไว้ตลอดเวลา กดทับทุกคนไว้ เราทุกคนเป็นคนชั้นต่ำหมด ต้องยอมจำนนกับทุกอย่าง กลไกที่เหมือนอิสระมันไม่อิสระจริง เสรีภาพการแสดงออกก็ไม่มีจริง
จากแรงบีบคั้นที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรที่เราจะได้เห็นหรือรับรู้ว่ามีจำนวนวัยรุ่นอยู่ไม่น้อยในยุคนี้จะหันมานั่งฟังหรือขอเพลงเสียดสีสังคมแบบรุนแรงแทนที่จะสนใจฟังเพลงรักป็อปใสๆ หรือร็อกอ่อนโยน
"ผมว่าวัยรุ่นเองก็คงรู้สึกว่าทุกคนต่ำหมดยกเว้นคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ในเมื่อกลไกที่มันเคยระบายความอึดอัดถูกปิดกั้นไว้หมด มันก็อยู่ในสภาวะที่คนเขาโหยหาลุกขึ้นมาตะโกนใส่หน้าผู้ที่มีอำนาจว่าเลว บังเอิญที่บทเพลงแบบนี้มันซัปพอร์ตตรงนี้เท่านั้นเอง”
“ถ้ารัฐบาลเปิดให้เป็นสังคมของคนที่มีภูมิปัญญาจริงๆ ให้คนมีอำนาจน้อยหน่อย ปิดกั้นข่าวสารหรือบิดเบือนน้อยหน่อยผมเชื่อว่ากระแสแบบนี้มันไม่เกิด มันเป็นวิธีการแบบนายทุนน่ะ ผมไม่ได้สั่งแบนคุณแต่ซื้อมันทุกอย่างแล้วก็เลือกเปิด แต่อะไรก็ตามที่ผมกำหนดที่ผมให้เปิดได้ อย่างเช่นเพลงรักไปเลยหรือเพลงรักไปเลยอีก ธรรมชาติของคนเนี่ยต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครทน 24 ชม.กับความรัก มันจะอ้วกน่ะ“ ต่อพงษ์กล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ
ถ้าจะกล่าวถึงบทเพลงที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคมไทยโดยตรงที่ถูกขอให้เปิดมากที่สุดในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นเพลงของ “โอ๋ ซีเปีย” อาทิเพลง “ประเทศเทย” “ไข่หงส์” "ไม่ต้องใส่ถุง"
“โอ๋เขาทำเพลงลักษณะนี้มานานแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ขึ้นไปมีอำนาจ ผมว่าเขาก็ทำแบบนี้คือสะท้อนปัญหาที่เขาคิดแล้วสะท้อนสิ่งที่เขามองในสังคม ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว เพลงของเขามีเสน่ห์ทำเนื้อเพลงแรงแต่ไม่หยาบ เอ่อ...เจ็บๆแต่ว่าไม่ทำร้าย ฟังแล้วขำดี ลักษณะนี้เป็นส่วนตัวของคนทำจริงๆ ซึ่งหลายวงผมเห็นเขาทำออกมามันไม่ขำเท่านี้ โทษนะเพลงมันไม่กวนตีนเท่านี้ มันอาจจะหยาบไปเลยหรือเบาไปเลย แต่โอ๋และปาเดเก่งที่สามารถทำให้มันอยู่บนเส้นได้ เดี๋ยวขาวเดี๋ยวดำ สมกับความเป็นสีซีเปียเหมือนชื่อวงเขา”
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ทั้งโอ๋และปาเดไม่ได้อยู่บนเส้นทางนี้แล้ว เส้นทางของการทำเพลงสะท้อนปัญหาสังคมหรือสิ่งที่เกิดในยุค 2548 หรือยุค 2549 ต่อไป ซึ่งขณะนี้โอ๋ได้ไปทำวง “ดูบาดู” ของค่ายสรวลสนาม ในเครือแกรมมี่ซึ่งเป็นแนวแจ๊ซ สวิง ส่วนปาเดก็อยู่วงฟองน้ำ วง อ.บรูซ แกสตั้น
“ผมคิดว่าโอ๋ก็คงอาจจะยังทำไม่ได้เพราะไม่อยู่ในโพซิชันที่จะทำได้แล้วจริงๆเขาบอกว่าตอนนี้เขาเป็นพนักงานประจำในค่ายเทปใหญ่และเป็นศิลปินด้วย เพราะฉะนั้นคงไม่ต่างอะไรกับดาจิม ซึ่งสมัยทำเพลงแนวใต้ดินก็เป็นแบบหนึ่งแต่พอมาอยู่สังกัดก็เปลี่ยนไปหรือแม้กระทั่งอีกหลายวงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน”
..........
การกลายพันธุ์
จะว่าไปแล้วบทเพลงที่ว่าด้วยเรื่องราวของชีวิต วิพากษ์วิจารณ์สังคม ชื่นชมธรรมชาติที่ไม่ใช่สามช่า หรือว่านั่งเกากีตาร์เล่นคนเดียวนั้น มีมาทุกยุคสมัยทว่าไม่ค่อยจะมีใครให้ความสนใจมากนัก ไล่ไปตั้งแต่สายเมทัลอย่าง ดอนผีบิน, ดิเซ็มเบอร์, เฮฟวี่มด, สปีดดี้ด็อกซ์, ซีเปีย รุ่นใหม่ๆ อย่าง โคลน, อีโบล่า(ยุคเริ่มต้น) อพาร์ตเมนต์คุณป้า หรือจะเป็นสายฮิปฮอปอย่าง โจอี้บอย, ดาจิม ฯลฯ
แต่เหตุที่เพลงเหล่านี้ได้กลายเป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่ขึ้นมานั้น เรื่องนี้นักวิจารณ์เพลงคนเดิมอธิบายโดยยกเปรียบเทียบกับสไตล์เพื่อชีวิตรูปแบบของคาราบาว คาราวาน หรือ ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ว่า...
“จริงๆ เพลงที่พูดถึงสังคมที่ทำออกมาในจังหวะมันๆ เนี่ยมันมีมานานแล้วครับราวๆ สัก 10 ปีเพียงแต่ว่าไม่ได้รับความนิยมเท่ากับตอนนี้ คงเป็นเพราะส่วนหนึ่งสมัยก่อนมีวงดนตรีที่นำเสนอเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว มันโด่งดังกว่าและถือว่าเป็นที่พึ่งกว่านี้ เช่น คาราบาว, ปู พงษ์สิทธิ์ วงที่เขาเรียกตัวเองว่าเป็นวงเพื่อชีวิตน่ะ ตอนนั้นผู้ใหญ่จะมองว่าเป็นเด็กแนวหรือเด็กบ้า”
“แต่พอถึงยุคปัจจุบัน กลไกที่สะท้อนภาพสังคมไม่ทำงาน แนวเพลงพวกนี้ก็เลยโดดเด่นขึ้นมาเพราะมันตรงใจวัยรุ่นคือชัดตรงและรุนแรง มันไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากซึ่งก็เหมาะกับวัยรุ่นดี มันแตกต่างจากฟอร์มของวงเพื่อชีวิตสมัยก่อน สำหรับยุคนี้ความอ้อยส้อย ความงดงามบางจังหวะ มันไม่มันพอ มันไม่กระตุ้นและมันไม่เร้าพอน่ะ”
อย่างไรก็ตาม แม้เพลงที่มีเนื้อหาในรูปแบบเช่นนี้จะเริ่มได้รับความสนใจและจับตามากยิ่งขึ้น ทว่าในมุมมองของ “ตุลย์ ไวฑูรเกียรติ” แห่ง “อพาร์ทเมนต์คุณป้า” มองว่าเพลงในแบบที่พวกเขาทำนั้นก็ยังมีความโด่งดังหรือมีการยอมรับน้อยกว่าเพลงเพื่อชีวิตในแบบของสมัยก่อนอยู่มากทีเดียว
“ถามว่าเพลงของเราจะโดดเด่นเทียบเท่าของพี่ปูหรือคาราบาวได้มั้ย โอ้โห! มันคงจะไปได้ยากครับด้วยเพราะสื่อที่เรามีน้อยกว่านะครับ ผมคิดว่าถ้าได้สื่อที่เท่ากันถ้ามีโอกาสพอผมก็คิดว่าเพลงของพวกเรามันเป็นเพลงที่น่าจะรับกันได้ไม่ยากนะ คือถ้าสื่อเปิดกว้างมากพอน่ะครับ”
“เพลงคาราบาวออกมาตอนนั้นคือคนรู้จักทั้งประเทศ “เมด อินไทยแลนด์”ใช่มั้ย ด้วยสื่อต่างๆด้วยอะไรด้วยใช่มั้ยก็คือพวกนั้นเขามีโอกาสมากกว่า คือผมคิดว่าถ้า “เมด อินไทยแลนด์” ออกมาในปีนี้นะครับก็คงจะไม่ได้รับสื่อเท่ากับเมื่อหลายปีที่ผ่านมานู้นน่ะครับ”
มีคำถามจากคนขี้สงสัยตามว่าสมาชิกของวง อพาร์ตเมนต์คุณป้าจะคิดเลยเถิดถึงขนาดที่จะก้าวเข้ามาเล่นการเมืองกับเขาบ้างหรือเปล่า เพราะเห็นการทำเพลงของพวกเขาแล้วมีแต่เพลงในแนวนี้เกือบทั้งหมด “ตุลย์” นักร้องนำขอเป็นตัวแทนในการตอบเหมือนเช่นเคย
“ที่เราทำเพลงเกี่ยวกับบ้านเมืองเพราะว่ามันสนุกดีครับ ปกติถ้าผมไม่ได้แต่งเพลงผมก็จะเขียนอะไรอย่างนี้หรือว่าคุยเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ผมชอบและอยากที่จะเล่าน่ะครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นเรื่องใกล้ตัวด้วย”
“เรื่องงานการเมืองเราก็ไม่เคยคิดกันถึงขั้นนั้น แต่ว่าบางทีเราก็มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่เราอยากจะบอกเหมือนกัน อย่างถ้าเป็นไปได้ถ้ามีโอกาสทำงานการเมืองผมอยากสนับสนุนเรื่องของโสเภณีครับ เพราะง่ายๆผมมองว่ากรุงเทพฯเป็นเหมือนอัมสเตอร์ดัมได้น่ะครับ”
“จริงๆ ในเพลงเราก็ไม่เคยพูดตรงๆ น่ะครับ แต่อาจจะเป็นทัศนคติโดยรวมๆของอพาร์ตเมนต์คุณป้าน่ะครับ ที่ผ่านมาผมคิดว่าถ้าเราทำการเมืองคงเป็นลักษณะเสรีนิยมมากกว่า แล้วก็เรื่องอิสระในการพูดอะไรก็ได้ ฟรี สปีกเพราะว่าผมว่าสิ่งนี้ทำให้สังคมไปได้ตามอัตโนมัติของมัน แล้วก็มีสันติสุขครับ”
อีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากของนักร้องวงอินดี้คนนี้คือการที่เขาสัมผัสได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเพลงของใครในแนวแบบไหน ก็ล้วนแฝงไปด้วยเรื่องราวของสังคมทั้งด้านดีและไม่ดีทั้งนั้น
“ผมมองว่าเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องสังคมไม่จำเป็นต้องเป็นวงอินดี้ทำนะ เพราะว่าผมฟังเพลงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ก็มีมุมมองตรงนี้เยอะเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปคนเดียวรึเปล่า(หัวเราะ) แต่อย่างชุดใหม่ของ เกิร์ลลี่เบอร์รี่ มีหลายเพลงแม้ว่าเป็นเพลงรักแต่มันเป็นเรื่องของคนกรุงเทพฯจริงๆ ผมคิดว่านี่แหละพฤติกรรมของวัยรุ่นเป็นอย่างนี้แล้วพวกเขาแสดงออกมาได้ดีมากด้วย”
“วงนี้เขาพูดเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นน่ะครับ แต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจสื่อ แต่อาจจะเป็นทางอ้อมของการเขียนเพลงของเขา แม้ถึงขนาดเพลงของปาน(ธนพร แวกประยูร)เนี่ยก็เรื่องจริงเลยนะ แต่ว่าหลายๆวงเขาอาจจะพูดถึงเรื่องของอุดมคติคือเรื่องไม่จริงน่ะ แบบจะรักกันไปจนตายพอมีโอกาสเอาเข้าจริงๆได้ก็ชิ่งหรือไม่ก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ผมคิดว่าคนฟังอาจจะอยากฟังเรื่องที่ไม่จริงก็เป็นไปได้ มันเป็นอุดมคติของเขา” ตุลย์ กล่าว
..........
มองวัยรุ่นกับสังคมผ่านบทเพลง
ต้องยอมรับว่าวงที่จะไม่ตกยุคหรือล้าสมัยหมดความนิยมไปได้ง่ายๆนั้น หลักๆเลยคือจะต้องมีบทเพลงที่เกี่ยวกับความรักแทบทั้งสิ้น หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่าเพลงตลาดนั่นเอง ไม่เป็นเพลงรักหวานซึ้งก็เป็นเพลงอกหักเจ็บเจียนตายอะไรแบบนั้น
อันที่จริงนักร้องที่ร้องเพลงตลาดก็มีอยู่หลายท่านทีเดียวที่มีความสามารถทั้งในเรื่องการแต่งเพลงและการทำดนตรี ก็เลยมีคนอดนึกวาดภาพไม่ได้ว่าถ้าได้บุคคลเหล่านี้มาช่วยกันทำเพลงเพื่อชีวิตบ้าง คงมีประโยชน์แก่สังคมไม่น้อยเลย
ในทางกลับกันก็มีกระแสค่อนแคะและดูแคลนเหล่านักร้องเพลงตลาดว่าพวกเขาอาจจะไม่มีจิตสำนึกพอที่คิดจะทำเพลงเพื่อสังคมก็เป็นได้ ทั้งนี้เราเลยไปพูดคุยถามความคิดเห็นจากวงร็อกที่กำลังดังสุดๆในเวลานี้อย่าง “ZEAL” จากค่าย มอร์ มิวสิคว่าพวกเขาเคยคิดอยากจะเพลงที่เกี่ยวกับชีวิตหนักๆหรือเพลงเกี่ยวกับบ้านเมืองบ้างหรือไม่
“เป๊ก ปราชญ์ พงษ์ไชย” ที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นนักร้องนำ,เขียนเนื้อและเรียบเรียงของวง “ซีล” ได้บอกเล่าหลักการทำเพลงของตัวเองว่าเนื้อหาที่เขาใส่ลงไปเขาจะพยายามไม่ได้ปิดกั้นให้คนมองแต่เรื่องความรัก บางเพลงของซีลที่เขาแต่งโดยคิดถึงเรื่องอื่นก็มี เช่น เรื่องการให้กำลังใจหรือการทำความฝันเพราะเขากลัวว่าถ้าทำแต่เรื่องรักจะทำให้ผู้ฟังเลี่ยนเกินไป เป๊กยังได้บอกอีกว่าจริงๆแล้วเพลงของเขาเป็นแบบเปิด เพลงเพลงเดียวกันคนอาจจะคิดไปถึงเรื่องความรักหรือคิดถึงการใช้ชีวิตก็เป็นได้
“จริงๆ เพลงเพื่อชีวิตผมก็อยากลองครับแต่ไม่ว่าจะเป็นเพลงอะไรผมก็เขียนออกมาจากอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งผมก็เคยเขียนเพลงตอนที่เกิดสึนามิเพื่อจะเอาไปให้น้องๆ แล้วเราก็เอาลงไปบริจาคที่พังงาครับ คือเราอยากทำกันจริงๆน่ะ ก็ทำขึ้นมา 2 เวอร์ชัน ใครอยากฟังก็ฟังได้ในเว็บ www.zealband.com
เห็นได้ว่าความคิดของ “เป๊ก” นักร้องนำของวงตลาดที่เราเรียกๆกันนี้ เขาก็มีความคิดที่จะทำอะไรเพื่อสังคมเหมือนกัน แต่เหตุที่เขายังทำได้แบบไม่เต็มที่เต็มตัวเพราะมีปัจจัยอื่นๆหลายด้านที่ครอบเขาไว้อยู่
“เรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองผมก็สนใจครับ แต่ผมก็คงไม่ถึงขนาดได้แรงบันดาลใจมาเขียนเพลง จริงๆ แล้วเนื้อหาหนักๆเนี่ยผมคงยังสื่อสารเรื่องพวกนี้ได้ไม่ดีพอ การร้องเพลงแบบนี้ผมว่าเราต้องทำให้คนเชื่อด้วยนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะ คือผมไม่ได้มีมาดที่จะมาปลุกใจคนได้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้แน่ ๆ ตอนทำเราอาจจะคิดได้ เขียนได้ก็จริง แต่เราอาจจะสื่อสารไม่ได้ อย่างให้น้องพลับมาพูดเรื่องการเมืองมันก็ไม่ได้ มันก็ต้องอยู่ที่ลุคและความน่าเชื่อถือกับสิ่งที่เขาจะสื่อสารหรือในบทบาทที่เขาเป็นด้วยครับ”
“ผมว่ามันมีส่วนประกอบหลายๆ อย่าง คือถ้าจะให้วงเราทำเพลงแนวนี้เพื่อเป็นผู้นำวัยรุ่นให้หันมาสนใจเพลงเพื่อชีวิต จริงๆ มันก็ได้แต่ว่าบางทีมันอยู่ที่คอนเซ็ปต์อัลบั้มด้วยไงครับ มันอยู่ที่คอนเซ็ปต์ของวงด้วย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะลุกขึ้นมาทำก็ทำได้ อย่างดาราตลกต้องปูมานานกว่าเขาจะตลกอย่างนั้นได้”
“จริงๆ ผมชอบฟังเพลงเพื่อชีวิตนะครับ คาราบาวผมชื่นชอบมากติดตามมาตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งที่ผมชอบกับสิ่งที่ผมทำมันอาจจะสวนทางกันก็ได้ บางทีเราก็ชอบได้หลายอย่าง แต่สิ่งที่เราทำได้เนี่ยเราอาจจะทำได้อย่างเดียว” เป๊กกล่าวปิดท้าย
* * * * * * * * * * * * *
เรื่อง – ทีมข่าวบันเทิง