xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อนางแบบ “วัยเอ๊าะ” ยึดแคตวอล์ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อาชีพนางแบบกลายเป็นงานบันเทิงชิ้นใหม่ที่เด็กรุ่นนี้ใฝ่ฝันอยากจะก้าวมาเป็น เพราะรายได้งาม แถมเส้นทางนี้ยังเปิดกว้างให้ใครก็ได้ก้าวเข้ามา ขอเพียงหน้าตาโดนใจออกาไนเซอร์เท่านั้น ขณะที่นางแบบคลื่นลูกเก่าอย่างลูกเกด-ซินดี้เริ่มห่างหายไปจากแคตวอล์ก กลายมาเป็นเด็กใหม่วัยเอ๊าะแถมบางคนหน้าตาประหลาดอย่างเอเลี่ยนกลับมาครองแคตวอล์ก

*กำเนิด “นางแบบ”

คนที่ให้กำเนิดการเดินแบบในเมืองไทยจริงๆ นั้นน่าจะเป็นหม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิไกร เจ้าของห้องเสื้อ “ไกรสิงห์” ที่ได้รับการยกย่องสมัยเมื่อ 40 กว่าปีก่อนว่าเป็นดีไซเนอร์ไทยที่ทำเสื้อชั้นสูงแบบโอร์ตกูตู เพราะตัดชุดวิวาห์ได้งดงามเริดหรูมาก
หม่อมเจ้าไกรสิงห์มาโด่งดังระเบิดจริงๆ เพราะเป็นผู้ที่ตัดชุดให้ อภัสรา หงสกุล แต่งไปประกวดนางงามจักระวางจนได้ครองตำแหน่งสาวงามที่สวยที่สุดในจักรวาลมาครอบครอง

และทุกครั้งที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์ทำเสื้อผ้าขึ้นมานั้นจะมีการชักชวนบรรดาสาวๆ ที่มีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอกมาเดินแบบให้ ซึ่งสเปกของเจ้าของห้องเสื้อผู้นี้คือต้องเป็นสาวแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดและมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และอีกเหตุผลที่สำคัญนอกเหนือจากบุคลิกภาพแล้ว ผู้ที่คลุกคลีอยู่กับวงการแฟชั่นคนหนึ่งบอกเล่าเหตุผลให้ฟังว่า

“เมื่อก่อนนั้นเวลาเชิญนางแบบพวกนี้ไปเดินแบบ ท่านไกรสิงห์จะเตรียมเฉพาะเสื้อผ้าที่จะต้องสวมใส่ตอนเดินแบบให้เท่านั้น แอ็กเซสเซอรีอื่นๆ นางแบบจะต้องเป็นคนหามาเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับพวกเครื่องเพชร รองเท้า กระเป๋า ถุงน่อง หรือแม้แต่เสื้อชั้นในที่สาวนักเรียนนอกจะเลือกสวมใส่ซึ่งเป็นชุดชั้นในยี่ห้อนอกอย่าง ฮอลลีวูด วาซาเลท เป็นต้น ซึ่งชุดชั้นในพวกนี้ใส่แล้วจะช่วยให้เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูดีขึ้น”

แม้จะเริ่มปรากฏการณ์การนำสาวๆ มาเดินแบบเสื้อผ้าบนแคตวอล์ก แต่ในยุคนั้นยังไม่ถือว่ายกระดับขึ้นเป็นอาชีพนางแบบ เพราะนางแบบเหล่านั้นจะไม่ได้ “ค่าตัว” เป็นเรื่องเป็นราว อย่างมากจะได้เป็นเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ขณะเดินแบบ ดังนั้น ใครที่จะมาเดินแบบจะต้องได้รับเชิญจากเจ้าของห้องเสื้อเท่านั้น ซึ่งโดยมากจะเรียกว่า “นางแบบกิตติมศักดิ์” เพราะส่วนมากจะเป็นลูกหลานของบรรดาผู้ดีมีสกุล

ในยุคนั้นบรรดาสาว ๆ ที่จะมีโอกาสได้สวมใส่ชุดของหม่อมเจ้าไกรสิงห์ขึ้นแคตวอล์ก อาทิ พัฒนศรี บุนนาค, ม.ล.เทพินธุ์ เทวกุล, บุษบา โภคินวงศ์ เป็นต้น ซึ่งหลายครั้งที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์ลงทุนพาบรรดาสาวนางแบบกิตติมศักดิ์เหล่านี้ไปเดินแบบโชว์เสื้อผ้ากันถึงเมืองนอกทีเดียว จึงทำให้กลายเป็นกระแสที่บรรดาสาวๆ ในยุคนั้นใฝ่ฝันอยากจะได้สวมชุดของหม่อมเจ้าไกรสิงห์บนแคตวอล์กบ้าง

แต่ใช่ว่าจะมีเพียงสาวนักเรียนนอกเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ของหม่อมเจ้าไกรสิงห์ ในยุคหลังๆ ถ้าเจ้าของห้องเสื้อผู้นี้ถูกใจสาวไหนก็จะเอ่ยปากชักชวน ไม่ว่าจะเป็นโฉมฉาย ฉัตรวิไล นางเอกสาวหน้าตาลูกครึ่งในยุคนั้นก็มีโอกาสเดินบทแคตวอล์กเช่นกัน ส่วนนางแบบรุ่นสุดท้ายที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์ชักนำมาสัมผัสชีวิตบนแคตวอล์ก คือ เจี๊ยบ-พิจิตรา บุณยรัตพันธ์ ดีไซเนอร์ชื่อดัง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นนักเรียนนอกที่ปารีสอยู่

หลังจากที่หม่อมเจ้าไกรสิงห์จึงจุดอิ่มตัวแล้วก็เลิกทำเสื้อผ้า บรรดาห้องเสื้ออย่าง พรศรี ก็เริ่มมีการใช้นางแบบมาเดินโชว์เพื่อแสดงชุดของนักเรียน แต่นางแบบที่ใช้ก็เปลี่ยนไปโดยส่วนมากจะใช้นักเรียนที่เรียนอยู่ในสถาบันพรศรีมาช่วยเดิน หรือบางครั้งก็อาจจะมองหาสาวทำงานที่รูปร่างหน้าดีมาช่วยเดินให้บ้าง

ถือได้ว่าเป็นยุคแรกของ “แมวมอง” ที่หานางแบบก่อนจะก้าวมาเป็นอาชีพแมวมองในปัจจุบันนี้

แต่อย่างไรก็ตามการเดินแบบในยุคเมื่อ 30-40 ปีก่อนนั้นไม่ได้เดินกันบ่อยเหมือนในปัจจุบัน จะเดินเฉพาะงานประจำปีหรือเดินการกุศลเท่านั้น

*นางแบบอาชีพ

มีอยู่ยุคหนึ่งที่บรรดาแบรนด์เนมจากเมืองนอกเริ่มหาทางเข้ามาเจาะกระเป๋าเงินของบรรดาไฮโซเมืองไทย เนื่องจากมีคนไทยอยู่กลุ่มหนึ่งที่นิยมเดินทางไปซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากเมืองนอก ดังนั้น บรรดาแบรนด์เนมชื่อดังจากเมืองนอกจึงสนใจที่จะเข้ามาทำตลาดเมืองไทยบ้างจึงมีการนำแฟชั่นโชว์คอลเลกชันใหม่ๆ มาเดินแบบให้คนไทยดู แบรนด์เนมแรกที่เข้ามาเมืองไทยอย่างเป็นทางการคือ นีน่า ริชชี่ ซึ่งเปิดโรงแรมโอเรียนเต็ลเพื่อนำนางแบบฝรั่งมาเดินโชว์เสื้อผ้าของนีน่า ริชชี่ ให้สาวไทยได้ชม และก็ไม่ผิดหวังเพราะได้รับการต้อนรับอย่างเนืองแน่นจากบรรดาสาวไฮโซเมืองไทย จนทำให้แบรนด์เนมรายอื่น ๆ ดาหน้าเข้ามาบ้าง

ด้วยเหตุผลนี้เองจึงจุดประกายให้ไข่ - สมชาย แก้วทอง เจ้าของห้องเสื้อ Kai ย่านสยามเซ็นเตอร์ลุกขึ้นมาทำเสื้อผ้าในเชิงธุรกิจโดยใช้นางแบบคนไทยเดินบนแคทวอล์กอย่างฝรั่งบ้าง แฟชั่นโชว์ชุดแรกนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง The Great Gatsby กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองไทย เสื้อผ้าที่โชว์ขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ส่งให้ชื่อเสียงของไข่-สมชาย โด่งดังเป็นพลุ จนต้องจัดงานแฟชั่นโชว์ตามมาอีกหลายงาน และถือว่าเป็นยุคเริ่มต้นของการจัดแฟชั่นโชว์แบบมีธีมของงานเนื่องจากเริ่มมีสปอนเซอร์มาเข้าร่วม อาทิ การบินไทย เครื่องสำอางลังโคม เป็นต้น

ไข่-สมชาย ถือเป็นคนแรกที่เปิดเส้นทางให้เกิดอาชีพนางแบบขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เพราะไข่-สมชายจะจ่ายค่าตัวให้นางแบบทุกคนที่มาเดินแบบเสื้อให้ รวมถึงเริ่มมีการสาวๆ จากหลากหลายอาชีพมาฝึกเดินแบบอย่างจริงจัง โดยมอบหมายให้ วรชาติ ชาตะโสภณ มาช่วยฝึกนางแบบให้รู้จักวิธีการเดินบนแคตวอล์ก รวมถึงการโพสท่าทางต่างๆ อย่างนางแบบอาชีพฝรั่ง

เรียกได้ว่า ไข่-สมชาย ได้ปั้นนางแบบมืออาชีพเข้าสู่วงการแฟชั่นเป็นจำนวนมาก อาทิ เพ็ญพร ไพฑูรย์, ศิริเอม อุณหธูป, อาภาพรรณ ฮันเตอร์, ภาวิดา สุริยะสัตย์ เป็นต้น การจ่ายค่าตัวในยุคนั้นก็ให้กันง่ายๆ ไม่เรื่องมาก เพราะหลังจากเดินแบบจบเจ้าของห้องเสื้อก็ควักเงินสดจ่ายค่าตัวกันไปเลย ทำให้เกิดความพอใจทั้งห้องเสื้อ และนางแบบ

แต้ม - รุ่งนภา กิตติวัฒน์ อดีตนางแบบชื่อดังบอกเล่าถึงชีวิตนางแบบในยุคของเธอเมื่อ 20 กว่าปีก่อนว่า เธอแจ้งเกิดจากการเป็นนางแบบปกให้กับนิตยสารลลนา จากนั้นจึงได้วนเวียนอยู่กับแคทวอล์กมาตลอด ซี่งแต้มกล่าวว่า ในยุคนั้นแม้จะมีคำว่านางแบบอาชีพแล้วก็ตาม แต่วงการก็มีนางแบบจำนวนไม่มากนักแทบจะนับคนได้ อย่างปราณี ชัยโรจน์, อาภาสิริ นิติพน, กุสุมา ปีเตอร์ เป็นต้น

การจัดเดินแบบแฟชั่นในยุคนั้นแม้จะไม่บ่อยเหมือนยุคนี้แต่ก็เรียกได้ว่าสัปดาห์หนึ่งมีงานให้เดินถึง 2–3 งาน

“การจัดงานเดินแฟชั่นในยุคก่อนจะไม่บ่อย ส่วนมากเป็นงานเก็บเงินอย่างงานการกุศล ที่เป็นซิตดาวน์ ดินเนอร์ หรืองานที่ดีไซเนอร์จัดขึ้นเอง”

*เส้นทางสู่...แคตวอล์ก

การเข้ามาสู่เส้นทางนางแบบนั้นไม่มีกฎตายตัวแน่นอน บางคนบอกว่าขึ้นอยู่กับดวงด้วยบางคนเดินๆ อยู่ก็อาจจะมีแมวมองมาชักชวนให้ไปเดินแบบแล้วก็โด่งดังเป็นพลุแตก

นางแบบในยุคก่อนจะสงวนสิทธิ์สำหรับลูกหลานคนมีเงินเท่านั้นจึงเรียกว่า “นางแบบกิตติมศักดิ์” แต่พอสาวๆ ทั้งหลายใฝ่ฝันอยากจะเป็นนางแบบบ้านก็เริ่มมีการมองหาเส้นทางลัดเพื่อเข้าสู่วงการนี้ ซึ่งถนนสู่นางแบบมิใช่มีเพียงสายหลักแค่สายเดียว
นิตยสารผู้หญิงถือเป็นเส้นทางหลักในการแจ้งเกิดนางแบบบนแคตวอล์กมาไม่น้อย
ยิ่งในยุคก่อนที่มีนิตยสารผู้หญิงเพียงไม่กี่ฉบับนั้นถือเป็นสื่อที่ใครต่อใครก็จับตามองสาวที่มาขึ้นปก อย่างนิตยสารสกุลไทยที่มักจะนำสาวสวยลูกผู้ดีมีสกุลมาขึ้นปก แต่คนที่ทำให้พื้นที่หน้าปกของนิตยสารกลายมาเป็นยอดฮิต คือ บุรินทร์ วงศ์สงวน ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการนิตยสารบีอาร์ บุรินทร์มักมองหาสาวนักเรียนนอกที่โก้ๆ มาขึ้นปกและเมื่อไปต้องตาดีไซเนอร์ห้องเสื้อ เธอเหล่านั้นก็จะถูกดึงตัวไปเดินแบบต่อจากนั้น นางแบบและนายแบบที่ได้เกิดจากปกของนิตยสารบีอาร์คือ พิสมัย จันทรุเบกษา และโยธิน ณ นคร เป็นต้น

ต่อจากนั้นก็เป็นยุคของนิตยสารลลนา และดิฉัน ซึ่งขับเคี่ยวกันแข่งขันหานางแบบมาขึ้นปกอย่างไม่มีใครยอมกัน ลลนา ในยุคของสุวรรณี สุคนธา เป็นบรรณาธิการจะให้ความสำคัญกับเรื่องแฟชั่นมาก และกล้าที่จะฉีกแนววงการแฟชั่น ดังนั้น ลลนาจึงสร้างนางแบบที่มีความแปลกใหม่อยู่เสมอ นางแบบที่แจ้งเกิดบนปกนิตยสารลลนา อาทิ เพ็ญพักตร์ ศิริกุล ซึ่งตอนนั้นยังเป็นดาราเล็กๆ อยู่ รุ่งนภา กิตติวัฒน์, อรนภา ควรตระกูล, เปรมิกา สุจริตกุล เป็นต้น

สำหรับดีไซเนอร์หลายคนที่มองว่าการใช้นางแบบที่แจ้งเกิดจากปกนิตยสารนั้นจะมีส่วนช่วยคัดเลือกความสามรถในระดับหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่สามารถสร้างกระแสความแรงให้กับเสื้อผ้าได้มากเท่ากับการให้นางแบบคนนั้นไปเดินบนแคทวอล์ก เพราะวิธีการเช่นนั้นจะทำให้บรรดาลูกค้าไฮโซแห่ไปดูและรุมกันซื้อเสื้อผ้ากันจนหมดเกลี้ยง

อย่างไรก็ตาม ในยุคก่อนก็มีคนหัวใสเริ่มจัดการประกวดนางแบบขึ้นเป็นครั้งแรกของเมืองไทยในชื่อการประกวด 10 ยอดนางแบบ เวทีนี้ก็ได้สร้างนางแบบอาชีพมาประดับวงการในยุคแรกไม่น้อย อาทิ อนุรี เจริญวงศ์, มลนิกา สงวนแก้ว ซึ่งถือเป็นนางแบบยุคแรกของสาวธรรมดาที่ไม่ใช่พวกนามสกุลดัง แถมพวกนี้จะพยายามฝึกฝนตัวเองทั้งวิธีการเดิน ฟิตรูปร่างเพื่อจะเข้ามาสู่อาชีพนางแบบ

จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ การหานางแบบจึงมีความหลากหลายขึ้น ทั้งเอเยนซี โมเดลลิ่ง แมวมอง ออแกไนเซอร์ นิตยสาร รวมถึงการจัดประกวดหลากหลายเวที เรียกได้ว่าความใฝ่ฝันที่จะเข้ามาเดินบนแคตวอล์กของคนยุคนี้ไม่อยากเกินเอื้อมอีกแล้ว

*สเปกนางแบบกับยุคสมัย

หลายคนอาจจะคิดว่าคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนางแบบนั้นจะต้องสูงยาวเพรียวและสวย แต่สำหรับวงการนางแบบเมืองไทยแล้วรสนิยมในการเลือกนางแบบมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยหลายรอบด้วยกัน

ในยุคแรกดีไซเนอร์จะมองเพียงแค่สาวเปรี้ยวแต่งตัวโก้ และมีความมั่นใจในตัวเองสูง โดยเธอคนนั้นอาจจะมีรูปร่างไม่สูงมากนักก็ไม่เป็นไร เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ตัดขายเฉพาะสาวไทยไม่ใช่ไซส์ฝรั่ง

พอมายุคเสื้อผ้าแบรนด์เนมบุกเมืองไทย บรรดานางแบบที่จะสวมใส่เสื้อผ้าไซส์ฝรั่งได้จะต้องเป็นสาวหุ่นสูงเพรียว แขนขายาว ตอนนี้ก็ถึงเวลาของผู้หญิงไทยหุ่นสูงเพรียวแขนขายาวได้เกิดบ้าง อย่างไปรยา ลุลิตานนท์, ปราณี ชัยไรจน์ เป็นต้น

ต่อมาวงการนางแบบเริ่มเปิดกว้างขึ้นโดย ไข่-สมชาย แก้วทอง ที่สร้างอาชีพนางแบบขึ้นมาคู่กับวงการแฟชั่น ในยุคนั้นถือเป็นยุคทองของดีไซเนอร์เมืองไทย มีห้องเสื้อชื่อดังเกิดขึ้นมามากมาย อาทิ ไข่ –สมชาย แก้วทอง, ป๋อง-องอาจ นิรมล, เหน่ง-ปริญญา มุสิกมาส, พิจิตรา บุณยรัตพันธ์, ธีระพันธ์ วรรณรัตน์, ตั้ว-ดวงใจ บีส เป็นต้น ส่งผลให้วงการนางแบบมืออาชีพก็ฮิตติดชาร์จไปด้วย

นางแบบในยุคนี้จึงมีความหลากหลาย มีการดึงนางแบบจากหลายวงการทั้งดาราบางคนก็กระโดดเข้ามาสู่วงการนางแบบ ขณะเดียวกันนางแบบบนแคตวอล์กไม่น้อยที่เมื่อโด่งดังแล้วก็ถูกจับตัวไปเป็นดารา อย่าง เจี๊ยบ กาญจนาพร ปลอดภัย, เข็ม-รุจิรา ช่วยเกื้อ หรือแม้กระทั่งเวทีประกวดนางงามต่างๆ ก็มีโอกาสสร้างนางแบบมาประดับลวงการเช่นกัน อย่าง ลูกเกด – เมทินี กิ่งโพยม เป็นต้น

เมื่อเข้าสู่ยุคฟองสบู่กำลังแตกฟอง เศรษฐกิจเฟื่องฟูคนไทยนิยมแบรนด์เนมกันมากโดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องบินไปช้อปกันถึงเมืองนอก จึงทำให้เสื้อผ้าแบรนด์ดัง ๆ มาเป็นชอปกันในเมืองไทยมากขึ้น รวมทั้งมีการเสาะหานางแบบที่จะต้องมาเดินแบบเสื้อผ้าแบรนด์ฝรั่ง จึงเป็นต้นกำเนิดของนางแบบ “ลูกครึ่ง” เพราะนอกจาหน้าตาจะสวยแล้วรูปร่างที่สูงโปร่งเพรียวงามจะได้เปรียบในการสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมได้สวยงาม ส่วนนางแบบสวยแต่เตี้ยก็เริ่มตกงานไปตามระเบียบ

นางแบบลูกครึ่งที่เดินเรียงแถวขึ้นสูงแคตวอล์กมีมากมาย อาทิ “เยลหลี” เยอราดีน ลี ริคอเดล, เฮเลน-ปทุมรัตน์ วรมาลี, ซินดี้-สิรินยา เบอร์บริดจ์, มาริสา แอนนิต้า, ซาร่า มาลากุล เลน

นางแบบลูกครึ่งครองแคตวอล์กมากกว่า 10 ปี จึงเริ่มเข้าสู่ยุคชอบของแปลกอย่างในตอนนี้

*ยุคทองของนางแบบ

ปัจจุบันนี้ต้องเรียกว่า เป็นยุคของนางแบบวัยเอ๊าะครองเมือง เนื่องจากกระแสของแฟชั่นเสื้อผ้าทั้งโลกเปลี่ยนจากแบบหรูหราฟู่ฟ่ามาเป็นแนว ready to wear หรือสู่ยุคเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เก๋ นางแบบที่จะมาแต่งชุดประเภทนี้ได้ส่วนมากจะต้องเป็นนางแบบเด็กๆ วัยสดใส

ดังนั้น จึงเข้าสู่ยุคผลัดเปลี่ยนนางแบบจากยุคลูกครึ่งครองเมืองมาสู่ยุคนางแบบวัยเอ๊าะที่ต้องมีความแปลกใหม่สดในตัวเอง รวมถึงเส้นทางจะแจ้งเกิดเป็นนางแบบบนแคทวอล์กได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับออกาไนเซอร์เป็นหลัก

ตือ-สมบัษร ถิระสาโรจน์ ออแกไนเซอร์ชื่อดังแห่งยุคถือว่าเป็น “เจ๊ดัน” ตัวจริงเสียงจริงของวงการแคตวอล์กในเวลานี้ เพราะยุคนี้ไม่ว่าจะเปิดตัวสินค้าอะไรก็ตามบรรดาออแกไนเซอร์จะต้องมีการเดินแบบแทรกเข้าไปด้วยทุกงาน จึงทำให้ต้องค้นหานางแบบหน้าใหม่ๆ เข้าสู่วงการอยู่ตลอดเวลา

อย่างนางแบบที่ ตือ สมบัษร ช่วยตัดสายสะดือให้แจ้งเกิดในวงการแคทวอล์ก อาทิ จี๊ด-แสงทอง เกตุอู่ทอง, ลูกหมี รัศมี ทองศิริไพรศรี, เดือน นิวัตรา ขำแก้ว เป็นต้น ซึ่งนางแบบเหล่านี้ ตือ-สมบัษร ออกตัวว่าแม้จะเป็นคนจูงมือให้เข้ามาในวงการนางแบบแต่นางแบบเหล่านี้จะไม่มีสังกัด คือใครก็สามารถว่าจ้างได้

นอกจากนี้ ตือ สมบัษร ยังบอกว่า อาชีพนางแบบในยุคนี้หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำสามารถสร้างฐานะมีเงินให้พ่อแม่ใช้ได้อย่างสบาย เพราะจะมีงานให้นางแบบเดินได้เกือบทุกวัน และนางแบบยุคใหม่ก็ยกระดับขึ้นมาก คือมีทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรี ไปจนถึงกำลังศึกษาปริญญาโทอยู่ก็มี

โดยเฉพาะตอนนี้นางแบบที่กำลังฮิตฮอตงานชุกที่สุด คือ เอเลี่ยน สุธาสินี บำรุงพงศ์ ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่ ตือ สมบัษร ชักชวนเข้ามาวงการเช่นกัน แม้เอเลี่ยนจะมีหน้าตาฉีกแนวจากบรรดานางแบบที่เคยมีอยู่นั้น แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการเดินแบบบนแคตวอล์ก มิหนำซ้ำกลับดังกว่าคนอื่นด้วยซ้ำเพราะความแปลกใหม่ของเธอเอง

“เอเลี่ยนเข้ามาในวงการนางแบบในยุคที่วงการกำลังมองหาความแปลกใหม่พิเศษเป็นลูกครึ่งไทยจีน ตอนแรกเจอก็เรียกมาคุยเพื่อดูนิสัย ดูความเรียบร้อย ครอบครัว การเรียน เพราะเราดึงพวกเด็กกลุ่มนี้มาเราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกเขาด้วย งานแรกให้เดินงานเพชรเดอเบียร์เลย ปรากฏว่าโดนทุกคนด่าหมดเพราะความที่หน้าตาแปลก ตอนนั้นใครเดินเพชรยังต้องหน้าตาสวยด้วย แต่เราก็บอกว่าเดี๋ยวก็ส่องประกายเอง เอเลี่ยนมาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในการแอล แฟชั่นวีคของปีที่แล้ว จากนั้นก็ดังระเบิด”

*ลูกเกด-ซินดี้ ครองแคตวอล์ก

แม้ว่าปัจจุบันนางแบบวัยเอ๊าะจะเริ่มครองแคตวอล์ก แต่นางแบบดาวค้างฟ้าอย่างลูกเกดและซินดี้ก็ใช่ว่าจะเป็นนางแบบตกกระป๋อง ทั้งนี้ดีไซเนอร์รวมทั้งออกาไนเซอร์ทุกคนต่างยืนยันว่า นางแบบทั้ง 2 นี้น่าจะนับได้ว่าอยู่ในขั้น“อมตะนิรันดรกาล”

“การเป็นนางแบบไม่ใช่จะต้องสวยและเดินเก่งอย่างเดียว นางแบบมืออาชีพที่ดีจริงๆ นั้นจะต้องมีวินัย ตรงต่อเวลาและมีความรับผิดชอบสูงจึงจะอยู่ในวงการนี้ได้นานๆ” ตือ-สมบัษร กล่าว

และทั้ง ลูกเกด และซินดี้ ก็มีคุณสมบัติเช่นนั้นอยู่ ดังนั้น ใครที่ทำงานกับ 2 นางแบบนี้ก็จะสบายใจหายห่วง เรียกได้ว่าไม่ต้องพูดกันมากก็สามารถทำได้ดั่งใจต้องการ แต่ตอนนี้อาจจะเป็นยุคของเสื้อผ้าวัยรุ่นที่ต้องการนางแบบหุ่นผอมแบน ขณะที่เมื่อใดที่มีการเดินแบบแฟชั่นเพชรหรือเสื้อผ้าชุดอลังการแล้วทั้งลูกเกด และซินดี้จะกลายเป็นจุดเด่นของงานตลอดกาล

ยุคทองของนางแบบได้หวนกลับมาอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นยุคของเด็กวัยเอ๊าะที่สามารถหาเงินได้ง่ายๆ เพราะเดินครั้งหนึ่งรับเงินสด 8,000 บาทถึงหมื่นกว่าบาท จนทำให้นางแบบรุ่นเก่าๆ ต้องค้อนเพราะความอิจฉาทีเดียว แต่ถ้าเปรียบนางแบบยุคนี้กับยุคก่อนแล้ว นางแบบยุคก่อนกล้าฟันธงว่าแม้เงินจะน้อยไปหน่อย แต่ก็มีเกียรติมากกว่าเพราะงานเดินแฟชั่นยุคนี้ถือเป็นส่วนเสริมของงานอีเว้นท์ ขณะที่ใครจะเข้าไปดูนางแบบยุคก่อนเดินนั้นต้องตีตั๋วเสียเงินเข้าไปดูนะจะบอกให้!!!

***********

“เอเลี่ยน” ขายความแปลก

“เอเลี่ยน” ถือเป็นนางแบบในยุคนี้ที่มีงานชุดมากที่สุดทั้งๆ ที่หน่าตาของเธอแสนจะแปลกประหลาด จนแม้กระทั่งเจ้าตัวยังไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะมีโอกาสมายืนบนแคตวอล์กได้อย่างเช่นทุกวันนี้

เอเลี่ยน-กัญญณัท บำรุงพงษ์ นางแบบสาววัย 19 ปี เป็นน้องใหม่สไตล์ Exotic ติดผังนางแบบ แม้รูปร่างเป็นทรงตรงจนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนล้อว่าเป็นตัวการ์ตูน แต่ได้หน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างที่เจ้าตัวเรียกว่าตัวเองว่า “หนูหน้าแปลก” ประกอบกับแขนขายาวเลยทำให้สาวเอเลี่ยนคนนี้มี “จุดขาย”

เอเลี่ยนยอมรับว่า นางแบบในยุคนี้ต้องมีจุดขาย และการเป็นคนหน้าแปลกของเธอ ทำให้กลายเป็นสิ่งที่สังคมแฟชั่นในยุคนี้ยอมรับ "เมื่อก่อนคิดว่านางแบบไทยต้องสวย หุ่นดีมีหน้าอก มีเอว มีสะโพก เลยไม่คิดว่าตัวเองจะมาเป็นนางแบบ เพราะหุ่นลีบ ตรง ไม่มีหน้าอก แถมยังหน้าตาแปลก!!!"

ย้อนยุคไปในวัยเด็กของเอเลี่ยน เจ้าตัวบอกยอมรับว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นนางแบบ แต่ด้วยบุคลิกที่ว่าเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้และชอบสิ่งท้าทายที่แปลกใหม่ เลยอยากลองประชันเวทีนางแบบของไทย “พออายุ 15 ก็ส่งรูปเข้าประกวดงาน ฟอร์ดโมเดล อวอร์ด แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะได้รับคัดเลือกเพราะตัวเองไม่สวย หลังจากนั้นเขาก็โทรมาบอกว่า ติดอันดับ 1 ใน 10 นางแบบและได้เป็นตัวแทนไปโชว์ตัวที่นิวยอร์ก ตอนนั้นก็เซอร์ไพรส์มาก เพราะเรายังเด็กถือว่าเป็นเวทีแรกที่ได้ทำ”

แม้ในช่วงเริ่มต้นเส้นทางของอาชีพนางแบบ เอเลี่ยนไม่ได้มีความรู้อะไรมาก มีแค่คำว่า “สักแต่ว่าเดิน” แต่เจ้าตัวก็มั่นใจในรูปร่าง หน้าตาที่เป็นสิ่งที่พระเจ้าให้มา เพราะความที่หน้าแปลกทำให้เธอคว้ารางวัลได้ในอีกหลายเวที

“หลังจากประกวดเวทีฟอร์ด ก็เข้าประกวดบนเวที เดอะ บอย และเวทีแฟชั่นของ FTV เวทีนี้เองที่ได้แจ้งเกิดบนเวทีแคตวอล์ก โดยได้รางวัล เบสท์ ฟิกเกอร์ อวอร์ด”
ในเวลาการเข้าประกวด เอเลี่ยนยอมรับว่าไม่ได้เข้าประกวดเพื่อล่ารางวัล แต่เป็นการล่าประสบการณ์ ที่ทำให้เธอได้ฝึกทักษะการเดินแบบในลักษณะที่โกอินเตอร์ขึ้น “นางแบบรุ่นใหม่หลายคนที่แจ้งเกิดจากเวทีนางแบบ เพราะมันให้ประสบการณ์มากมายกับเรา ทำให้เราได้เรียนรู้สังคมอีกแบบหนึ่ง มีความมั่นใจ และที่สำคัญยังเป็นใบเบิกทางให้เราในวงการนางแบบได้”

จากเด็กหญิงตัวผอม สูง เวลาเดินกับเพื่อนๆ ก็ต้องทำหลังค่อม เพื่อไม่ให้ดูสูงเด่น จนตอนนี้กลายเป็นเด็กสาวผู้มั่นใจ เดินหลังตรง สง่าผ่าเผย เจ้าตัวบอกว่ามาอยู่ในวงการนี้มั่นใจในความสูงของตัวเองมากขึ้น เพราะมีคนรอบข้างที่สูงในระดับเดียวกัน

เมื่อถามถึงการแจ้งเกิดของนางแบบรุ่นใหม่ที่นับวันจะงานชุกขึ้นเรื่อยๆ เอเลี่ยนเล่าว่าตัวเองได้แจ้งเกิดบนแคตวลอ์กอย่างเต็มตัวบนแคตวอล์ก บางกอกแฟชั่นซิตี้ ครั้งเปิดตัวโครงการกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น โดยได้ส่งพอร์ตโฟลิโอผลงานของตัวเองให้กับ ตือ-สมบัษร ถิระสาโรช ออกาไนเซอร์มือโปรของไทยและหลังจากนั้นก็ได้รับงานเรื่อยๆ เพราะนอกจากการเป็น “เด็กปั้น” ของออแกไนเซอร์แล้ว นางแบบคนนี้ยังเป็นที่ถูกใจของแบรนด์ในยุคสมัยนี้อีกด้วย

“การที่นางแบบแต่ละคนจะได้รับงานนั้น มันขึ้นอยู่กับเจ้าของแบรนด์และลักษณะเสื้อผ้า ว่าเราสามารถนำเสนอมันออกมาได้ดีหรือเปล่า ส่วนมากแฟชั่นโชว์ที่เดินเป็นเสื้อผ้าของคนรุ่นใหม่ เน้นความเก๋ และมีสไตล์ ถ้าจะให้คนหุ่นผอม ไม่มีหน้าอก ไปใส่ชุดผ้าไหม ก็คงไม่ได้ เพราะนางแบบชุดผ้าไหมก็ต้องเป็นคนหุ่นดี มีหน้าอก มีสะโพก หรือจะให้ไปเดินแบบให้กับจิวเวลรี่ก็ไม่ได้ เพราะหน้าเราเด่นกว่าเครื่องประดับเหล่านั้น”

เมื่อได้รับงานเรื่อยๆ สาวเอเลี่ยนก็ต้องพัฒนาฝีเท้าและลีลาของตัวเอง เพราะจากการเดินดุ่มๆ ไม่เป็นจังหวะในช่วงแรก สาวขายาวหน้าแปลกคนนี้ ก็พร่ำฝึกฝนการเดินของตัวเอง ด้วยการฟังเพลงฮิปฮอป นับจังหวะ แล้วก้าวตามจังหวะนั้นๆ ดูแฟชั่นโชว์จากต่างประเทศ และที่สำคัญ เอเลี่ยนเลือกสร้างจุดขายให้ตัวเองที่ถือว่าเป็นไฮไลต์เด็ด ด้วยการสร้างมู้ดให้กับคนดู “เวลาหยุดโพสท์ท่า ก็จะทำหน้าตางอนๆ หรือบึ้งๆ คนดูก็จะสนใจเรา”

แม้เส้นทางนี้จะไม่มั่นคงสำหรับนางแบบหน้าแปลกและแต่งสวยไม่ได้ แต่การได้ก้าวเข้ามาทำในจุดนี้ทำให้เอเลี่ยนต้องทำงานอย่างเต็มที่ และสาวน้อยวัย 19 คนนี้ ตั้งใจจะยึดนางแบบเป็นอาชีพและตั้งใจจะไปเดินแคตวอล์กที่ปารีสให้ได้ในอนาคต เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า จะทำงานบนแคตวอล์กไปจนกว่าลูกค้าจะไม่มอง บนแนวคิดที่ว่า “ซีซันนี้เขาอาจจะฮิตนางแบบแบบเรา แต่ซีซันหน้าอาจจะเป็นทีของนางแบบที่หุ่นสวย อึ๋ม ก็ได้”










กำลังโหลดความคิดเห็น