xs
xsm
sm
md
lg

55 ปีแห่งมงกุฎและบัลลังก์ ในโลกน้ำหมึกสีม่วงของทมยันตี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อ 50 กว่าปีก่อน เด็กสาวอายุ 19 ปีผู้หนึ่งได้ให้กำเนิดผลงานนวนิยายเรื่องแรกคือ “ในฝัน”

นับจากนั้น นามปากกา โรสลาเรน ลักษณวดี ทมยันตี กนกเรขา มายาวดี ฯลฯ ก็ขึ้นทำเนียบนักเขียนชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนนวนิยายที่ได้รับค่าเรื่องสูงที่สุดในบรรดานักเขียนนวนิยายอาชีพทั้งหมด

และเมื่อไม่นานนี้ ทางสถาบันทำโพลชื่อดังอย่างสวนดุสิต โพลล์ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป ถึงนักเขียนนวนิยายยอดนิยมสูงสุด ผลปรากฏว่าชื่อของนักเขียนเจ้าของนามปากกา “ทมยันตี” ติดอันดับหนึ่งทั้ง 2 ปีซ้อน

เกือบ 6 ทศวรรษในโลกน้ำหมึกสีม่วงของทมยันตี ผู้ที่รังสรรค์นวนิยายมาจวนจะครบ 100 เรื่องในเร็วๆ นี้ จึงนับเป็นหลักชัยบนถนนนักเขียนที่งดงามยิ่ง หลายคนจึงยกย่องพร้อมทั้งจับตามองว่า “ราชินีนวนิยาย” ผู้นี้ จะสละบัลลังก์และมงกุฎที่เธอเปรียบว่าเป็น “หนามแหลม” นั้นหรือไม่

กำเนิดนักเขียนหญิงผู้ยิ่งใหญ่

“ทมยันตี” คือนามปากกาของวิมล ศิริไพบูลย์ ผู้ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้า เป็น “คุณหญิง”

“คุณหญิงนักเขียน” ผู้นี้ เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 ที่ตรอกวัดสะพานสูง บางซื่อ กรุงเทพฯ ในตระกูลบิดาที่เป็นทหารเรือ ส่วนเชื้อสายทางมารดานั้นเคยเป็นชาววังมาก่อน ทั้งคุณแม่และคุณยายนี่เอง ที่เป็นผู้ปลูกฝังให้ทมยันตีรักการอ่าน หล่อหลอมให้เธอเป็นนักเขียนใหญ่ในวันนี้

หลังจบมัธยมจากโรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ ทมยันตีเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนได้วุฒิอนุปริญญา สาขาพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เนื่องจากในขณะเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 ได้ไปสมัครเป็นครูที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ เมื่อโรงเรียนรับเข้าทำงานจึงลาออกจากการศึกษาเพื่อไปประกอบอาชีพครู และทำงานเขียนควบคู่กันไปด้วย

ทมยันตีเริ่มต้นงานเขียนเมื่ออายุเพียง 14 ปี โดยเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกคือ “ตุ๊กตายอดรัก” เพื่อนๆ เห็นว่าเขียนได้ดีจึงส่งไปลงนิตยสาร “ศรีสัปดาห์” นับจากนั้นเธอก็ได้เขียนเรื่องสั้นเรื่อยมาและได้รับการตีพิมพ์ทุกครั้ง จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 19 ปี เธอก็ได้เขียนนวนิยายเรื่องแรก “ในฝัน” โดยใช้นามปากกาว่า “โรสลาเรน” และได้รับการตอบรับจากคนอ่านอย่างดี นับเป็นการแจ้งเกิดของนามปากกา “โรสลาเรน” ที่ใช้เขียนเรื่องแนวรักพาฝัน หรือจินตนิยาย

นับแต่นั้นมา เธอจึงเริ่มต้นอาชีพนักเขียนอย่างจริงจัง โดยมีหลายนามปากกาสำหรับเรื่องหลายแนว อาทิ ลักษณวดี สำหรับนิยายรักแนว “ลิเกฝรั่ง”, กนกเรขา สำหรับแต่งเรื่องตลก เบาสมอง แต่นามปากกาที่สร้างชื่อเสียงที่สุดก็คือ “ทมยันตี” ซึ่งใช้แต่งเรื่องแนวสะท้อนชีวิต สังคม, จิตวิญญาณ, แนวประวัติศาสตร์ และล่าสุดได้แก่ มายาวดี, ทยุมณิ - ราตริมณิ สำหรับใช้เขียนเรื่องแนวจิตวิญญาณและปกรณัม ตามลำดับ

นวนิยายของทมยันตีได้รับความนิยมและถูกนำไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง ที่โด่งดังและประสบความสำเร็จ อาทิ คู่กรรม, ทวิภพ, ในฝัน, คำมั่นสัญญา, ดั่งดวงหฤทัย ฯลฯ

55 ปีบนถนนนักเขียน กับ 100 บทประพันธ์

จาก “ในฝัน” นวนิยายเรื่องแรก จนถึง “จิตเดวะ” นวนิยายเรื่องล่าสุด ลำดับที่ 99 อีกไม่นานแฟนนักอ่านนวนิยายของทมยันตีจะมีโอกาสพบกับผลงานลำดับที่ 100 ของเธอในนามปากกา “ลักษณวดี” เรื่อง “ชีบา”

ความยิ่งใหญ่และคุณภาพในผลงานของทมยันตีนั้นเป็นที่ยอมรับของทั้งนักอ่านทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงบุคคลในแวดวงวรรณกรรมหลายท่าน เช่นในงาน “55 ปีแห่งงานเขียน 100 บทประพันธ์ ความหวัง ชีวิต และนวนิยายของทมยันตี” ที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 10 ได้มีบุคคลในแวดวงที่ใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับบทประพันธ์ของทมยันตีมาร่วมเสวนากันคับคั่ง

พนิดา ชอบวณิชชา บรรณาธิการนิตยสาร “ขวัญเรือน” เป็นผู้หนึ่งที่ผูกพันกับคุณหญิงวิมล หรือทมยันตีมากว่า 40 ปีแล้ว นับตั้งแต่สมัยทำนิตยสาร “ศรีสยาม” ซึ่งทมยันตีได้เขียนนวนิยายเรื่อง “คู่กรรม” ลงตีพิมพ์ และได้สร้างปรากฏการณ์ฮิตถล่มทลาย มีผู้อ่านติดงอมแงมถึงขนาดมารอเฝ้าที่โรงพิมพ์ ไม่เพียงผู้อ่านเท่านั้น แต่คนทำหนังสืออย่างพนิดาเองก็ยังติดนวนิยายเรื่องนี้อย่างหนัก หากทมยันตีเขียนตอนใหม่เสร็จเมื่อใด เธอจะต้องอาสาเป็นผู้รับต้นฉบับเองทุกครั้งเพื่อที่จะได้มีโอกาสอ่านเป็นคนแรก

“ประทับใจในแนวเขียน ประทับใจในสำนวน ประทับใจในความเข้มแข็ง ตัวหนังสือที่เขียนมามีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นตัวตนของคุณหญิงพี่อี๊ด ถ้าถามว่าประทับใจเรื่องไหน เรื่องแรกคือคู่กรรม ถัดมาก็คือเรื่องเงา ส่วนเรื่องต่อมาก็คือธุวตารา พออ่านจบปั๊บ ไปเที่ยวอียิปต์เลย เขียนได้น่ารักมากและทำให้เรารู้ประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้นอีก”

ในวาระครบ 100 บทประพันธ์ของทมยันตี พนิดาจึงรู้สึกภาคภูมิใจแทนนักเขียนรุ่นพี่อย่างยิ่ง

“แค่เรื่องสั้น 100 เรื่องก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่นี่เป็นบทประพันธ์นวนิยายกว่า 100 เรื่อง ดิฉันคิดว่าคนที่ไม่มีจิตวิญญาณจะเดินทางมาถึงจุดนี้ไม่ได้ จิตวิญญาณจะต้องไปพร้อมกับปัญญา แล้วก็ความมานะอดทนด้วย สิ่งหนึ่งที่เห็นได้เสมอในความเป็นทมยันตีคือ เป็นนักอ่าน เป็นนักค้นและคว้ามาใช้เป็นประจำ เคยถามพี่อี๊ดว่าเคยจนมุมด้วยพล็อตไหม พี่อี๊ดตอบว่าไม่เคยหรอก พล็อตฉันเยอะแยะอยู่ในหัวเต็มไปหมด จนกว่าจะมีอะไรมาบอกว่าพร้อมแล้วจึงจะนำออกมาใช้ จิตวิญญาณแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมาก เพราะดิฉันถือว่าวรรณกรรมเป็นมรดกทางเกียรติยศและเป็นมรดกทางสังคมด้วย”

นิรันศักดิ์ บุญจันทร์ บก. จุดประกายวรรณกรรม กล่าวว่านักเขียนเช่นทมยันตีนั้นจะละเลยไม่กล่าวถึงมิได้ เช่นเดียวกับนักเขียนอีกหลายท่าน อย่าง กฤษณา อโศกสิน, สุวรรณี สุคนธา เป็นต้น เพราะนักเขียนเหล่านี้นับเป็นเสาหลักและเป็นผู้แผ้วถางบุกเบิกเส้นทางใหม่แก่นักประพันธ์ไทย

“การที่จะพูดถึงทมยันตี เราต้องมองว่าวงการประพันธ์ไทยก่อนหน้าคุณทมยันตีเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคุณไปเปิดดูนิตยสารก่อนหน้านี้จะมีนักเขียนดังๆ เยอะมาก ผมนึกภาพเด็กผู้หญิงอายุ 14 คนหนึ่ง ใส่ชุดนักเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ แต่ทำไมเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนนี้ถึงได้อาจสามารถเขียนเรื่องสั้นและก้าวขึ้นมาสู่การเป็นนักเขียนได้ และมีนวนิยายเรื่องแรกคือ ในฝัน เมื่ออายุแค่ 19 ปี ตรงนี้มันตอบโจทย์ได้ว่า การเดินทางจากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาที่ทอดยาวมากว่า 55 ปีนี้ไม่ธรรมดา วันเวลากับผลงานจะเป็นตัวพิสูจน์คำว่า ‘นักเขียน’ นี้สำคัญ”

แต่ทุกวันนี้ นิรันศักดิ์รู้สึกขัดเขินเมื่อพบว่ามีบางคนออกมาหนังสือมาหนึ่งเล่มก็เรียกตัวเองว่านักเขียนแล้ว ดังเช่นที่อาจินต์ ปัญจพรรค์ เคยเปรียบเทียบว่าเป็น “ทารกวรรณกรรม” ขณะที่นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนเป็นอย่างไรนั้น ก็ไม่ต้องดูอื่นไกล แค่ดูจำนวนผู้คนมหาศาลที่ไปร่วมงานศพของสุวรรณี สุคนธา เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน

“เมื่อผมมีโอกาสได้อ่านงานของคุณทมยันตีเป็นครั้งแรก ผมก็เข้าใจว่าวรรณกรรมไทยหรือว่าทั่วโลก มันไม่ได้มีอยู่ประเภทเดียวนะ เพราะฉะนั้นเมื่อจะเอ่ยถึงงานเขียนใดก็ต้องศึกษาเสียก่อน และงานเขียนแต่ละประเภทไม่สามารถเอามาเปรียบกันได้ ดังนั้น เวลาอ่านงานของนักเขียนคนใดก็ให้ทำความเข้าใจว่าเป็นสไตล์ของนักเขียนนั้นๆ มิฉะนั้น ผู้อ่านจะไม่สามารถซึมซับอรรถรสได้เลย”

“อย่างอ่านงานของทมยันตี ถ้าเราเข้าใจชั้นเชิงภาษา เราจะได้รับประโยชน์เยอะ ทั้งการใช้ภาษา การสร้างจุดสะเทือนใจในวรรณกรรมของทมยันตีแต่ละเรื่อง อย่าง โกโบริในคู่กรรมนี่ ทำไมถึงบีบอารมณ์คนอ่านให้ติดมาทุกยุคทุกสมัย”

ด้านรักษ์ชนก นามทอน กรรมการผู้จัดการ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ที่ดูแลการผลิตและจัดจำหน่ายผลงานทุกเรื่องของทมยันตีมานับ 10 ปีแล้ว ยืนยันว่า แม้นักเขียนใหญ่ผู้นี้จะมีผลงานเล่มที่ 100 ออกมาเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็มิได้หมายความว่าถึงเวลาที่ทมยันตีจะวางปากกาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม การที่นักเขียนผู้หนึ่งได้รับความนิยมจากผู้อ่านมายาวนานและประสบผลสำเร็จมีผลงานนับ 100 เรื่องนั้น นับเป็นสิ่งที่น่ายินดี จึงเห็นควรที่จะจัดงานเพื่อเป็นเกียรติแก่นักเขียนเอกผู้นี้ขึ้น

“ในปีหน้าเราจะทำบทประพันธ์ทุกเล่ม ทุกนามปากกาของคุณทมยันตี ในการจัดทำครั้งนี้เราจะทำเป็นปกแข็งและเย็บกี่ ใช้กระดาษถนอมสายตา และจะมีตู้ไม้ทำพิเศษสำหรับผู้ที่สั่งซื้อมาโดยเฉพาะ เพื่อให้มีความแตกต่างจากการขายเป็นเล่ม” รักษ์ชนก กล่าว

บัลลังก์และถนนสู่ดวงดาวของทมยันตี

“ใครหยิบปากกาขึ้นมาก็เขียนหนังสือได้ แต่ใครล่ะ จะเขียนแล้วยืนยงให้ได้ นักเขียนต้องไม่สู้กันเองเป็นอันขาด นักเขียนสู้กับตัวเองเท่านั้น ร้อยเรื่องของเราทำอย่างไรจึงไม่ซ้ำกัน ถ้าเขียนเรื่องซ้ำๆ รักกันหนาพากันหนี น้ำลายแม่ค้าน้ำตาตำรวจอยู่อย่างนั้น มันไม่ได้ นักเขียนที่จะเป็นมือโปรจริงๆ นั้นต้องหลีกเลี่ยง ต้องหนีตัวเอง ไม่ใช่หนีใครเลย และอย่าตัดสินตัวเองว่าเราเป็นนักเขียนเป็นอันขาด คนที่จะเป็นผู้พิพากษาเราก็คือคนอ่าน” ทมยันตีกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวในช่วงหนึ่งของการพูดคุย

ก่อนการเสวนาจะเริ่มนั้น ทมยันตีได้เดินทักทายแฟนๆ นักอ่านอย่างเป็นกันเอง พร้อมเล่าว่า เธอเพิ่งเดินทางกลับมาจากเขต “พื้นที่สีแดง” อ.เจาะไอร้อง จ. นราธิวาส ขณะที่เล่าก็ยกมือแตะผ้าคลุมไหล่และศีรษะผืนสวยที่ทมยันตีบอกว่าช่วยให้เธอมีชีวิตรอดกลับมาอย่างปลอดภัย

แม้จะแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด แต่ทมยันตีก็ยังได้เล่าเรื่องสนุกๆ ถึงความคืบหน้าในการที่ประเทศญี่ปุ่นติดต่อซื้อลิขสิทธิ์เรื่อง “คู่กรรม” ไปสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้

“ที่ผ่านมามีคนให้ดิฉันไปชี้ว่าโกโบริตายตรงไหน จะได้สร้างอนุสาวรีย์ให้ หรือมีคนญี่ปุ่นมาถามว่าโกโบริเกิดที่ไหน เมืองอะไร จะตามทัวร์ไปดู” ทมยันตีเล่าพลางหัวเราะถึงอาการ “อิน” จัดของแฟนๆ “ส่วนเรื่องหนังที่ติดต่อมาเขาเป็นการติดต่อในระดับกระทรวงการต่างประเทศ ดิฉันก็ไปสมัครขอเป็นน้องอัง ค่าเรื่อง ค่าลิขสิทธิ์ก็ไม่เอา แถมค่าตัวให้ด้วยเขาก็ไม่รับ ขอเป็นน้าก็ไม่ให้ เอ้า ขอเป็นยายได้ไหม ผู้กำกับเขาบอกว่ายายก็ไม่ได้” ทมยันตีเล่าอย่างอารมณ์ดี เรียกเสียงหัวเราะจากนักอ่านเกรียวกราว

จากการที่เห็นนักเขียนรุ่นใหม่เกิดแล้วหายไป เหมือนดั่งดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มผลิแต่ยังไม่ทันจะบานก็ร่วงโรยเสียก่อน อีกทั้งนามปากกา “โรสลาเรน” เทียบคำภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “กุหลาบราชินี” ทมยันตีจึงอยากจะเห็นกุหลาบดอกใหม่ๆ ประดับสวนวรรณกรรมแห่งนี้

“ถ้าดอกกุหลาบเหล่านั้นบานและโตขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ ความหวังของดิฉัน ความหวังของคนที่เป็นโรสลาเรนจะได้เห็นกุหลาบราชินีอีกดอกหนึ่งๆๆ บานขึ้นเรื่อยๆ ไป เพราะวรรณกรรมมันจรรโลงหัวใจคน พร้อมจะให้ทั้งความรู้และความคิด”

จึงเป็นที่มาของ “โครงการถนนสู่ดวงดาว ทมยันตี อะวอร์ด” ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักเขียนใหม่ที่ไม่มีสนาม ตามความต้องการของนักเขียนใหญ่อย่างทมยันตี ที่อยากเห็นดาวดวงใหม่ส่องประกายประดับวงการนักเขียนรุ่นต่อๆ ไป

“การทำพล็อตเรื่องไม่ยาก แต่การที่จะแตกพล็อตออกมาเป็นนวนิยายนี้ยาก และข้อสำคัญคือเมื่อคุณจรดปากกาลงเขียนประโยคแรก คุณต้องรู้เลยว่าประโยคจบของคุณว่าอย่างไร พีกพอยนต์ของคุณอยู่ตรงใด ถ้าคุณเขียนเรื่องเศร้า คนเขียนไม่น้ำตาหยด คนอ่านไม่ร้องไห้ ถ้าคุณเขียนเรื่องหัวเราะ ถ้าเกิดว่าตัวคนเขียนไม่หัวเราะก่อน ไปไม่ได้”

ทั้งนี้ ทมยันตีได้บอกเคล็ดลับในการเขียนของเธอแก่นักเขียนหน้าใหม่ด้วยว่า ทุกครั้งที่เขียนทมยันตีจะกราบกระดาษ ปากกาทุกครั้ง เพื่อไหว้ครูและพ่อขุนรามฯ ที่ให้ตัวอักษร หลังจากนั้นจึงจะขึ้นห้องพระสวดมนต์จนธูปหมดดอกจึงจะเริ่มลงมือเขียนนวนิยายเรื่องใหม่ได้

ที่พิเศษก็คงเป็น ปากกาหมึกสีม่วงเท่านั้นที่นักเขียนอย่างทมยันตีใช้เขียนนวนิยาย เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า สีม่วงคือสีของจิตวิญญาณ

นักเขียนเอกยอมรับว่าผลงานลำดับที่ 99 อย่างเรื่อง “จิตเดวะ” นั้นเขียนยากมาก นอกจากนี้ทมยันตียังกล่าวถึงนวนิยายเรื่องที่ 100 ของเธอคือ เรื่อง “ชีบา” ว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสในการค้นคว้าข้อมูลมาก แต่แม้กระนั้น นักเขียนใหญ่ก็ยืนยันหนักแน่นว่า “นักเขียนมืออาชีพไม่ใช่แค่ย่ำเท้าอยู่กับที่” เธอจึงเดินหน้าค้นคว้าข้อมูลประวัติศาสตร์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวให้นักอ่านได้ดื่มด่ำกับสำนวนภาษาอันอ่อนหวานกันต่อไป

ผ่านร้อนหนาวมาเกือบ 70 ปี ทุกวันนี้ทมยันตีสามารถกล่าวถึงความตายได้อย่างสงบ เธอเล่าว่าได้ฝากฝังคนใกล้ชิดอย่างภูเตศวรไว้ว่า ทันใดที่สิ้นไร้ลมหายใจให้นำร่างเธอไปเผาบนกองฟอนที่วัดเหมือนในประเทศอินเดีย โดยไม่ต้องมีโลงหรือตัดไม้ จากนั้นนำเถ้ากระดูกไปฝัง และปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ณ ที่แห่งนั้นก็พอ

ซึ่งนอกจากผลงานนับร้อยของเธอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทมยันตีตั้งใจทำเพื่อทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ถึงตัวเธอก็คือหนังสือและซีดี “กลวิธีการเขียนนวนิยาย สไตล์ทมยันตี” เพื่อบอกเล่าประสบการณ์การเขียนกว่า 55 ปีของเธอ รวมทั้งโครงการถนนสู่ดวงดาวฯ ด้วย

“ไม่มีไม้ใดจะสอยฝัน คุณต้องคว้าดาวด้วยมือของคุณเอง ไม่มีใครจะอุ้มคุณส่งให้คุณคว้าขึ้นมา ทุกอย่างต้องคว้าด้วยมือคุณเองและลุกขึ้นยืน มันมาด้วยตัวฉันเองและมันจะอยู่กับฉันตลอดไป คำว่าทมยันตี อะวอร์ด ไม่ได้แปลว่าดิฉันใหญ่โต เก่งหรือวิเศษอะไร แต่ดิฉันอยากจะดูว่าใครจะเดินขึ้นมาบนเส้นทางนี้ และหวังว่าขึ้นมาแทนทมยันตีให้จงได้”

“มงกุฎที่ดิฉันสวมอยู่ คนเห็นเป็นแต่พวงมาลัยดอกกุหลาบวางอยู่บนหัว แต่เจ้าของมงกุฎจะรู้ถึงหนามของกุหลาบที่มันทิ่มแทงตัวเรา กว่าเราจะนั่งอยู่ 55 ปีมันเจ็บปวดยังไง”

“วันนี้ดิฉันพร้อมแล้วที่จะวางมงกุฎนั้นลง เพื่อที่จะไปนั่งมองดูความสำเร็จของคนรุ่นใหม่เหล่านั้น ที่เข้ามานั่งบนบัลลังก์ทองของ ‘นักเขียนมืออาชีพ’ สำหรับโครงการถนนสู่ดวงดาวฯ นี้คือ ถนนสายดวงดาวที่จะนำพานักเขียนรุ่นใหม่ไปสู่ความฝันได้...”

“ดิฉันขออย่างเดียว ขอเพียงแต่ว่าระลึกถึง ‘เฒ่าวรรณกรรม’ ที่จากไปแล้วบ้างก็แล้วกัน” ทมยันตีกล่าวปิดท้าย

*********

“ภูเตศวร-วิศวนาถ”
ศิษย์คนที่สองของทมยันตี

ช่วงเวลาเพียง 10 ปีเศษ นักเขียนเจ้าของนามปากกา “ภูเตศวร-วิศวนาถ” ผู้นี้มีผลงานในบรรณพิภพแล้วกว่า 20 เรื่อง และเขาผู้นี้มีนามจริงว่าประพนธ์ วิพัฒนพร ยังเป็นศิษย์อักษรคนที่สองของทมยันตี หลังจากศิษย์คนแรกคือ รำไพพรรณ ศรีโสภาค หรือที่เรารู้จักในนาม “โสภาค สุวรรณ”

นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้จัดการส่วนตัวของทมยันตี ที่เขาเรียกว่า “ป้าอี๊ด” อีกด้วย

“เริ่มแรกที่ผมเข้ามาเห็นถึงความไม่ค่อยยุติธรรมระหว่างสำนักพิมพ์กับนักเขียน ก็เลยรับหน้าที่ดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ของป้า”

“ที่จริงผมว่าลักษณะของงานป้ากับตัวเขามันคล้ายๆ กันอยู่แล้ว เพราะว่าป้าเป็นคนเข้มแข็งและเป็นคนที่สู้ เพราะฉะนั้น ถ้ามองถึงบุคลิกของตัวละครตัวเอกๆ มีส่วนของป้าค่อนข้างเยอะมาก ป้าจะเป็นคนที่เขียนตัวเอกผู้หญิงเก่ง เชื่อมั่นในตัวเองซึ่งตรงนี้ก็คือบุคลิกของป้าจะเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ อย่างอังศุมาลินก็พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนกัน และเป็นคนใจเด็ด”

ส่วนประเด็นที่งานในยุคหลังๆ ที่ถูกวิจารณ์ว่าต่างไปจากผลงานที่มีชื่อเสียงในยุคแรกของทมยันตีนั้น ประพนธ์มองว่า

“จริงๆ งานของป้าค่อนข้างหลากหลาย แต่ว่าสมัยก่อนงานของป้าเรื่องโรแมนซ์ค่อนข้างจะได้รับการตอบรับสูง ซึ่งผมว่าการเข้าไปเป็นนักเขียนมืออาชีพและเข้าไปสู่ตัวท็อปจริงๆ มันต้องแสดงความเป็นโปรฯ ในงานของการค้นคว้า ซึ่งในระยะหลังที่ผมเข้ามาทำงานกับป้า เริ่มต้นที่คู่กรรม 2 จากนั้นมาก็จะมีเรื่องฌาน, จิตา, ไวษณวี ป้าก็ค่อนข้างจะกลับมาทางด้านของจิตวิญญาณหลายเล่มเหมือนกัน หลังจากนั้นก็เข้ามาสู่ยุคของการเขียนงานประวัติศาสตร์ ซึ่งสุริยวรรมันเป็นงานเขียนที่ยากมากของป้า เพราะใช้ภาษาบาลีสันสกฤต ซึ่งตอนนี้ผมว่าการทำงานของป้ามันขึ้นมาถึงระดับฝรั่งแล้ว ในการที่จะค้นคว้า อย่างเรื่องเมฆขาว เรื่องอินเดียนแดง และเรื่องล่าสุดที่จะเขียนก็เป็นเรื่องของราชินีชีบา วันนี้เราไม่เพียงค้นคว้าข้อมูลที่เมืองไทยมี แต่เราสามารถที่จะค้นคว้าข้อมูลทั้งหมดของโลก และนักเขียนไทยก็สามารถที่จะเขียนเรื่องราวของทุกประเทศได้ วันก่อนคนอาจจะชอบตรงที่ป้าเขียนนวนิยายโรแมนซ์ค่อนข้างดี พูดง่ายๆ ว่า คนนี้น้ำตาหยดเลย แต่วันนี้ผมว่าโรแมนซ์ของป้าก็ยังเป็นโรแมนซ์ชั้นดีอยู่ แต่ว่ามันมีข้อมูลขึ้นมาเยอะมาก ซึ่งผมคิดว่าตรงนี้มันดีกว่า”

เมื่อถามถึงอิทธิพลของทมยันตีที่มีต่อ “ภูเตศวร-วิศวนาถ” ประพนธ์รับว่าความใกล้ชิดก็อาจทำให้มีซึมซับไปบ้าง แม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยสนใจอ่านงานของทมยันตีมาก่อนก็ตาม

“ถามว่าป้าแนะนำไหม ก็คงจะแนะนำบ้างในเรื่องของข้อมูล แต่ในแง่ความคิด ผมกับป้าค่อนข้างให้อิสระในเรื่องของการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องงานการเขียนหนังสือในความหมายของการเป็นนักเขียน ป้าจะไม่เข้ามาสอดแทรกวิธีการทำงานเลย ทั้งวิธีการนำเสนอข้อมูลและสำนวนของเรา ท่านจะค่อนข้างแนะนำเรื่องระวังคำซ้ำนะ ตรงนี้มันหนักไปไหม น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า”

************

เรื่อง - รัชตวดี จิตดี






กำลังโหลดความคิดเห็น