ภาพประชาชนจำนวนมากไปเฝ้ารอรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จฯ เยือนสถานที่ต่างๆ คงไม่ต้องมีคำอธิบายว่า พระเจ้าแผ่นดินที่ 9 ของราชวงศ์จักรีพระองค์นี้ ทรงเป็นที่รักใคร่เทิดทูนของราษฎรเพียงใด
หากมีโอกาส เชื่อว่าพสกนิกรชาวไทยทุกคนย่อมต้องอยากเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านสักครั้งในชีวิต แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งแล้ว แม้จะไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิด แต่เพียงการได้มีโอกาสถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอยู่ห่างๆ แม้เพียงเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็ทำให้พวกเขาปลื้มปีติที่ได้ทำหน้าที่ “ข้า” รองพระบาทของแผ่นดิน เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณองค์พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
เข็มนาฬิกาแห่งความภักดี
ของ “อ.ลักษณ์เทฆนิคการช่าง”
ท่ามกลางเสียงยวดยานจอแจและผู้คนมากมายที่ละแวกท่าพระจันทร์ ร้านนาฬิกาแห่งหนึ่งตั้งอยู่อย่างเงียบๆ ไร้การตกแต่งอย่างหรูหราสะดุดตาเหมือนร้านนาฬิกาหรูบนห้าง แต่ทว่าการตกแต่งอย่างเรียบง่ายนี้กลับสะท้อนเอกลักษณ์บางอย่างจากชายผู้เป็นเจ้าของร้าน “อ.ลักษณ์เทฆนิคการช่าง”
ในวัย 62 ปี “อ.ลักษณ์” หรือนามเต็มว่า อนุลักษณ์ ตาณพันธุ์ ยังคงลงมือซ่อมนาฬิกาเอง แม้จะเป็นนายห้างแล้วก็ตาม ฝีมือการซ่อมนาฬิกาของเขานั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยประสบการณ์กว่า 40 ปีในวงการนาฬิกา ทำให้ลูกค้าที่นำนาฬิกามาซ่อมต่างไว้วางใจหายห่วงได้ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิการาคาเรือนละไม่กี่พันไปจนถึงหลักล้าน หากผ่านมือนายช่างผู้นี้ รับรองกลับมาเดินดีทุกราย !!
แต่เรื่องราวที่น่าสนใจและหลายคนที่เดินผ่านไปมาบนถนนมหาราช แถบท่าพระจันทร์อาจไม่เคยทราบหรือสังเกตก็คือ สัญลักษณ์ “ตราครุฑ” ที่ติดอยู่บริเวณหน้าร้าน “อ.ลักษณ์เทฆนิคการช่าง” แห่งนี้ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
ตราครุฑดังกล่าวนั้น เป็นตราครุฑที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ร้าน “อ.ลักษณ์เทฆนิคการช่าง” ในฐานะที่นายช่าง อ.ลักษณ์ ได้รับพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นช่างแก้นาฬิกาส่วนพระองค์
นาฬิกาในพระราชสำนักแทบทุกเรือน นับตั้งแต่นาฬิกาส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ล้วนทรงให้ช่าง อ.ลักษณ์แก้ไขให้
แต่เมื่อเราไปพูดคุยกับเขา ช่างแก้นาฬิกาส่วนพระองค์ผู้นี้กลับมิได้สำคัญตัวว่าใหญ่โตประการใด ตรงกันข้าม เขากลับภาคภูมิใจเพียงแค่ว่าได้ใช้วิชาชีพช่างนาฬิกาที่ร่ำเรียนมาถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทเท่านั้น
“ในชีวิตของผมมีผู้มีพระคุณอยู่ 2 คน คือ พ่อแม่ กับในหลวง” คือคำกล่าวสั้นๆ แต่สะท้อนความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ประหนึ่ง “พ่อหลวงของแผ่นดิน” อย่างชัดเจนของ อ.ลักษณ์
อ.ลักษณ์เล่าว่า หลายสิบปีก่อนหน้านี้เขาได้เดินทางไปศึกษาจนได้ปริญญามาสเตอร์ด้านวิศวกรรมการแก้นาฬิกาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาก็ได้เข้าทำงานในบริษัทนาฬิกาฝรั่งในเมืองไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ช่วงนี้เองที่ชื่อเสียงด้านฝีมือการซ่อมนาฬิกาของ อ.ลักษณ์ เป็นที่กล่าวขานในวงการนาฬิกาไทยอย่างกว้างขวาง ถึงขนาดมีผู้ตั้งสมญานามให้เขาว่าเป็นช่างแก้นาฬิกา “มือทอง” ของวงการ
“การแก้นาฬิกาเป็นเรื่องของวิศวกรรม ส่วนประกอบของนาฬิกามันเล็กกว่าเส้นผมเสียอีก จึงเป็นสิ่งละเอียดอ่อนมาก นิสัยผมถ้าจะทำต้องทำให้ดี คนที่จะเป็นช่างแก้นาฬิกาได้จะต้องอดทน ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เก่ง นาฬิกาเก่าเป็นหลายร้อยปีผมก็ยังรู้จักไม่หมด ส่วนนาฬิการุ่นใหม่ๆ ผมก็ยังเห็นไม่ทั่ว ยังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา” อ.ลักษณ์กล่าวอย่างถ่อมตัว
อ.ลักษณ์กล่าวอีกว่า ต่อมาเขาได้ลาออกจากบริษัทเดิม แล้วมาเปิดห้างนาฬิกาเป็นของตนเอง โดยใช้ชื่อว่า “อ.ลักษณ์เทฆนิคการช่าง” ชื่อเสียงและฝีมือของ อ.ลักษณ์ ทำให้มีลูกค้าหลายระดับมาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย ตั้งแต่ เศรษฐี พ่อค้า ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง ไปจนกระทั่งนายกรัฐมนตรีหลายสมัย อาทิ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้น รวมทั้งนาฬิกาขององค์สมเด็จพระสังฆราช
กระทั่งวันหนึ่ง มีข้าราชการสำนักพระราชวังผู้หนึ่งได้เชิญนาฬิกาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมายังร้านเพื่อให้ อ.ลักษณ์ซ่อมแซม นับจากนั้นเขาก็มีโอกาสถวายการรับใช้แก้ไขนาฬิกาส่วนพระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้ว
เมื่อคราวกรุงเทพมหานครจัดงานฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 200 ปีนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ อ.ลักษณ์รับผิดชอบการแก้ไขนาฬิกาโบราณตามพระที่นั่งต่างๆ อาทิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ฯลฯ เพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะ
ในเวลานั้น อ.ลักษณ์ต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาจนกระทั่งป่วยไข้ แต่ก็ยังมุ่งมั่นอุตสาหะถวายการรับใช้อย่างไม่ย่อท้อ กระทั่งในที่สุดเขาก็สามารถแก้ไขนาฬิกาทั้งหมดได้สำเร็จทันเวลา
แต่ผลงานที่ อ.ลักษณ์ภาคภูมิใจมากที่สุด คือ การมีโอกาสได้ถวายการรับใช้แก้ไขนาฬิกาส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อ.ลักษณ์ กล่าวว่า นาฬิกาเรือนดังกล่าวเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะขนาดเล็ก และสามารถเล่นเพลงได้ ซึ่งเป็นนาฬิกาที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชทานให้เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ในหลวงท่านจึงทรงรักนาฬิกาเรือนนี้มาก
ผลจากการที่ช่าง อ.ลักษณ์ สามารถแก้ไขนาฬิกาเรือนดังกล่าวนั่นเอง ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสรับสั่งชมเชยในการแก้นาฬิกาของ อ.ลักษณ์ และได้พระราชทานเหรียญส่วนพระองค์ ราชรุจิ ทอง-เงิน แก่เขาอีกด้วย
แต่ อ.ลักษณ์ก็ยังตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างเงียบๆ ไม่เห่อเหิมกับเกียรติยศที่ได้รับพระราชกรุณาแต่ประการใด เมื่อในหลวงทรงตรัสถามว่าเขาอยากได้สิ่งใดตอบแทน หรือต้องการไปทำงานกับพระองค์หรือไม่ อ.ลักษณ์เพียงแต่ทูลตอบว่า “ขอรับใช้พระองค์ท่านแบบนี้ต่อไป และหากมีพระราชประสงค์จะให้เขารับใช้สิ่งใดก็สามารถเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ”
เขาให้เหตุผลกับเราว่า “ทุกวันนี้ผมกินแค่มื้อเดียว คนเราไม่ช้าก็ตาย แต่คนไม่รู้จักพอ ผมรู้ตัวว่าต้องตาย ไม่อยากได้อยากมีอะไร ผมไม่อยากได้เงินทองหรือสายสะพาย นาฬิกาทุกเรือนที่ตั้งใจซ่อมถวายไม่เคยเรียกร้องเงินตอบแทนจากพระองค์ท่าน” นี่คือคำตอบของ “ข้า” แผ่นดินอย่างแท้จริง
ป้าเล็ก ลอประยูร
ผู้สืบสายช่างทองหลวง
ห่างจากท่าพระจันทร์มาไม่ไกล ในชุมชนบ้านตรอกสุเหร่า ละแวกมัสยิดจักรพงษ์อันเงียบสงบ เป็นแหล่งกำเนิด “ช่างทองหลวง” ที่ทำทองส่งเข้าราชสำนักไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และทุกวันนี้ เหลือเพียงเชื้อสายของช่างทองหลวง ฝีมือประณีตโบราณ คนสุดท้ายในประชาคมบางลำพู
ด้วยความที่ถือกำเนิดในครอบครัวช่างทำทอง ป้าเล็ก ลอประยูร วัย 78 ปี จึงได้สัมผัสคลุกคลีกับลวดลายอันวิจิตรของเครื่องประดับต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก ป้าเล็กย้อนความทรงจำให้ฟังว่า สมัยนั้นละแวกบ้านเป็นถนนดินทั้งหมด มีประตูใหญ่ที่พอเย็นย่ำก็จะปิดไม่ให้คนนอกเข้า แต่กระนั้น ประตูเล็กๆ ของชาวบ้านริมถนนก็มีโอกาสเปิดรับเจ้านายทั้งระดับพระองค์เจ้า และหม่อมเจ้าที่ทรงเข้ามาสั่งทำเครื่องทองอยู่ไม่ขาด
ที่บ้านแม่ของป้าเล็กเองก็จะคึกคักไปด้วยเสียงตอก สลัก และเสียงพูดคุยกันในหมู่ช่าง โดยมี “อาเติม” อาของป้าเล็กเป็นคนเขียนแบบด้วยความชำนาญ ป้าเล็กที่เป็นเพียงเด็กหญิงในเวลานั้นจึงซึมซับบรรยากาศดังกล่าวไว้โดยไม่รู้ตัว ป้าเล็กบอกว่าตอนแรกก็ไม่ได้ชอบการทำทอง แต่ความจำเป็นก็บังคับเมื่อพ่อของป้าเล็กเสียชีวิตลง ป้าเล็กจึงต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ทำทอง ตั้งแต่อายุเพียง 11 ขวบ
ป้าเล็กเล่าว่า สมัยนั้นงานที่บ้านมักจะทำส่งเข้าวังเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่ป้าเล็กเคยช่วยแม่ ช่วยอาทำอยู่บ่อยๆ ซึ่งทุกชิ้นนั้นจะแกะสลักด้วยมือทั้งสิ้น แต่เมื่ออาของป้าเล็กอายุมากขึ้น ทางวังจึงได้เปลี่ยนไปสั่งจากช่างอื่นแทน แต่กระนั้นป้าเล็กก็ยังเก็บรักษาเครื่องราชฯ บางส่วนไว้เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึง ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งตระกูลช่างทองมุสลิมแห่งนี้ ได้มีโอกาสถวายการรับใช้พระเจ้าอยู่หัวของไทยมาหลายแผ่นดิน
ป้าเล็กกล่าวในฐานะชาวไทยเชื้อสายมุสลิมว่า “เรามาอยู่เมืองไทย เราก็ต้องเคารพในหลวง ป้าก็อยากจะถวายพระพรให้ท่านมีความสุข เราจะไปเข้าวัดก็ทำไม่ได้ ก็ได้แต่ขอพรจากพระเจ้าให้ท่าน เราก็นึกอยู่เสมอว่า เรายังมีบุญที่มีในหลวง ที่ท่านทรงดูแลประเทศเราให้ร่มเย็น”
“รอยพระบาท” ที่ร้าน ก.เปรมศิลป์
จากชายหนุ่มต่างจังหวัดเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างร้านรองเท้าในเมืองกรุง ค่อยๆสะสมประสบการณ์และเก็บหอมรอมริบ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้เป็นเถ้าแก่ร้านรองเท้าของตัวเอง ใครเลยจะรู้ว่าวันหนึ่ง “ศรไกร แน่นศรีนิล” หรือ “ช่างไก่” จะได้รับโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งแก่ชีวิต ในการเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสถวายการรับใช้พ่อของแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ช่างไก่ยังจำถึงเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่ลืม แม้จะผ่านมา 2 ปีกว่าแล้วก็ตาม “เช้าวันนั้นผมก็ทำงานซ่อมรองเท้าอยู่หน้าร้านปกติเหมือนทุกวัน แต่แปลกไปตรงที่มีลูกค้าคนหนึ่งประคองพานรองเท้าเข้ามาวางแล้วก้มลงกราบ ผมก็ตกใจถามเขาว่าเอาอะไรมาให้ผม เขาบอกว่ารองเท้าของพระองค์ท่าน แค่นั้นผมก็ขนลุกเลยครับ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้รับใช้ตรงนี้”
ฉลองพระบาทคู่แรกของในหลวงที่นำมาซ่อมนั้นเป็นรองเท้าหนังสีดำทำในเมืองไทย ราคาไม่แพง และเท่าที่ช่างไก่สังเกตเห็น เขาเล่าว่ารองเท้าคู่นั้นอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งานมาหลายสิบปี ภายในรองเท้าผุกร่อนหลุดลอกหลายแห่ง ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปก็อาจจะทิ้งไปแล้ว แต่พระองค์ท่านกลับทรงให้มหาดเล็กนำมาซ่อมเพื่อใช้งานต่อ ช่างไก่ได้ทราบจากมหาดเล็กผู้นั้นว่า รองเท้าหนังสีดำคู่นี้คือฉลองพระบาทคู่โปรดของในหลวง
เมื่อได้ทราบดังนั้น แม้จะมีความประหม่าเกร็งในการทำงาน แต่ช่างไก่ก็ลงมือซ่อมแซมฉลองพระบาทนั้นอย่างสุดฝีมือ โดยสั่งลูกน้องทุกคนให้ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และเก็บชิ้นส่วนวัสดุของฉลองพระบาทไว้ทุกชิ้น แม้แต่เศษธุลี ด้วยตระหนักว่านับเป็นความโชคดีอย่างหาที่สุดมิได้ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ แต่ก็สามารถนำวิชาชีพช่างทำรองเท้ามารับใช้สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้
“เศษวัสดุทุกชิ้นเป็นสิ่งที่ผมเก็บไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ผมเคยดูข่าวเวลาในหลวงท่านเสด็จพระราชดำเนินก็มีคนเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้พระองค์ท่านทรงเหยียบ แต่ผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดมากกว่านั้น ก็เลยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน จึงเก็บรักษาไว้อย่างดี ให้ดีที่สุดเท่าที่ร้านเล็กๆ อย่างเราจะทำได้”
หลังจากนั้น ช่างไก่มีโอกาสซ่อมฉลองพระบาทอีก 4 คู่ โดยฉลองพระบาทคู่หนึ่งชำรุดเนื่องจากถูก “คุณทองแดง” สุนัขทรงเลี้ยงกัดแทะ ต่อจากนั้นมหาดเล็กได้เชิญฉลองพระบาทของสมเด็จพระเทพฯ มาให้เขาซ่อมอีกหลายคู่ เป็นสิ่งยืนยันว่า เจ้าฟ้าหญิงไทยองค์นี้ทรงดำเนินตามรอยพระบาทของสมเด็จพระราชบิดามากเพียงใด
นอกจากนี้ เขาได้ขอพระราชทานรองฉลองพระบาทคู่เก่าที่พระองค์ท่านไม่ทรงแล้วมาไว้สักการบูชา ซึ่งฉลองพระบาทดังกล่าวเป็นสิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า พระจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเรียบง่าย ประหยัด และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดี ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ควรอย่างยิ่งที่พสกนิกรน่าจะดำเนินรอยตาม ดังเช่นที่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ผู้ซึ่งมีโอกาสถวายงานใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเวลากว่า 20 ปี กล่าวถึงไว้ในหนังสือ “ใต้เบื้องพระยุคลบาท” ว่า
“พระองค์ท่านทรงเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ดูแค่ฉลองพระบาท เป็นต้น พวกตามเสด็จฯทั้งหลายใส่รองเท้านอก และยิ่งมาจากต่างประเทศใส่แล้วนุ่มเท้าดี พระองค์กลับทรงรองเท้าที่ผลิตในเมืองไทย ...คู่ละร้อยกว่าบาท สีดำ เหมือนอย่างที่นักเรียนใส่กัน ...แม้กระทั่งพวกเรายังไม่ซื้อใส่กันเลย”
ต่อมา มีนักข่าวหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่มาสัมภาษณ์ช่างไก่ ช่างซ่อมรองเท้าผู้โชคดีที่มีโอกาสถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท นับแต่นั้น “ร้าน ก.เปรมศิลป์” ร้านซ่อมรองเท้าเล็กๆ บริเวณสี่แยกพิชัย ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังสวนจิตรลดา ก็โด่งดังเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน พสกนิกรชาวไทยต่างกระหายใคร่จะรู้เรื่องราวอันน่าปลื้มปิติ ซึ่งเปรียบได้ดังหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่รุมเร้า
สองวันแรกหลังเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ช่างไก่จึงแทบไม่มีเวลากินข้าวกินน้ำ เนื่องจากกองทัพสื่อมวลชนทุกแขนงที่แห่กันมาทำข่าวอันน่าชื่นชมยินดีนี้ รวมทั้งประชาชนที่อยากชื่นชมฉลองพระบาท แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็มีประชาชนแวะเวียนเข้ามาชมและกราบไหว้รอยพระบาทของพระองค์ท่านที่ร้านอยู่เรื่อยๆ แม้แต่พระอาจารย์วัดแคที่ตั้งอยู่บริเวณไม่ไกลจากร้าน ก็ได้นำแบบอย่างพระจริยวัตรของในหลวงที่ทรงดำเนินชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์ไปเป็นแบบอย่างในการสอนเด็กนักเรียนด้วย
ช่างไก่กล่าวอีกว่า ด้วยพระบารมีของพระองค์ท่านนี่เอง ที่ทำให้มีประชาชนให้ความสนใจร้านรองเท้าเล็กๆ แห่งนี้ ทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนทั่วไปได้มาสั่งตัดและซ่อมรองเท้าที่ร้านของเขามากขึ้น
“สังคมไทยรักพระองค์ท่าน ผมก็ถือว่าผมโชคดีนะครับ สังคมทั่วไปที่เห็นผมมีโอกาสอย่างนี้ก็อยากจะมีโอกาสอย่างผมบ้าง ผมว่าทุกคนก็มีโอกาสหมดเพราะว่าทุกคนรักในหลวง ทุกคนทำอะไรก็ได้ที่เป็นการทำในสิ่งที่ดี ก็เท่ากับว่าได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทแล้ว แม้จะไม่ได้รับโอกาสแบบที่ผมได้รับ แต่ก็ขอให้ทุกคนภูมิใจเมื่อตัวเองทำสิ่งที่ดีๆ เพราะเท่ากับได้สนองพระราชดำริของพระองค์ท่าน ที่ทรงแนะนำพสกนิกรให้ทำแต่สิ่งที่ดีๆ สังคมก็จะดีทั่วๆ กัน”
บางคนอาจจะเมินหรือมองข้ามอาชีพช่างทำรองเท้า แต่สำหรับช่างไก่แล้ว กลับคิดว่าอาชีพของเขามิได้ต่ำต้อย และหากจะเปรียบกับอวัยวะต่างๆของร่างกายแล้ว อาชีพช่างทำ-ซ่อมรองเท้านั้น ก็นับเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสังคม เช่นดังที่เท้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
ความมุ่งหวังตั้งใจสูงสุดของช่างซ่อมฉลองพระบาทผู้นี้ คือ ซื่อสัตย์ และตั้งใจทำงานของตนต่อไปให้ดีที่สุด
“ถ้าผมไม่มีกิจการรองเท้า ผมก็ไม่มีโอกาสถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิดพระองค์ท่านแบบนี้ แม้จะไม่ร่ำรวย หรือประสบความสำเร็จอะไรมากมาย แต่สำหรับผม…การได้มีโอกาสถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทเช่นนี้ ถือว่าผมประสบความสำเร็จสูงสุดในอาชีพช่างทำรองเท้าของผมแล้ว” ช่างไก่กล่าวทิ้งท้าย
////////////////////////
เรื่อง – รัชตวดี จิตดี
ภาพ – อาทิตย์ นันทพรพิพัฒน์