xs
xsm
sm
md
lg

โทรเลข มุ่งสู่ป่าช้าเทคโนโลยีสื่อสาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความหม่นหมองของที่ทำการโทรเลขกลาง (Central Telegraph Office) ซึ่งตั้งอยู่ทางปีกขวาของตึกไปรษณีย์กลาง บางรัก กทม. ถูกปิดตายทิ้งร้างว่างเปล่า เหลือแค่ห้องเล็กๆ บนชั้น 3 ของตึกที่แบ่งให้เป็นที่ทำการชุมสายโทรเลขอัตโนมัติ มีบุคลากรที่ทำงานโหวงเหวงแค่ 3 คน

ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ผู้คนน้อยรายนักที่จะไม่มีมือถือไว้ใช้งานส่วนตัว ไม่ว่า การโทรเข้า-รับสาย-ส่งเอสเอ็มเอสหรือเอ็มเอ็มเอส ฯลฯ คนเกือบร้อยทั้งร้อยหมกมุ่นอยู่กับเทคโนโลยีที่ติดต่อกันสะดวกรวดเร็ว และทันใจ

โทรศัพท์มือถือที่กำลังเดินทางเข้าสู่ระบบโครงข่าย 3 G ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสารที่มุ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ

เพจเจอร์ สูญพันธุ์กลายเป็นเทคโนโลยีที่ล้าหลัง ปัจจุบันเป็นได้แค่ของที่ระลึก
โทรเลข (Telegraph) จึงเป็นสิ่งที่ตกยุคทางประวัติศาสตร์การสื่อสารไปแล้วในปัจจุบัน

เด็กรุ่นใหม่หัวใจไม่มีโทรเลข

ถามเด็กรุ่นใหม่ทั้งที่เซ็นเตอร์พอยต์ และย่านศูนย์การค้าต่างๆ โดยเฉพาะเหล่านักเรียนหน้าใสวัยละอ่อน ซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ ล้วนไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น และไม่เคยใช้โทรเลข

วัลยา มากคล้าย นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ให้คำตอบที่คาดเดาเอาเองถึงโทรเลข หลังจากถามว่ารู้จักการสื่อสารแบบนี้หรือไม่

"รู้จัก ที่เขาใช้วิธีตอกรหัส และเขียนคำสั้นๆใช่ไหม แต่หนูไม่เคยใช้นะ โทรคุยหรือส่งข้อความง่ายกว่า ถ้าส่งหาเพื่อนจริงๆ ก็คลาสสิกดี แบบย้อนยุคนะ" นันทิชา ตันยงค์เวช นักเรียนเกรด 9 ฮาร์โรว์ อินเตอร์เนชั่นแนล สกูล บอกว่า

"เคยได้ยินแต่อธิบายไม่ได้ว่าเป็นอะไร คล้ายๆจดหมายใช่ไหม ไม่เคยเห็นเหมือนกัน" ปิยะ ชนะศัตรู นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี โชว์ภูมิว่า รู้จักโทรเลข

"เป็นแบบที่ใช้รหัสมอร์ส แต่ตอนนี้คงเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนเครื่องแฟกซ์ (โทรสาร) อะไรทำนองนี้ แต่ปกติผมจะเขียนจดหมาย อี-เมล หรือไม่ก็โทรศัพท์"

ลัดดา สิทธิโสภาค นักเรียนม.4 โรงเรียนศรัทธาสมุทร กล่าวด้วยเสียงเซ็งๆ ว่า "ไม่รู้จักคะ คืออะไรหรือค่ะ"

เหมือนกับ อุทุมพร แซ่แต้ นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเดียวกัน ที่มั่วนิ่มให้ความเห็นว่า "รู้จัก เหมือนจดหมายแหละ"

ทัศนะของเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังเป็นวัยรุ่นที่พูดถึง โทรเลข ก็ทำให้พอสำเหนียกได้ว่า สถานการณ์ของโทรเลข เทคโนโลยีการสื่อสารที่อยู่มายาวนานเป็นร้อยๆ ปี ถูกหลงลืมจากคนในสังคมไปแล้ว

ตำนานโทรเลข

โทรเลข คือ ระบบโทรคมนาคมซึ่งใช้อุปกรณ์ทางไฟฟ้าส่งข้อความจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เดิมส่งโดยอาศัยสายตัวนำที่โยงติดต่อถึงกันและอาศัยอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นหลักสำคัญ แต่ระยะหลังมีการใช้วิธีการส่งไร้สาย ที่เรียกว่า วิทยุโทรเลข (radio telegraph, wireless telegraph หรือ continuous wave ย่อว่า CW)

ระบบโทรเลขตามสายระบบแรกที่เปิดให้บริการทางการค้าสร้างโดย เซอร์ ชาร์ลส์ วีทสโตน กับเซอร์ วิลเลียม ฟอเทอร์กิลล์ คุก และวางสายตามรางรถไฟของบริษัท Great Western Railway เป็นระยะทาง 13 ไมล์ จากสถานีแพดดิง ถึง เวสต์เดร์ตัน ในอังกฤษ เริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 9 เมษายน ปี 2382 และระบบโทรเลขนี้พัฒนาและจดสิทธิบัตรพร้อม ๆ กันในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2380 โดย แซมูเอล มอร์ส โดยที่เขาและผู้ช่วยคือ อัลเฟรด เวล ประดิษฐ์รหัสมอร์สขึ้นมา สัญญาณโทรเลขจึงเป็นแบบจุดและขีด ตามรหัสของมอร์ส

สายโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2409 ทำให้สามารถส่งโทรเลขข้ามมหาสมุทรระหว่างยุโรป และสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ความก้าวหน้าที่สำคัญอีกด้านของเทคโนโลยีโทรเลขเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ปี 2435 เมื่อ โทมัส เอดิสัน ได้รับสิทธิบัตรสำหรับโทรเลขสองทาง (two-way telegraph)

สำหรับกิจการโทรเลขในเมืองไทย เริ่มต้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ปี 2412 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้อนุมัติให้ชาวอังกฤษ 2 นาย จัดตั้งบริษัทก่อสร้างและบำรุงรักษาทางโทรเลขภายในราชอาณาจักรตามคำเสนอขอ แต่การดำเนินงานของบุคคลทั้งสองล้มเหลว

ดังนั้น ในปี 2418 รัฐบาลไทยจึงได้ดำเนินการเอง โดยมอบหมายให้กรมกลาโหม สร้างทางสายโทรเลขสายแรก จากกรุงเทพฯ ไปปากน้ำ (จ.สมุทรปราการ) และวางสายเคเบิลโทรเลขใต้น้ำต่อออกไปถึงกระโจมไฟ นอกสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา ในปี 2426 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมโทรเลขขึ้นรับช่วงงานโทรเลขจากกรมกลาโหมมาทำต่อไป ได้เริ่มสร้างทางสายใช้ลวดเหล็กอาบสังกะสีเป็นสายแรกจากกรุงเทพฯ ผ่านปราจีนบุรี กบินทร์บุรี อรัญประเทศ ศรีโสภณ ไปถึงคลองกำปงปลัก ใน จ.พระตะบอง และเชื่อมต่อกับสายโทรเลขอินโดจีนไปถึงเมืองไซ่ง่อน เป็นสายโทรเลขสายแรกที่ติดต่อกับต่างประเทศ ได้เปิดให้สาธารณะใช้เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน โดยมีเจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช เป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์และกรมโทรเลขคนแรก ซึ่งต่อมาก็ได้สร้างสายโทรเลขครบทั่วประเทศ

การบริการสารนิเทศด้วยบริการโทรเลขในปัจจุบัน การสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้พัฒนาการรับส่งโทรเลขด้วยการใช้เครื่องโทรพิมพ์สมัยใหม่ที่ควบคุมด้วยระบบไมโครคอมพิวเตอร์และสามารถติดต่อรับส่งได้ด้วยความเร็วสูงถึง 240 คำต่อนาที มาใช้เป็นอุปกรณ์รับส่งโทรเลข นอกจากนี้ยังมีการติดต่อชุมสายโทรเลขอัตโนมัติ ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์มากว่า 20 ปีแล้ว ช่วงเวลารุ่งเรืองที่สุดของกิจการโทรเลขจะมีการส่ง-รับถึงวันละกว่า 40,000 ฉบับ

ข้อมูลของชุมสายโทรเลขอัตโนมัติระบุว่า ในปัจจุบันโทรเลขที่ส่งทั่วประเทศ ในแต่ละวันจะมีไม่ถึง 1,000 ฉบับ และจะเป็นโทรเลขที่ส่งในกรุงเทพฯ เกินครึ่งหนึ่ง โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นธนาคาร และบริษัทที่ใช้บริการส่วนมากเป็นธนาคารที่ติดต่อธุรกรรมเกี่ยวกับบัตรเครดิต และบริษัทสินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้ในการทวงหนี้ เพื่อใช้โทรเลขเป็นหลักฐานในการติดต่อทางด้านธุรกรรมเหล่านี้

ส่วนโทรเลขธนาณัติ ถูกแทนที่ด้วยธนาณัติออนไลน์ของไปรษณีย์ไทย

แม้จะมีการแปรรูปกิจการแยกเป็น บริษัท การสื่อสารแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งกิจการโทรเลขสังกัดอยู่ แต่ในการดำเนินงานส่งและรับโทรเลขยังต้องพึ่งบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด เหมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจเดียวกัน

สำหรับประเทศในเอเชีย ซึ่งยกเลิกกิจการไปรษณีย์โทรเลขไปเรียบร้อยแล้วคือ สิงคโปร์ และฮ่องกง

หวนรำลึกความหลังถึงโทรเลข

แม้วันนี้โทรเลขยังเปิดใช้บริการอยู่ คนที่เกิดทันยุคเฟื่องฟูของโทรเลข อย่าง คมสัน นันทจิต พิธีกรรายการจันทร์เจ้าของ ก็ยังอุทานด้วยความตกใจว่า
"โทรเลขยังมีอยู่หรือ?"

เมื่อยืนยันว่ายังมีอยู่ เขาก็ทำหน้าไม่เชื่อ แล้วบอกอย่างตกใจอีกครั้งว่า
"เฮ้ย จริงเหรอ!"

คมสัน เล่าถึงโทรเลขในความทรงจำของเขาว่า เขาเคยได้รับหนหนึ่ง ตอนนั้นแฟนส่งมาให้กำลังใจ แต่ตอนนี้เป็นแฟนเก่าไปแล้ว

"พอได้รับมันก็น่าตื้นตันใจดีนะ เพราะเป็นกระดาษแล้วมีตัวหนังสือเขียน ส่วนผมเคยส่งโทรเลขทีหนึ่ง ส่งหาผู้หญิงคนหนึ่งก็ส่งไปกวนเขาแหละ ไม่มีอะไร รู้สึกว่าได้ส่งโทรเลขแล้วแปลกดี ก็เป็นช่วงเด็กๆ เรียนมัธยมฯ

น่าจะมีการรื้อฟื้นการส่งโทรเลขนะ ผมคิดว่า เป็นความเท่ เพราะต้องเขียนหรือบอกให้เขาตีพิมพ์ ซึ่งต้องใช้ภาษารวบรัดให้ได้ใจความ ไม่เกิน 2 บรรทัด โทรเลขไม่น่าจะหายไป ถึงแม้จะไม่มีคนใช้ โทรเลขก็น่ารักดีเหมือนโปสการ์ดแต่เร็วกว่า เป็นอารมณ์ของตัวหนังสือที่อยู่บนกระดาษ แต่สำหรับผมไม่มีความผูกพันมากเท่าโปสการ์ด"

ส่วน บัญชา อ่อนดี บรรณาธิการบริหารนิตยสาร ฅ.คน ซึ่งเป็นหนุ่มต่างจังหวัดที่เติบโตมากับการใช้โทรเลขส่งข่าวด่วน บอกว่า ตอนนี้ไม่ได้ใช้โทรเลขเลย เพราะอาจจะกลายพันธุ์มาเป็นคนเมืองไปแล้ว

"สำหรับผม ถ้ามีโทรเลขมามีอยู่เรื่องเดียวก็คือ ข่าวร้ายหรือความสูญเสีย ความตายของคนที่เรารัก คนสนิทในครอบครัว คือคำว่า "กลับบ้านด่วน" เฉพาะพวกที่บ้านผมนั้น ไม่มีใครอยากได้รับโทรเลขเลย เพราะว่าโทรเลขคือ ข่าวคราวของความตายที่ต้องด่วนมาก"

บัญชา เล่าว่า เขาจะผวาเกี่ยวกับเรื่องโทรเลข แล้วพาลมาถึงโทรศัพท์ด้วย ถ้ามีโทรศัพท์มาจากบ้านต่างจังหวัด ก็จะมีอารมณ์เดียวกับโทรเลข

"สมัยก่อน ผมก็ใช้โทรเลขบ่อย เป็นวิถีทางเดียวที่ผมจะสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้รวดเร็วที่สุด ผมไม่ได้มองว่า โทรเลขเป็นความคลาสสิกหรือความเท่ มีบุรุษไปรษณีย์ที่ต้องนำมาส่ง ผมมองในแง่คุณประโยชน์ของคนที่ยังไม่พร้อมในเรื่องของคนที่ยังไม่มีโทรศัพท์ โดยเฉพาะในหมู่บ้านของผม โทรเลขนั้นราคาแพงด้วย การใช้ภาษาต้องรวบรัดที่สุด ถ้าเขายุบโทรเลขไปก็เสียดาย เพราะยังมีส่วนจำเป็นอยู่ "

บัญชา มองว่า โทรเลขจะเป็นความหนักแน่นจริงจัง เป็นความจริงของข่าวสารข้อมูลที่ด่วนที่สุด ในขณะที่โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือของการโกหกอย่างชะงัด

"เช่น ไม่อยากมาหาคุณ ก็บอกว่าติดธุระ ไฟที่บ้านเสียน้ำท่วม หรืออยู่ที่สาทรก็บอกว่าอยู่ที่หัวหิน หรือพอไม่อยากรับก็บอกว่า ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถยนต์ เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้มนุษย์โกหกกันได้ง่ายที่สุด ตั้งแต่ผมเกี่ยวข้องพ้องพานกับโทรเลขมา ไม่เคยเห็นใครใช้โทรเลขเพื่อการโกหก"

หลายคนอาจจะไม่สนใจว่า โทรเลขจะมีอยู่หรือเลิกกิจการไป เพราะว่าไปแล้วอัตราค่าโทรเลขจะแพงกว่าโทรศัพท์ขั้นพื้นฐานหรือการส่งเอสเอ็มเอสทางโทรศัพท์มือถือ เพราะค่าส่งโทรเลขในปัจจุบันอัตราคำ (Word) ละ 1 บาท โดยมีอัตราการส่งขั้นต่ำสุด 10 บาทขึ้นไป

จากวันนี้เป็นต้นไป อีกไม่นานก็จะรู้ว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จะชี้ขาดว่า โทรเลขยังควรดำเนินกิจการต่อไปหรือไม่

อวสานของ
โทรเลขคงจะมาถึงในไม่ช้า

****************************

เรื่อง – พรเทพ เฮง









กำลังโหลดความคิดเห็น