"ต้นไม้" ในความหมายของ อ.สุรัตน์ วัณโณ มิใช่เป็นเพียงพืชพันธุ์ที่ให้ความร่มรื่นนั้น แต่หมายถึงผลงานที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างงดงามโดยธรรมชาติ เสน่ห์ของต้นไม้ถ้าใครได้ซาบซึ้งแล้วจะต้องหลงใหลไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในความงดงามของต้นไม้ก็กลายเป็นมูลค่าที่ต้องใช้เงินตราหาซื้อมาในสนนราคาที่สูงมากจนบางครั้งต้องใช้คำว่า "โอเวอร์" ไปเลย พวก "นักปั่นต้นไม้" หัวใสที่อาศัยกระแสแฟชั่นฮิตของคนรักต้นไม้มาสร้างราคาทุกยุคทุกสมัย
อ.สุรัตน์ วัณโณ อดีตอาจารย์สอนศิลปะ คณะคุรุศาสตร์จุฬาฯ แต่อีกมุมหนึ่งที่ใคร ๆ รู้จักอย่างดีคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องต้นไม้ ปัจจุบันเป็นเจ้าของ " บ้านก้ามปู" ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น Bankampu Tropical Gallery หมายถึงแหล่งสะสมต้นไม้ในเขตเมืองร้อน บนพื้นที่กว่า 5 ไร่เขตบึงคลองกุ่มที่เก็บสะสมพันธุ์ไม้ที่หายากและราคาแพง ๆ หลายร้อยสายพันธุ์
การนิยามตัวเองว่าเป็น "นักสะสมต้นไม้" ของอ.สุรัตน์ หมายถึงเป็นการเก็บต้นไม้สายพันธุ์ที่ตนเองสนใจ ทำนุบำรุงและขยายสายพันธุ์ รวมถึงขายบางส่วน แม้ว่าส่วนมากจะเป็นต้นไม้ราคาแพง แต่ก็ถือว่าแพงอย่างมีเหตุผล หรือแพงเพราะหายาก โตช้า แถมขยายพันธุ์ยาก แต่ถ้าเทียบกับปัจจุบันที่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบนำต้นไม้สายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่นิยมมา"ปั่นราคา"ให้สูงขึ้นนั้น เขาบอกว่าคนกลุ่มนี้น่าจะเรียกว่า"คนเล่นต้นไม้"มากกว่า
อาชีพ"คนขายต้นไม้"
ย้อนกลับไปในวัยเยาว์ อ.สุรัตน์เกิดและเติบโตมาในสวนกล้วยไม้ของคุณพ่อ เลยทำให้เป็นคนรักธรรมชาติและต้นไม้ไปด้วย แม้ว่าจะยึดอาชีพเป็นอาจารย์สอนหนังสือแต่ก็ปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกไปด้วย
อ.สุรัตน์บอกเล่าว่าสมัยก่อนคนที่ยึดอาชีพ"ขายต้นไม้"นั้นมีจำนวนไม่มากนัก และไม่บูมเหมือนในยุคปัจจุบันที่นอกจากจะมีแหล่งขายต้นไม้อยู่ทั่วทุกมุมเมือง หรือตามริมถนนชานเมืองแล้ว การขายต้นไม้ในยุคปัจจุบันยังได้ราคาดี ยิ่งเป็นต้นไม้ที่กำลังเป็นที่นิยมของคนปลูกแล้ว ราคาจะไต่ระดับไปสูงจนเหลือเชื่อทีเดียว
อ.สุรัตน์บอกว่าแหล่งปลูกต้นไม้ใหญ่ ๆ เพื่อขายในยุคก่อนว่าส่วนมากเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามสวนแถวบางบำหรุ ส่วนแหล่งค้าต้นไม้ใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯมีเพียง 2 แห่งคือตลาดนัดสนามหลวง และเทเวศร์ ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าเป็นการ์เดน เซ็นเตอร์ในสมัยก่อน
" สมัยผมเด็ก ๆ ตลาดนัดสนามหลวงเป็นแหล่งขายต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด ส่วนแหล่งที่ขายประจำทุกวันคือเทเวศร์ พอวันศุกร์ชาวสวนแถวบางบำหรุก็จะขนต้นไม้ใส่เรือพายจากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าคลองหลอดมาส่งที่ตลาดนัดต้นไม้สนามหลวง ตอนนั้นคนรักต้นไม้ไปสนามหลวงเพื่อซื้อต้นไม้กันเยอะ หรือถ้าใครอยากอัปเดตเรื่องต้นไม้ก็ต้องไปสนามหลวง " อ.สุรัตน์เล่าย้อนอดีตถึงแหล่งต้นไม้ในยุคเมื่อกว่า 40 ปีมาแล้ว
อ.สุรัตน์เองแม้จะเป็นคนชอบปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรกแต่ก็ไม่เคยซื้อขายต้นไม้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสไปขายต้นไม้ที่ตัวเองอุตส่าห์ประคบประหงมมานานแถมยังได้ราคาดีอีกด้วย
" เรื่องที่หันมาขายต้นไม้นั้น เริ่มจากผมเป็นสมาชิกสหกรณ์ไม้ประดับ ที่บ้านก็มีต้นไม้เยอะอยู่แล้วก็เลยยกไปขายที่สหกรณ์ฯซึ่งตั้งอยู่แถวเทเวศร์ตอนแรกฝากขายก็มีรายได้เล็กน้อยเป็นค่ากระถางเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่งทางสหกรณ์ฯมาชวนไปออกร้านที่อ.ต.ก. ซึ่งสมัยนั้นยังแบกะดินอยู่ ขายแค่ 2 วันมีรายได้ 7,000 บาท ขณะนั้นเรารับเงินเดือนอาจารย์ที่จบปริญญาโทจากอเมริกาเดือนละแค่สองพันกว่าบาทเท่านั้น โอ้โห!!!พอได้เงินมากมายจากขายต้นไม้เรารู้สึกมันพองเลย"อ.สุรัตน์กล่าวอย่างอิ่มใจ
สาเหตุที่ขายต้นไม้ได้ราคานั้น อ.สุรัตน์บอกว่าคงเป็นเพราะต้นไม้ที่สวนของอาจารย์อุตส่าห์ประคบประหงมมานานจึง "สวยเปล่งปลั่งเต็มกอ" กว่าร้านอื่น ๆ ที่ปลูกไปขายไป
เส้นทาง"ต้นไม้หายาก"
เมื่อก่อนเมืองไทยมีแต่ไม้พันธุ์พื้นเมืองที่คุ้นตากันอยู่ ถ้าใครได้ต้นใหม่หรือสายพันธุ์ใหม่มาขายจะกลายเป็นที่ฮือฮาของวงการคนปลูกต้นไม้เป็นอันมาก ซึ่งส่วนมากจะเป็นสายพันธุ์จากเมืองนอกที่คนไทยไม่รู้จัก ซึ่งเป็นที่มาของการทำให้ตลาดซื้อขายต้นไม้ของเมืองไทยคึกคักด้วยสายพันธุ์ใหม่ ๆ ในเวลาต่อมา
ในยุคนั้นคนที่บุกเบิกนำพันธุ์ไม้ต่างประเทศเข้ามาส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มข้าราชการที่ชอบต้นไม้ เมื่อเวลาไปดูงานหรือไปประชุมต่างประเทศก็จะไปเสาะหาต้นไม้แปลก ๆ สวย ๆ ติดไม้ติดมือกลับมาเมืองไทย พอนำเข้ามาแล้วก็ขยายพันธุ์ขายจะได้ราคาดีมาก เนื่องจากยุคนั้นไม่ค่อยจะมีใครกล้าลงทุนเดินทางไปเพื่อซื้อต้นไม้ถึงเมืองนอก ดังนั้น ใครที่ได้ต้นแปลกใหม่เข้ามาจึงกลายเป็นที่ฮือฮาในหมู่นักเล่นต้นไม้จริง ๆ
เมื่อการบุกเบิกเป็นรายแรก ๆ นำมาซึ่งรายได้ให้อย่างงดงาม จึงทำให้คนปลูกต้นไม้หลายคนเริ่มหันมาเสาะแสวงหาต้นไม้สายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างจริงจัง ต่อมาในภายหลังจึงมีคนเดินทางเพื่อไปหาซื้อต้นไม้มาขาย มีทั้งการเดินทางไปในรูปแบบทัวร์ของสมาคมไม้ดอกไม้ประดับฯ เพราะแทบทุกประเทศจะมีงานเอ็กซ์โปเกี่ยวกับต้นไม้ บุคคลเหล่านี้นอกจากจะไปอัปเดตเรื่องพันธุ์ไม้แล้วก็ยังมีการนำสายพันธุ์ใหม่ ๆ ติดไม้ติดมือกลับมาเพาะขายเพื่อหารายได้อีกด้วย
ต้นไม้ที่สายพันธุ์แปลกใหม่ตลอดจนสีสันสวยงามจึงเริ่มกลายมาเป็นที่นิยมของคนที่นิยมปลูกต้นไม้ เพราะใครที่ขายก่อนก็จะสามารถกำหนดราคาเองได้ เมื่อมีต้นไม้ใหม่ ๆ ทั้งคนขาย, คนปลูกและคนซื้อก็แห่กันไปซื้อจนทำให้ต้นไม้สายพันธุ์ใหม่ ๆ ขายได้ราคาเรียกได้ว่าใครบุกเบิกตลาดในจังหวะดี ๆ จะร่ำรวยทันตาทีเดียว
" เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ต้นยางอินเดียซื้อขายกันใบละ 500 บาทหมายถึงในกระถางหนึ่งมีต้นยางอินเดียแตกยอดออกมาเพียง 1 ใบเท่านั้น ซึ่งแพงกว่าราคาทองในตอนนั้นที่บาทละ 400 บาทเอง เนื่องจากตอนนั้นยางอินเดียเป็นต้นไม้ใหม่ที่มีคนเอามาจากประเทศอินเดียแล้วก็กำลังนิยมกันในหมู่นักเล่นด้วย" อ.สุรัตน์กล่าว
ไม่เพียงต้นยางอินเดียที่จะสร้างกระแสของคนคลั่งต้นไม้มาแล้ว ในแต่ละยุคก็จะมีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์หมุนเปลี่ยนกันมาเป็นดาวเด่นในตลาดต้นไม้ ต้นไม้เหล่านี้บางต้นก็ยังเป็นดาวค้างฟ้า ราคาไต่ขึ้นไปตั้งแต่เรือนหมื่นจนถึงราคาเป็นล้านก็มีคนกล้าซื้อ
" สมัยผมยังไม่เกิดก็มีพวกบ้าต้นไม้กันแล้ว จำได้ว่ามีผู้ใหญ่เล่าสู่กันฟังว่าเมื่อก่อนต้นโกสล( Philodendron)เป็นที่สนใจของคนเล่นต้นไม้มาก จะเลี้ยงกันเป็นตับ ๆ อย่างตับรามเกียรติ์ ตับขุนแผน ซึ่งจะนิยมตั้งชื่อกันเป็นชุด ๆ เป็นต้นไม้ที่มีใบสวยงามอมตะจริง ๆ " อ.สุรัตน์กล่าว
ต้นไม้หลายต้นที่กลายมาเป็นตำนานของ "ต้นไม้แพง" ที่คนยังกล่าวขานถึงจนทุกวันนี้ บางต้นแพงอย่างมีเหตุผล แต่บางคนก็ถูกการ"ปั่นราคา" ทำให้ราคาแพงจนน่ากลัวทีเดียว
"โป๊ยเซียน" บทเรียนที่เจ็บปวด
โป้ยเซียนเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดย่อม จัดอยู่ในประเภทไม้มงคลที่คนไทยโบราณนิยมปลูกันตามบ้านเชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้ เนื่องจากชื่อ"โป๊ยเซียน"หมายถึงเทพยดา 8 องค์ที่คอยอวยชัยอวยพรให้แก่มวลมนุษย์ พืชสกุลนี้มีมากกว่า 300 สายพันธุ์ มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นคนจีนที่นำโป๊ยเซียนเข้ามาปลูกในเมืองไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ
โป๊ยเซียนจะให้ดอกเป็นคู่และในยุคแรก ๆ นั้นช่อหนึ่งจะมีมากที่สุดเพียง 8 ดอกเท่านั้น เชื่อกันว่าบ้านไหนที่ปลูกโป้ยเซียนได้ 8 ดอกถือว่ามีโชคลาภมาเยือนบ้านนั้นแล้ว
ไม้พันธุ์นี้มาเป็นที่นิยมเมื่อมีคนนำสายพันธุ์ใหม่ที่สีเข้มดอกดกถึง 30 ดอกในหนึ่งช่อ จากนั้นก็เริ่มมีการผสมพันธุ์ด้วยเมล็ดแล้วคัดพันธุ์ที่มีดอกสีสวย ๆ ดอกโต ๆ ออกมาแล้วก็ตั้งชื่อแปลกใหม่ให้เป็นมงคลออกมามากมาย
เชื่อกันว่าราคาโป๊ยเซียนที่แพงที่สุดน่าจะอยู่ที่ 100,000 บาทซึ่งเป็นต้นที่คว้ารางวัลที่ 1 จากการประกวดแล้วให้มีการประมูลกัน หลังจากคนที่ประมูลต้นโป๊ยเซียนราคาเรือนแสนมาได้นั้น เขาจะนำโป๊ยเซียนต้นนี้ไปขยายพันธุ์ทันที
" คนที่ประมูลมาได้จะต้องกลับไปรีบตั้งหน้าตั้งตาขยายพันธุ์ เพราะโป๊ยเซียนขยายพันธุ์ง่าย อย่างต้นที่ประมูลมาสามารถแยกต้นอ่อนออกมาขายได้รอบแรก 50 - 100 ต้น ต้นอ่อนเหล่านี้ราคาขายจะถูกลงไปหน่อยประมาณ ต้นละ 3 - หมื่นบาท พอมีพ่อค้าซื้อต่อก็จะรีบไปขยายพันธุ์วนเวียนกันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ " อ.สุรัตน์กล่าว
แต่ต้นโป๊ยเซียนมา"ตาย"ลงก็เพราะคนที่โกงและโลภในวงการคนขายต้นไม้ ซึ่งเล่ากันว่าเล่ห์เหลี่ยมของคนกลุ่มนี้จะทำเป็นกระบวนการกล่าวคือ ตัวเองอาจจะเก็บโป๊ยเซียนต้นเด็ด ๆ เอาไว้ 2 - 3 ต้นพร้อมกับที่ส่งเข้าประกวดด้วย โดยรู้กันกับกรรมการเพื่อจะให้ต้นโป้ยเซียนของตัวเองชนะ หลังจากนั้นเมื่อ "เหยื่อ" ประมูลไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาขยายพันธุ์เพื่อเอาทุนคืน แต่แก๊งนี้กลับนำโป๊ยเซียนที่เก็บเอาไว้มาทุ่มตลาดขายตัดราคา จนทำให้พ่อค้าที่ประมูลไปต้องเจ๊งเพราะขายแพงก็ไม่ได้ขายถูกก็ไมได้ทุนคืน สรุปแล้วที่เจ็บปวดคือพ่อค้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เมื่อในวงการเกิดเรื่องสกปรกเช่นนี้ขึ้น ก็เริ่มทำให้ความนิยมของโป๊ยเซียนเสื่อมถอยลงไปด้วย จากราคากระถางละเป็น 100 - 1,000 บาท เดี๋ยวนี้เหลือต้นละ 7 - 10 บาทเท่านั้น ซึ่งอาศัยส่งออกจึงจะได้ราคานี้
"เขียวหมื่นปี" 3 ต้น 1 ล้านบาท
ฟังชื่อต้น"เขียวหมื่นปี"แล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่เมื่อรู้ราคาที่แสนจะแพงสุด ๆ คงอยากจะรู้จักไม้ต้นนี้มากยิ่งขึ้นใช่ไหม
เขียวหมื่นปี เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กมีสีเขียวตลอดทั้งปี ทั้งก้านใบสีเขียว ถือเป็นว่านพันธุ์หนึ่งที่ให้สรรพคุณอยู่ยงคงกระพัน และสามารถนำมาทำเป็นยากรักษาแผลได้
" เมื่อปีที่แล้วมีการซื้อขายต้นเขียวหมื่นปีในราคา 3 ต้น 1 ล้านบาท ที่แพงเพราะฟอร์มสวย สีแดงแจ๊ด คือแดงทั้งต้นและเหลือบแดง ตามปกติจะเห็นมีสีขาวหรือเหลืองอยู่ด้วย " อ.สุรัตน์กล่าว พร้อมกับเปิดเผยว่าไม้ต้นที่ได้รางวัลนี้เป็นสายพันธุ์ที่เพาะในเมืองไทย และที่ได้ราคาสูงขนาดนี้ถือว่า"วัดดวง"ด้วย เพราะเจ้าของจะต้องนำต้นเขียวหมื่นปีมาผสมพันธุ์กัน เมื่อได้เมล็ดออกมาแล้วก็ต้องใช้เวลาปลูกอีกระยะหนึ่งเพื่อจะดูว่าดอกสีเข้มไหม ฟอร์มสวยไหม ถ้าไม่ได้ก็ต้องผสมพันธุ์กันต่อไปอีก แต่บังเอิญต้นนี้เจ้าของโชคดีได้สายพันธุ์ออกมาที่แปลกมีหนึ่งเดียวในโลก ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
"ปาล์ม" ไม้อมตะตลอดกาล
ปาล์มเคยเป็นต้นไม้ที่โด่งดังมาก่อนแต่ไม่หวือหวามากนัก สาเหตุเนื่องจากการขยายพันธุ์ที่ต้องการให้สายพันธุ์แปลกใหม่เกิดขึ้นนั้นจะต้องใช้เมล็ดและกว่าเห็นผลก็ใช้เวลานานมาก ๆ
ต้นปาล์มมาฮิตมาก ๆ ในยุคบ้านจัดสรรบูมสุด ๆ เพราะทุกหมู่บ้านล้วนต้องการต้นปาล์มมาตกแต่งสวนกันทั้งนั้นมีการกว้านซื้อปาล์มต้นใหญ่ ๆ ในสนนราคาสูงเพราะกว่าจะได้ต้นงาม ๆ จะต้องใช้เวลาหลายปี แต่ราคาปาล์มสูงสุดก็ไม่เกินเรือนพันเท่านั้น ดังนั้นปาล์มจึงไม่บูมมากเหมือนต้นไม้อื่น ๆ แต่ราคาก็ไม่ตกเช่นกัน
อ.สุรัตน์บอกว่าเมืองไทยถือว่าเป็นแหล่งปลูกปาล์มใหญที่สุดในโลก ซึ่งหาดูได้ที่สวนนงนุช ซึ่งจะมีปาล์มทุกสายพันธุ์ ทั้งปริมาณและคุณภาพ
"ลีลาวดี" ปั่นราคาสุดๆ
ใครที่เล่นต้นไม้จะรู้ดีว่าในตอนนี้ต้นลีลาวดีนั้นถูกปั่นราคาให้แพงจนเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เมื่อก่อนนี้แทบจะไม่มีใครปลูกต้นไม้นี้ในบ้านเลย
ลีลาวดีชื่อเดิมว่า " ลั่นทม" เนื่องจากชื่อนี้คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นไม้ดอกอัปมงคล จึงไม่นิยมปลูกกันตามบ้าน แต่มักนิยมปลูกตามวัดหรือป่าช้า รวมถึงที่สาธารณะ ลั่นทมมาฮิตฮอตสุดขีดเมื่อมีพ่อค้าหัวใสที่แอบอ้างว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานชื่อที่เป็นมงคลให้เป็น "ลีลาวดี"
แต่ก็มีการชี้แจงจากกองบำรุงรักษาอุทยาน สวนจิตลดา ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีไม่ได้พระราชทานนามว่า"ลีลาวดี"
แต่อย่างไรก็ตาม ลั่นทมในชื่อใหม่ดูเหมือนจะโดนใจคนจำนวนมาก เนื่องเพราะความจริงลั่นทมเป็นไม้ที่ฟอร์มต้นสวยงามมาก ดอกสวย กลิ่นหอม และปลูกง่าย
จากนั้นเป็นต้นมา ต้นลีลาวดีก็กลายเป็นต้นไม้ยอดนิยมที่คนแห่ซื้อเพื่อนำไปปลูกตามบ้าน นำไปแต่งสปา นำไปแต่งหมู่บ้านจัดสรร จนทำให้ราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ
" เมื่อก่อนต้นลั่นทมสายพันธุ์ไม่ใหญ่ ไม่สวย ไม่หอม ซื้อขายกันแค่ 100 - 800 บาทเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ซื้อขายกันพันไปจนถึงหมื่น " อ.สุรัตน์กล่าว
ลีลาวดีต้นใหญ่ ๆ จึงจะมีราคาแพง เมื่อตลาดต้องการมากแต่ปลูกไม่ทันจึงมีพ่อค้าหัวใสไปขอซื้อจากวัดที่มีต้นลีลาวดีขนาดใหญ่ ๆ เพราะปลูกมาหลายสิบปี เชื่อกันว่าลีลาวดีต้นใหญ่ ๆ ในเมืองไทยถูกกว้านซื้อไปเกือบหมดแล้ว พ่อค้าที่มีออเดอร์จึงต้องข้ามไปซื้อฝั่งลาวและเขมรซึ่งยังมีต้นลีลาวดีขนาดใหญ่ ๆ อยู่อีกเป็นจำนวนมาก
" ลีลาวดียังจะฮิตอีกนาน เพราะเป็นต้นไม้ที่ใช้เวลาในการปลูกและนิยมนำไปตกแต่งสวนได้สวย เป็นต้นไม้ที่มีอนาคตเพราะตอนนี้มีคนเพาะพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเรือย ๆ ซึ่งได้ทั้งสีดอกดที่สวยงาม " อ.สุรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ต้น"ลิ้นมังกร" Sancivieria เป็นต้นไม้อีกสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังจะได้รับความนิยมในอนาคต "ความจริงลิ้นมังกรเริ่มได้รับความนิยมแล้ว แต่บังเอิญมาโดนลีลาวดีตัดหน้าไปเสียก่อน " อ.สุรัตน์กล่าว เหตุผลที่เริ่มมาฮิตกันเนื่องจากกระแสของเมืองนอกที่ฮิตอยู่ในตอนนี้
เมืองไทยสุดยอดพันธุ์ไม้งามของโลก
จากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดกับต้นไม้มาเกือบตลอดชีวิต และได้มีโอกาสไปสัมผัสดูงานเรื่องต้นไม้ในต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง อ.สุรัตน์ฟังธงว่าเมืองไทยเป็นแหล่งต้นไม้ที่ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสายพันธุ์ที่มีเป็นจำนวนมาก ไปจนถึงฝีมือในการผสมพันธุ์เพื่อหาพันธุ์แปลกใหม่ก็ไม่แพ้ที่อื่น ๆ
" เมืองไทยถูกจัดเป็นแหล่งพันธุ์ไม้อันดับต้น ๆ ของโลกทีเดียว เมื่อก่อนเราอาจจะบินไปเมืองนอกเพื่อหาซื้อต้นไม้แปลก ๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้ต่างชาติต้องบินมาดูตลาดต้นไม้เมืองไทยกันแล้ว เพราะเมืองไทยเล่นต้นไม้กันแบบดุเดือด ดูง่าย ๆ เราไปซื้อต้นไม้ต่างประเทศอย่างมากก็ได้ติดไม้ติดมือมาเพียง 4 - 5 อย่างเท่านั้น แต่ฝรั่งเข้ามาเมืองไทยแค่ไปตลาดต้นไม้ที่จตุจักรก็ได้มาหลายสิบอย่าง แถมราคาแสนจะถูกเมื่อเทียบกับค่าเงินบ้านเขา" อ.สุรัตน์กล่าว
แต่เรื่องนี้กลับเป็นดาบสองคมที่เพราะพวกต่างชาติหลายคนที่ซื้อต้นไม้จากเมืองไทยแล้วกลับไปจดลิขสิทธิ์เป็นต้นไม้ของตนเองสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศเราไม่น้อย
ก่อนจบการสัมภาษณ์ อ.สุรัตน์พาเดินชมสวน" บ้านก้ามปู" ในเนื้อที่กว่า 5 ไร่ที่กำลังจะทำเป็นการ์เด้น เซ็นเตอร์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เป็นสวนที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่อย่างต้นก้ามปูที่แผ่กิ่งก้านปกคลุม ส่วนไม้เล็กที่อยู่ตามกระถางที่เรียงรายอยู่ภายใต้โดมก็เป็นบรรดาต้นไม้ที่แปลกและหายากทั้งนั้น อาทิ ต้นหน้าวัวกลายพันธุ์ขนาดใหญ่ ที่ชาวต่างชาติมาขอซื้อโดยให้ราคา 2,500 ดอลล่าร์ก็ไม่ขายเพราะเจ้าของสวนบอกว่าอยากให้ต้นนี้อยู่ที่เมืองไทย