"...คิดมาอุราช้ำหนัก ผัวรักไม่เคยส่งเงิน
รู้ข่าวปวดร้าวเหลือเกิน เมื่อรู้ว่าเงินไม่มาถึงเมีย
พ่อแม่ผัวรับเต็มที่ เพราะเงินจากพี่ที่ซาอุดีอาระเบีย
ส่งมาให้ใช้กันนัวเนีย ส่วนลูกเมียนั่งเสียน้ำตา…"
เสียงเพลงหวานหูปนตัดพ้อต่อว่าที่ชื่อ 'น้ำตาเมียซาอุ' ของนักร้องหมอลำชื่อดัง 'พิมพา พรศิริ' ดังมาจากสเตอริโอคู่ทุกข์คู่ยากของชาวบ้านในแถบภาคอีสาน เนื้อท่อนแรกนั้นฟังเผินๆก็ดูเหมือนจะเป็นเพลงลูกทุ่งทั่วไป แต่พอมาถึงช่วง 'แร็ป' หมอลำซึ่งเป็นภาษาอีสานแท้ๆ นั้น ทำเอาหลายคนที่ไม่ชิน เกิดอาการมึนตึ้บกันเป็นแถบๆ แต่สำหรับลูกข้าวเหนียว บอกได้คำเดียวว่าถูกใจหลายเด้อ
*จุดกำเนิดหมอลำมาจากหมอผีผู้หญิง
หากจะมองย้อนกลับไปจะพบว่าอาชีพหมอลำที่มีชื่อเสียงนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็น พิมพา พรศิริ, บานเย็น รากแก่น หรือแม้กระทั้งหมอลำรุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์เป็นผมทรงบ็อบ และไว้ผมหน้าม้าตลอดกาล อย่าง จินตหรา พูนลาภ หลายคนอาจไม่แปลกใจเพราะประชากรทุกวันนี้ เพศหญิงมีจำนวนมากกว่าชาย แต่อันที่จริงแล้วการที่ผู้หญิงมีอาชีพหมอลำนั้น สืบเนื่องมาตั้งแต่ 3,000 กว่าปีก่อน ที่ภูมิภาคอุษาคเนย์โบราณ มีหมอผีเป็นหัวหน้าพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน ทำหน้าที่ขับลำนำด้วยคำคล้องจองเป็นทำนองร่วมกับเสียงแคน ทั้งนี้เพื่อความเชื่อที่ว่า จะสามารถสื่อสารกับผีที่หมายถึงอำนาจเหนือธรรมชาติ ร้องขอความมั่นคงในการดำรงชีวิต ไม่มีฟ้าผ่าหรือเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น รวมไปถึงร้องขออาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ด้วย
หมอผีที่กล่าวถึงนั้นเป็น 'ผู้หญิง' เนื่องจากในสมัยโบราณ ผู้หญิงถือเป็นหัวหน้าใหญ่ในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ศาสนาจากชมพูทวีปได้แผ่เข้ามา อำนาจจึงถูกดึงไปอยู่ที่ผู้ชาย แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นหมอขวัญ ต่อมาเรียกว่า 'หมอพร' หรือ 'หมอธรรม' เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดหมอลำที่มีชื่อเสียงยุคต่อๆ มา ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
*ได้ยินชินหู-เห็นจนชินตา หล่อหลอมจิตวิญญาณหมอลำ
ประเทศไทยเรามีทั้งหมด 76 จังหวัด และแบ่งออกเป็น 4 ภาค ในแต่ละภาคก็มีเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น จังหวัดเชียงใหม่ที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศ วิถีชีวิตและเพลงพื้นบ้านจะออกแนวอ่อนหวาน เนิบนาบ และจังหวะจะค่อนข้างช้า แต่หากเป็นภาคอีสานแล้วละก็ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนภาคนี้จะออกแนวเฮฮา สนุกสนาน เพราะฉะนั้นแนวเพลงพื้นบ้านจะมีจังหวะที่เร้าใจ ฟังแล้วชวนให้ขยับแขนขยับขาออกมาเซิ้งตาม
จะว่าไปแล้ว คนอีสานนั้นมีชีวิตผูกพันกับเพลงหมอลำมาตั้งแต่จำความได้ ส่วนใหญ่จะได้ยินจนชินหู และเห็นการเซิ้งมาจนชินตา เด็กเล็กๆ หลายคนหากได้ยินเสียงดนตรีทำนองหมอลำขึ้นมาเมื่อไร เป็นต้องตั้งวงเตรียมเซิ้งกันเลยทีเดียว นักร้องหมอลำที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ต่างก็เคยเป็นอย่างที่เอ่ยมาแล้วทั้งนั้น อย่างเช่น พิมพา พรศิริ ที่เท้าความถึงอดีตหนหลังให้ฟังว่า ตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ยินเสียงหมอลำดังอยู่ทั่วทุกบ้านในแถบจังหวัดชัยภูมิ ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ
"ตั้งแต่เด็กจำความได้ก็ได้ยินเสียงหมอลำแล้ว มันเหมือนกับเพลงหมอลำได้แทรกอยู่ในทุกอณูของคนอีสาน ลำกลอนนี่ได้ยินจนชินหูและทำให้เราซึมซับสิ่งพวกนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้เราชอบการร้องเพลง และเวลาหมอลำไปเล่นแถวบ้าน ก็จะชอบดูแล้วก็จะมาเลียนแบบเขาลำยังไง ฟ้อนยังไง ก็จะจำมาเล่นกับเพื่อน พอโตขึ้นมาหน่อย จำได้ว่าเริ่มสาวแล้วกำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ ความชอบด้านนี้ของเราก็ยังไม่หายไปไหน เวลาว่างก็จะหาหนังสือเกี่ยวกับเพลงมาอ่าน แล้ววันหนึ่งก็ไปเจอใบประกาศของคุณลุงใหญ่ อยุธยา ที่รับสมัครศิลปินนักร้อง เราก็สนใจเลยเขียนจดหมายไปแนะนำตัว"
พิมพาเล่าต่อว่า สาเหตุที่ส่งจดหมายไปขอสมัครเป็นนักร้องนั้น นอกจากความชื่นชอบในการร้องเพลงแล้ว อีกสาเหตุหลักๆ เห็นจะเป็นปัญหาเรื่องเงินที่เกิดขึ้นในครอบครัว เป็นช่วงที่พี่สาวไม่ค่อยสบายทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก เลยคิดว่าจะต้องหางานทำเพื่อหาเงินมาช่วยแม่ แต่เรื่องที่ขอสมัครเป็นนักร้องก็เงียบหายไป จวบจนเวลาผ่านไป 2 เดือน คราวนี้ก็เลยเขียนจดหมายไปหาลุงใหญ่อีกครั้ง ถามแบบอ้อนๆ ว่า
"ลุงใหญ่ลืมหนูแดง (ชื่อเล่นของพิมพา)แล้วหรือ"
ซึ่งจดหมายฉบับนั้นเองทำให้ลุงใหญ่สงสัยว่าหนูแดงเป็นใคร และทำไมถึงเขียนมาแบบนี้ จึงสั่งให้ลูกน้องไปควานหาจดหมายฉบับก่อนๆ มา และก็ได้ติดต่อมา เพื่อให้ส่งเทปที่บันทึกเสียงร้องของพิมพาไปให้ฟัง
และนั่นจึงถือเป็นจุดกำเนิดของนักร้องหมอลำชื่อดังนามว่า พิมพา พรศิริ
แต่สำหรับบานเย็น รากแก่น ชีวิตกลับไม่ได้มาด้วยโชคชะตา แต่หากต้องต่อสู้ดิ้นรน และฝึกฝนด้วยความยากลำบากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ บานเย็นบอกว่า ต้องซ้อมร้องเพลง ท่องกลอนเป็นพันๆ กลอน เธอบอกว่ายากกว่าเรียนปริญญาโทเสียอีก
"กลอนลำ 1 กลอนเท่ากับ 2 เพลงลูกทุ่ง เราต้องจำได้เลยนะ แบบว่าร้องทั้งคืน 2 ทุ่มครึ่งถึงสว่างไม่ให้ซ้ำเพลง แล้วร้องเพียงแค่ 2 คนกับครู (ป้าหนูเวียน แก้วประเสริฐ) โต้กันไปโต้กันมา เป็นเหมือนโต้วาที ยากกว่าเรียนปริญญาโทเสียอีก แต่จะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับเรียนนาฏศิลป์ เพราะว่าต้องฟ้อนสวย รำสวย จะว่าไปแล้วหมอลำก็คล้ายๆ ลำตัดหรือโต้วาที เพราะจะต้องมีการถามถึงที่มาที่ไปของการจัดงานว่า ทำไมถึงจัด ใครเป็นคนจัด หากเป็นงานบุญจะมีการบอกว่า ที่เขาได้จัดงานนี้ขึ้นมาจะได้บุญอะไรบ้าง โดยจะต้องร้องเป็นกลอน แต่ในขณะเดียวกันก็ร้องเหมือนเพลง แล้วจะมีหมอแคนคนหนึ่งเป่าแคนคนเดียวทั้งคืน แรกๆ ป้าหนูเวียนจะเป็นคนพาไปทำงานก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มรับงานเอง ตรงนี้แหละถือเป็นจุดกำเนิดของการเข้าวงการหมอลำของเรา" บานเย็นกล่าว
*เศร้าเคล้าน้ำตา-สนุกสนานครื้นเครง ฮิตโดนใจแฟนเพลง
แน่นอนว่า นอกจากเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์และลีลาท่าทางที่งดงามของนักร้องแล้ว ยังมีอีกองค์ประกอบที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือเนื้อเพลงที่นักแต่งเพลงจะต้องแต่งออกมาให้โดนใจผู้ฟังที่สุด ส่งผลให้หลายๆ เพลงฮิตติดปากร้องตามกันทั่วบ้านทั่วเมือง เทปขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
"เนื้อร้องจะเป็นการแสดงวิถีชีวิตชาวบ้านในสมัยนั้น หรือจะพูดถึงการเกี้ยวพาราสี หรือต่อว่าผู้ชายผู้หญิง ผู้ชายก็ว่าผู้ชายดี ผู้หญิงก็ว่าผู้หญิงดี แล้วแต่ว่า เราจะหยิบอะไรขึ้นมาพูด แล้วก็ให้แก้กัน อย่างที่บอกว่าจะมีลักษณะคล้ายๆ กับการโต้วาที แต่ที่สำคัญคือสติ เพราะเราจะต้องร้องโต้กันตลอดเวลา ถามว่าปัจจุบันนี้เนื้อร้องเปลี่ยนไปไหม ก็เปลี่ยนนะ เพราะเดี๋ยวนี้เขาจะเอาเพลงมาสลับ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพลงลูกทุ่ง ตอนนี้ลำกลอนก็แตกแขนงมาเป็นลำซิ่ง จังหวะก็จะเร้าใจ และสนุกสนานมากขึ้น แต่ของเรายังยึดลำกลอนเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม" บานเย็นคนเดิมกล่าว
แต่สำหรับพิมพานั้นบอกว่า เนื้อร้องของตนเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อย่างเช่นเพลงที่โด่งดังกันมากอย่าง 'น้ำตาเมียซาอุ' แต่งขึ้นในช่วงที่ผู้ชายนิยมเดินทางไปขายแรงงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียกันมาก ส่งผลให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างภรรยาต้องคอยคิดถึง และรอคอยเงินที่จะต้องส่งมาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน คล้ายๆ กับว่าเพลงคือการบันทึกประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคว่า ช่วงนั้นเขาได้ทำอะไรกันบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ความคิดของคนช่วงนั้นๆ เป็นอย่างไร ปัจจุบันแฟนเพลงจะชอบฟังเพลงแนวอกหัก ผิดหวัง แล้วก็มีให้กำลังใจบ้าง เรียกว่าแบ่งแยกออกเป็นหลายแขนง หลายสาขาจะไม่มองในจุดเดียว อาจจะไม่เครียดมากไป บางคนก็ชอบสนุกสนานเลย เป็นอะไรที่หลายมุมมอง
"ชุดล่าสุดของเราจะเป็นเพลงแบบนัน-สต็อปเมดเล่ย์ จุดมุ่งหมายคืออยากจะให้ผู้ฟังมีสุขภาพแข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย โดยนำเพลงของเราไปเต้นแอโรบิกได้ มีท่าเต้นกระบองบ้าง ทำเป็นฟุตบอลบ้าง เรียกว่ามีหลายอย่างที่อยู่ในวีซีดี 'อีสานแดนซ์' ก็เป็นอะไรที่สนุกสนาน ในรูปแบบของแอโรบิก" พิมพากล่าว
ด้านนักร้องหมอลำเสียงดีมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองอย่าง จินตหรา พูนลาภ กล่าวถึงเสน่ห์ของเพลงลูกทุ่งหมอลำว่า
"สิ่งที่เห็นชัดที่สุด คงจะเป็นความเรียบง่ายของภาษาที่ใช้ตรงๆ ซื่อๆ ไม่ต้องมีอะไรที่โหวกเหวกๆ แล้วก็แต่งออกมาจากใจ ที่มีความซื่อเหมือนกับคนบ้านนอก แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการปรับตัวให้ตามสมัยมากขึ้น เช่นการแต่งกายก็ไม่เชย แด๊นเซอร์จากเมื่อก่อนที่เคยออกมาเต้นๆ ธรรมดา ท่าเก่าๆ อย่างที่รู้มา เต้นยกแขนยกขานิดหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ก็จะมีคล้ายๆ แด๊นซ์เข้ามา จินคิดว่ามันเปลี่ยนไปในทางที่ดี คนฟังลูกทุ่งก็เยอะขึ้น เดี๋ยวนี้คนกรุงไม่น้อยทีเดียวที่หันมาชอบเพลงลูกทุ่งมากขึ้น"
*มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า ชื่อเสียงตามมา ชีวิตเปลี่ยนไป
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อใครสักคนได้รับโอกาสให้ออกเทปเป็นศิลปินนักร้องแล้ว สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ ชื่อเสียง-เงินทอง และความสุขสบายในชีวิต สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน จากที่เคยอยู่ตามต่างจังหวัดต้องย้ายที่พำนักเข้ามาอยู่ในเมืองกรุง ชีวิตในแต่ละวันแต่ละเดือนผ่านไปกับการเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงต่างประเทศที่มีคนไทยอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งนอกจากจะได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนแล้ว ยังถือว่าได้เปิดหูเปิดตาท่องเที่ยวไปในคราวเดียวกัน
อย่างเช่น บานเย็น ที่เพิ่งเดินทางกลับจากทัวร์คอนเสิร์ตที่ประเทศเยอรมนี สวีเดน และฟินแลนด์ เธอบอกว่าไปคราวนี้ใช้เวลานานถึง 3 เดือนแต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะนอกจากจะได้พบปะแฟนเพลงแล้ว ยังถือว่าได้ช่วยเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยให้ฝรั่งดูด้วย
"ถือว่าโชคดีมากค่ะ ที่ได้เกิดมาเป็นบานเย็น เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนแฟนเพลงให้การต้อนรับอบอุ่นมาก บางคนอยู่ไกลบ้านร้องไห้เลย พอได้ฟังเพลงเรา มีบางคนที่เป็นฝรั่งพอได้ยินเพลงหมอลำก็ทำให้อยากจะเดินทางมาเที่ยวที่เมืองไทย ตรงนี้ภูมิใจนะ แต่ในชีวิตที่ดีใจ และภูมิใจที่สุดเห็นจะเป็นการได้รับรางวัลพระราชทานพระพิฆเนศทองคำ กับบทเพลง 'รอรักจากแดนไกล' จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตรงนี้ภาคภูมิใจมาก เพราะรางวัลนี้สำหรับศิลปินทุกคนถือว่าเป็นบันไดขั้นสุดท้ายของชีวิตหมอลำเลยทีเดียว"
ด้านจินตหรา พูนลาภ นักร้องสาวเสียงพิณ นอกจากจะเป็นนักร้องที่มีเพลงฮิตติดปากแฟนเพลงทั่วประเทศ อย่าง 'แตงโมจินตหรา' แล้ว ล่าสุดยังกระโดดไปรับบท 'ชบา' หนึ่งในทีมพยัคฆ์สาวในหนังเรื่อง 'ไฉไล' ที่มีพจน์ อานนท์ นั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ซึ่งสาวจินเปิดใจว่า ถือเป็นครั้งแรกของตนเองที่แสดงหนังแถมยังต้องขับรถถัง ถือเป็นการเปลี่ยนบทบาทครั้งใหญ่ในวงการบันเทิงเลยทีเดียว
"ดีใจและก็ตื่นเต้นมาก เพราะถือเป็นครั้งแรกของการแสดง และการขับรถถัง แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะได้ทำอะไรแตกต่างออกไปอีกอย่างในวงการบันเทิง เรื่องนี้รับบทเป็นชบาที่บุคลิกจะออกบ้าระห่ำแบบโก๊ะๆ เปิ่นๆ แต่รักเพื่อนเพราะมีฉากที่ต้องขับรถถังออกไปช่วยเพื่อนด้วย ยังไงก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดไม่แพ้นักร้องเลยทีเดียว"
ต่อเมื่อถามถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลังจากได้มีโอกาสมาจับไมค์ออกเทป เธอตอบว่าเหมือนกับฝันไป เพราะตั้งแต่เด็กๆ เคยฝันอยากจะมายืนอยู่หน้าเวทีและร้องเพลงให้คนฟัง วันนี้ก็ทำได้จริงๆ การได้มาเป็นนักร้องทำให้ต้องปรับตัว จากที่เป็นเด็กบ้านนอก มาวันนี้ได้เห็นสังคมใหญ่ๆ ในเมืองหลวงที่มีผู้คนมากมาย ทำให้ต้องปรับและเปลี่ยนในบางเรื่อง แต่ถึงอย่างไรเสีย บุคลิกแท้ๆ ของตนก็ยังคงอยู่
เอาเป็นว่าหากใครอยากรู้จักตัวตน และนิสัยใจคอของคนภาคอีสาน น่าจะลองหาเพลงพื้นบ้าน อย่าง 'ลูกทุ่งหมอลำ' จากศิลปินลูกข้าวเหนียวมาฟัง แล้วจะรู้ว่าเสน่ห์ของคนภาคนี้อยู่ที่ความจริงใจ และใสซื่อ นอกจากนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความขยันที่รับรองว่าไม่แพ้คนภาคอื่นเลยทีเดียว
****************************
ล้อมกรอบ
'หมอลำ' เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวอีสาน มีผู้ให้คำนิยามที่หลากหลายไว้ เช่น หมอลำ หมายถึง ผู้ชำนาญในการขับร้อง / ผู้ชำนาญในการเล่านิทาน หรือผู้ที่ท่องจำเอากลอนมาขับร้องหรือลำ หรือ หมอลำ หมายถึง การขับลำนำด้วยภาษาถิ่นอีสานประกอบเสียงดนตรีแคน กล่าวโดยสรุป หมอลำ ก็คือ ผู้เชี่ยวชาญในการขับลำนำหรือการขับร้อง โดยการท่องจำจากกลอนลำ หรือบทกลอนที่มีผู้ประพันธ์ขึ้นเป็นภาษาถิ่นอีสาน หรืออาจจะหมายถึงศิลปะการแสดงพื้นเมือง หรือมหรสพอย่างหนึ่งของชาวอีสาน
คำว่า 'ลำ' ตามพจนานุกรมฯ จะหมายถึง เพลงหรือบทกลอน ส่วนบางแห่งจะหมายถึง เพลงหรือทำนองขับ หรือจะหมายถึงการเปล่งเสียงขับร้องก็ได้ โดยมักใช้คู่กับ 'ขับลำ' แต่ถ้าเป็น 'รำ' จะหมายถึง การแสดงท่าเคลื่อนไหวร่างกายประกอบจังหวะดนตรี ซึ่งทางอีสานมักจะเรียกว่า 'ฟ้อน' ส่วน 'ลำนำ' ก็คือทำนองที่เกิดจากการสัมผัสกันของบทกลอนที่ใช้ขับร้อง
กำเนิดหมอลำ หมอลำเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใดไม่มีหลักฐานแน่ชัด เพราะไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่กล่าวกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว โดยมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความเจริญของสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งมีการสันนิษฐานไว้ว่า เกิดจากความเชื่อเรื่องผีฟ้า ผีแถน และผีบรรพบุรุษ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า ผีเหล่านี้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ สามารถบันดาลให้เกิดภัยธรรมชาติ และความเจ็บป่วยแก่มนุษย์ได้ มนุษย์จึงทำพิธีกรรมรักษาผู้ป่วยตามวิธีการของหมอผี คือ การขับลำผีฟ้า ลำส่อง ลำทรง แล้วพัฒนาการลำเป็น 'ลำพื้น' และ 'ลำกลอน' ตามลำดับ โดยเกิดจากธรรมเนียมการอ่านหนังสือผูก และการเทศน์ลำ
หนังสือผูก คือ วรรณกรรมพื้นบ้านที่มีการจารลงในใบลาน เรื่องราวที่จารอาจเป็นชาดก หรือนิทานพื้นบ้านที่สนุกสนาน เช่น สังข์สินไซ กำพร้าผีน้อย ฯลฯ
สมัยก่อนในภาคอีสานมักจะมีการอ่านวรรณกรรมพื้นบ้านในที่ประชุมเพลิง โดยเจ้าภาพจะหาหมอลำมาอ่านขับลำนำหนังสือให้ผู้มาร่วมงานได้ฟังคล้ายมหรสพ หรือแม้แต่ในงานสมโภชสตรี ที่เรียกว่า 'งันหม้อกรรม' คือ การอยู่ไฟหลังคลอด เมื่อมีเพื่อนบ้านมาเยี่ยมหรือแสดงความยินดีก็มักมีการจับกลุ่มกันฟังนิทานจากหนังสือผูก ซึ่งความนิยมในการอ่านหรือฟังนี้เอง ที่ทำให้เกิดการคิดวิธีการอ่านให้น่าสนใจ หรือคิดการแสดงประกอบการเล่าเรื่อง แล้วต่อมาก็มีการใช้ 'แคน' เป็นดนตรีประกอบ จนเกิดเป็นการแสดงที่เรียกว่า 'ลำพื้น'
ปัจจุบันมีการประยุกต์ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น ปรับจากหมอลำพื้น หมอลำกลอน มาเป็นหมอลำเพลิน แล้วเป็นลูกทุ่งหมอลำ คือเพลงลูกทุ่งที่ผสมผสานระหว่างทำนองเพลง และทำนองลำเข้าด้วยกัน จนมาถึงหมอลำซิ่ง ซึ่งก็คือ หมอลำกลอนแบบใหม่ที่นำเครื่องดนตรีตะวันตก ประเภทวงสตริงเข้ามาผสม
**หมายเหตุ บางส่วนจากผลงานวิจัยเรื่อง "สถานภาพและบทบาทของหมอลำ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางสังคม:กรณีศึกษาหมอลำในจังหวัดอุบลราชธานี" ของนายสุบรรณ จันทบุตร,นายทองมาก จันทะลือ (ศิลปินแห่งชาติ)
*****************************
เรื่อง - ณ กมล ปราโมช ณ อยุธยา