xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวย่างที่น่าจับตามอง ของธุรกิจหนังสือเช่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยุคนี้ จะหันไปทางไหนก็พบเห็นร้านเช่าหนังสืออยู่ทั่วไป บางทีอาจจะมากกว่าร้านขายหนังสือด้วยซ้ำ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครๆ ก็อยากมีกิจการร้านให้เช่าหนังสือ-นิตยสารเป็นของตนเอง ทั้งที่คู่แข่งทางธุรกิจนั้นก็ยังมีอยู่มาก มินับที่เตรียมจะกระโจนลงสนามเพื่อขอแชร์ส่วนแบ่งอีกจำนวนไม่น้อย

ผลตอบแทนทางธุรกิจคงไม่ใช่เพียงคำตอบเดียวของธุรกิจนี้…ที่กิจการส่วนใหญ่นอกจากจะเริ่มต้นจากความรักหนังสือแล้ว ยังเป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมวงจรการอ่านในบ้านเราอีกทางหนึ่ง

"สวนหนังสือ" สวนของคนรักหนังสือ

ภาพหนังสือเรียงรายแน่นขนัดบนชั้นสูงจรดเพดาน มีทั้งพ็อคเก็ตบุ๊คและนิตยสารหลากหลายประเภท ถูกจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย หนังสือแปล สารคดี ฯลฯ ส่วนชั้นสองของร้านนั้นเป็นอาณาจักรของการ์ตูนล้วนๆ ทั้งการ์ตูนลายเส้นสวยๆ สไตล์เนื้อเรื่องหวานๆ ของผู้หญิง หรือการ์ตูนที่มีลายเส้นดิบๆ บู๊ดุดันของคอการ์ตูนผู้ชาย

อารมณ์ความรู้สึกเมื่อย่างเข้ามาในร้านแห่งนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่ต่างจากการเดินเข้าไปในสวนที่เต็มไปด้วยหนังสือ แทนที่ไม้นานาพันธุ์ ซึ่งเจ้าของกิจการได้เก็บรวบรวมไว้หลากหลายให้นักอ่านมาแบ่งปันไปชื่นชมและดื่มด่ำกับสุนทรียรสทางภาษาที่บ้าน สมกับชื่อร้านที่ตั้งว่า "สวนหนังสือ"

จริงอยู่ ที่ร้านเช่าหนังสือนั้นมีอยู่มากมาย เฉพาะในกรุงเทพฯ แห่งเดียวก็นับหลักพัน แต่มีเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้นที่สามารถขยายกิจการใหญ่โตได้เพิ่มขึ้นแทบจะทุกปี และเป็นกิจการให้เช่าหนังสือที่ขยายเครือข่ายจากต่างจังหวัดมาเปิดร้านหนังสือให้เช่าใหม่อีกหลายสาขาที่เมืองหลวงได้อย่างประสบความสำเร็จ เช่นดังร้านสวนหนังสือแห่งนี้

ภูริตา อัตถนาถะพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ร้านสวนหนังสือ บอกเล่าความเป็นมาของกิจการร้านให้เช่าหนังสือที่ปัจจุบันมีอยู่หลายสาขานี้ว่า เริ่มต้นจากเธอและกลุ่มเพื่อน 4-5 คนซึ่งเป็นคนรักหนังสือ จึงเกิดไอเดียลงหุ้นกันเปิดร้านให้เช่าหนังสือขึ้นที่เชียงใหม่เป็นแห่งแรก ก่อนจะค่อยๆ ขยายกิจการลงมาที่กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
 
"คือเรามองว่าร้านหนังสือเมื่อก่อนนี้มักจะมีแต่หนังสือการ์ตูน แล้วก็นิยายจีนเก่าๆ ไม่ครอบคลุมหนังสือทุกประเภท ก็เลยอยากให้มีทั้งนิยายไทย นิตยสาร มีพ็อคเก็ตบุ๊ค การ์ตูนครบครัน"

"เงินลงทุนเริ่มแรก ร้านที่เชียงใหม่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนก็ประมาณ 5 แสนบาท เพราะเราซื้อหนังสือใหม่เกือบทั้งหมด ก็จะซื้อจากจตุจักรและสุรวงศ์ที่เชียงใหม่ ตอนนั้นเราเล็งกลุ่มนักศึกษาเป็นหลัก เพราะฉะนั้นทำเลที่เราเปิดก็จะอยู่ใกล้สถานศึกษา" จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ธุรกิจร้านเช่าหนังสือที่เชียงใหม่ผุดขึ้นจนล้น ภูริตาจึงตัดสินใจลองมาเปิดร้านสาขาแรกที่กรุงเทพฯ

จากย่านหอการค้าเป็นร้านแรก ต่อมาก็มีร้านสวนหนังสือย่านเกษตร, สะพานใหม่ และโชคชัย 4 ตามมาด้วยความที่มีหลากหลายสาขา ทำให้ร้านเช่าหนังสือแห่งนี้สามารถให้บริการได้ครอบคลุมหลากหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ

ไกรนพ ศรีศุภร คู่ชีวิตของภูริตา ที่ดูแลกิจการร้านขายการ์ตูนในซอยแพร่งเกษตร 2 ไม่ไกลจากร้านสวนหนังสือ สาขาเกษตร ยอมรับว่า ทุกวันนี้ธุรกิจร้านเช่าหนังสือกำลังบูมมาก สังเกตได้จากการที่มีร้านเช่าหนังสือเปิดใหม่ทั่วทุกมุมเมือง นอกจากนี้ ยังมีคนสนใจทำธุรกิจนี้กันมากกระทั่งโทรศัพท์มาสอบถามเขาไม่เว้นแต่ละวัน บ้างก็เดินทางมาพูดคุยกับเขาถึงร้านเพื่อขอคำแนะนำในการเปิดร้านหนังสือเช่า

ถามถึงเกณฑ์ในการคัดเลือกหนังสือเข้าร้านเช่า ไกรนพกล่าวว่าการ์ตูนที่ร้านของเขาจะเน้นลิขสิทธิ์เป็นหลักทุกเล่ม โดยรับซื้อผ่านยี่ปั๊วซึ่งสะดวกและราคาถูก ในขณะที่การเลือกซื้อพ็อคเก็ตบุ๊คนั้นจะยากกว่า เพราะมีหลากหลายสำนักพิมพ์ ซึ่งทางร้านจะซื้อพ็อคเก็ตบุ๊คอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ขณะที่การเลือกซื้อแม็กกาซีนจะง่ายกว่าเพราะมีหัวดังๆ ที่นิยมอยู่ในตลาดไม่กี่หัว ส่วนอันดับหนังสือขายดีนั้นก็นำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจซื้อหนังสือเข้าร้านบ้าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประเภทใด ความ 'ดัง' และ 'ใหม่' นับเป็นสิ่งสำคัญ หนังสือที่ร้านสวนหนังสือนี้จึงเรียกได้ว่าใหม่ชนแผง ถ้ามีในร้านขายหนังสือทั่วไปแล้วก็ต้องมีให้เช่าที่นี่แน่นอน แต่ทว่าไกรนพก็ไม่ละเลยหนังสืออมตะที่ร้านเช่าหนังสือทุกร้านควรจะมีอย่าง "เพชรพระอุมา"

"ทุกวันนี้คนจะอ่านนิยายไทย นิยายจีนน้อยลง แต่พวกการ์ตูน นิตยสาร หนังสือที่เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คบันเทิง อย่างของสำนักพิมพ์แจ่มใสคนจะอ่านกันมากขึ้น" ไกรนพเล่าเท่าที่สังเกตเห็นพฤติกรรมการอ่านของลูกค้าที่มาเช่าหนังสือที่ร้าน "ร้านเช่าหนังสือทุกที่ส่วนมากกลุ่มเป้าหมายเขาก็เน้นไปที่นักเรียน นักศึกษาอยู่แล้ว เพราะคนทำงานเขาคงไม่ค่อยมีเวลาอ่าน"

ส่วนอัตราค่าเช่านั้น ทางร้านสวนหนังสือจะคิดราคาอยู่ที่ 10 % ของราคาปก สำหรับการ์ตูนและนิตยสาร หากเป็นนิตยสารเก่าก็จะลดลงไป ขณะที่พ็อคเก็ตบุ๊คส่วนใหญ่จะคิดที่ 5% ของราคาปก ซึ่งที่ร้านสวนหนังสือจะใช้ระบบค่าเช่าในอัตราวันต่อวัน ไกรนพกล่าวว่าร้านเช่าหนังสือแต่ละร้านก็จะมีระบบคิดอัตราค่าเช่าแตกต่างกันไป บางร้านก็เก็บก่อน หรือเก็บทีหลังคืนหนังสือ

ส่วนปัญหาหนังสือหายหรือโดนขโมยซึ่งเป็นปัญหาที่อยู่คู่กับร้านเช่าหนังสือมานานนั้น ไกรนพบอกว่ามีบ้างแต่ไม่มากนัก คิดเป็นเปอร์เซนต์ไม่ถึง 1 เมื่อเทียบกับจำนวนหนังสือในร้านทั้งหมด แต่ก็ยอมรับว่าร้านหนังสือเช่าไม่อาจตรวจเช็คสต๊อกได้เหมือนร้านขายหนังสือทั่วไป เพราะยากที่จะตรวจสอบว่าหนังสือที่หายไปจากชั้นนั้นมีคนยืมไป โดนขโมย หรือว่ามีคนเอาไปซ่อนกันแน่

ปัจจุบันนี้ ที่ร้านสวนหนังสือทั้ง 4 สาขามีสมาชิกนับพัน สถิติการเช่าวันละนับร้อย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับทำเลเป็นหลัก บางสาขาที่อยู่ใกล้สถานศึกษา เช่น หอการค้าก็จะเงียบในช่วงปิดเทอมหรือเสาร์อาทิตย์ ขณะที่ในย่านชุมชนอย่างเกษตร หรือโชคชัย 4 นั้นก็จะคึกคักตลอด แต่ละร้านจึงต้องซื้อหนังสือใหม่เข้าร้านเฉลี่ยถึงเดือนละหลายร้อยเล่ม

ถึงแม้จะมีร้านเช่าหนังสือเปิดมากขึ้น ไกรนพมองว่ายังมีตลาดอีกเยอะ "ทุกวันนี้ร้านเราก็ยังเติบโตได้อยู่ ปริมาณสมาชิกก็มากขึ้นทุกปี ซึ่งมันก็มีร้านเปิดใหม่ ผมมองว่ามันก็ยังมีกลุ่มคนใหม่ๆ ที่เพิ่งเริ่มอ่านหนังสือ หรือไม่อยากซื้อ เลยหันมาเช่าอ่าน แต่ผมก็คิดว่าคงมีไม่เยอะนะคนที่เคยซื้อหนังสือมาก่อนแล้วเลิกซื้อ มาเช่าอ่าน"

หากในอนาคตจะมีการเก็บลิขสิทธิ์หนังสือเช่า ไกรนพกล่าวว่าเขาไม่หนักใจในส่วนนี้เพราะเชื่อมั่นว่าคงไม่มีราคาแพงนัก แต่อย่างไรก็ดี เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นการเก็บลิขสิทธิ์เพลงหรือภาพยนตร์ เพราะปริมาณหนังสือในตลาดนั้นมหาศาลกว่าสื่อประเภทอื่นๆ

"ธุรกิจนี้มันเป็นธุรกิจที่คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าเราทำธุรกิจอะไรก็ตาม ต้องใส่ใจและจริงจัง ผมเชื่อว่าร้านเช่าหนังสือยังเปิดได้อีก ร้านที่เจ๊งไปผมเชื่อว่าคงเป็นเพราะทำเลไม่ดี ทำเลมันสำคัญประมาณหนึ่ง แต่ที่สำคัญคือการรักษามาตรฐานร้าน"

"ปันกัน" บริการแมกกาซีนดีลิเวอรี่

หากคุณเคยเข้าไปนั่งใช้บริการในร้านกาแฟทันสมัย ทั้งแบรนด์ไทยและระดับโลก หรือไปรับประทานอาหารในแฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดชื่อดังแล้ว หลายคนคงเคยเห็นและได้อ่านแมกกาซีนฆ่าเวลาขณะรออาหารหรือเครื่องดื่ม และหากสังเกตให้ดีจะพบว่าแมกกาซีนหลายเล่มนั้นหุ้มปกด้วยพลาสติกอย่างดี และติดสติกเกอร์ด้านหน้าว่า "ปันกัน ร้านหนังสือ"

แต่ในความเป็นจริง ร้านหนังสือแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้บริการเหมือนร้านเช่าหนังสือทั่วไป ที่ลูกค้าสามารถเดินเข้าไปเลือกหาหนังสืออ่านในร้านได้ตามความพอใจ หากแต่บริการของปันกันจะเน้นอยู่ที่บริการให้เช่านิตยสารแบบดีลิเวอรี่ เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์กดเบอร์ 0-2718-8887 เท่านั้น นิตยสารเหล่านั้นก็จะถูกส่งตรงถึงมือคนอ่านที่บ้านหรือองค์กรในทันที

ร้านหนังสือปันกัน จึงถือเป็นผู้ริเริ่มบริการรูปแบบใหม่ในธุรกิจให้เช่าหนังสือ นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อนิตยสาร ยังประหยัดเมื่อเทียบกับการซื้อนิตยสารเองเพราะได้อ่านจำนวนนิตยสารมากขึ้นในจำนวนเงินเท่ากัน เสมือนว่าได้เป็นสมาชิกของนิตยสารทุกเล่ม จึงเหมาะกับธุรกิจ ร้านค้า หรือบริษัทที่มีลูกค้ารอรับบริการ เช่น ร้านกาแฟ เสริมสวย คลินิก ร้านอาหาร พื้นที่รับรองลูกค้าของบริษัท หรือแม้กระทั่งไว้อ่านเองที่บ้าน

ตุลา เลิศประเสริฐกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ยู อินโฟ จำกัด ผู้บริหาร "ปันกัน ร้านหนังสือ" บอกเล่าที่มาของธุรกิจนี้ว่า จากจุดเริ่มต้นที่เขาไปใช้บริการ ณ ร้านกาแฟหรือคาร์แคร์ในฐานะลูกค้าทั่วไป พบเห็นว่ามักจะมีแต่แม็กกาซีนเก่าค้างปีให้บริการ ทำให้เขาเล็งเห็นช่องว่างทางการตลาดของธุรกิจให้เช่านิตยสาร เมื่อมีเสียงตอบรับถึงความเป็นไปได้ จึงลงมือริเริ่มธุรกิจนี้มาจนย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว และมีทีท่าว่าจะขยายตัวทางธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกปี

"ตอนนี้เราแบ่งลูกค้าเราออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ ลูกค้าองค์กรกับลูกค้าบ้าน ลูกค้าองค์กรก็คือพวกที่ซื้อเราไปเพื่อบริการให้ลูกค้าอ่าน ถ้าเป็นลูกค้าบ้านก็คือที่เขาเอาไปอ่านเอง ลูกค้าองค์กรของเราก็มีทั้งธุรกิจ จำพวกร้านกาแฟ คลินิกทำฟัน หรือพวกคาร์เซอร์วิส เขาก็จะมีมุมให้บริการนิตยสารแก่ลูกค้า เราก็ไปรับเหมามุมตรงนี้มาจัดนิตยสารให้ตามความต้องการของแต่ละร้าน"

กลยุทธ์ตอนแรกสุดนั้น ตุลาใช้วิธีเดินเข้าไปตามจุดธุรกิจที่มีเชนหลากหลายสาขา เพื่อพรีเซนต์แนวความคิดของธุรกิจใหม่นี้ ซึ่งก็นับว่าได้ผลดีตรงเป้า

"ผมมาคิดว่าถ้าเดินเข้าไปหาคลินิกทำฟันแต่ละร้าน กว่าจะได้ลูกค้าเพิ่มทีหนึ่งร้าน วันหนึ่งผมเดินได้แค่ 3 จุด เราก็ได้แค่ 3 จุด เราก็เริ่มจากที่ว่าคุยกับพวกเชนใหญ่ๆ ก่อน อย่างพวกร้านพิซซ่า คุยทีหนึ่งได้มา 60 สาขาทั่วกรุงเทพฯ หรืออย่างคุยกับร้านกาแฟ เราเข้าไปคุยหนึ่งที่ก็ได้มา 40 สาขาทั่วกรุงเทพฯ เลย พอได้ตรงนี้มันก็ค่อยๆ โตขึ้นมา แล้วลูกค้าที่เขาเดินเข้าไปในร้านพวกนี้ เขาก็ไปเห็นหนังสือที่มีสติ๊กเกอร์เราแปะ เขาสนใจก็จะโทรเข้ามา อันนั้นก็เป็นลูกค้ารายย่อย"

ตุลาอธิบายถึงระบบการให้บริการของร้านหนังสือปันกันว่า ทางร้านจะจัดส่งนิตยสารที่ได้รับความนิยมสูงสุดให้ผู้อ่านถึงที่ จำนวน 11 เล่มต่อสัปดาห์ ซึ่งสัปดาห์ต่อไปก็จะจัดส่งนิตยสารชุดใหม่ไปให้ พร้อมกับรับนิตยสารชุดเก่ากลับ

"เนื่องจากระบบของเราเหมือนการ 'ปันกัน' อ่านหลายๆ คน สมาชิกจึงได้อ่านนิตยสารจำนวนมากในราคาที่ถูก และมีเวลาในการอ่านเพียง 7 วัน มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถบริการลูกค้าอื่นๆ ได้เลย"

โดยสมาชิกจะจ่ายเพียง 90-260 บาทต่อสัปดาห์ แต่ได้นิตยสารไว้อ่านถึง 11 เล่ม ในขณะที่หากซื้อนิตยสารเองทั้ง 11 เล่ม จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ และยังต้องลำบากในการจัดเก็บแมกกาซีนเก่าที่นำไปขายต่อยาก ไม่ค่อยมีผู้รับซื้อนอกจากจะนำไปชั่งกิโลฯ ขาย

อัตราค่าบริการนั้นจะขึ้นอยู่กับความใหม่ของนิตยสารที่จัดส่งให้ หากเป็นนิตยสารที่วางตลาดมาหลายสัปดาห์ ราคาค่าบริการก็จะถูกลง ตุลากล่าวว่าสมาชิกมีสิทธิเลือกความใหม่ของนิตยสารให้เหมาะกับความต้องการของตนเองได้ หากต้องการนิตยสารที่ใหม่เอี่ยมชนแผง ก็จะเสียอัตราค่าบริการอยู่ที่ 260 บาทต่อสัปดาห์ หรือหากไม่ต้องการนิตยสารที่ใหม่มาก เช่น วางแผงมาแล้ว 1 สัปดาห์ ค่าบริการก็จะลดลงเหลือ 200 บาทต่อสัปดาห์ ลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงนิตยสารที่วางแผงมาแล้ว 9 สัปดาห์ ก็จะเสียเพียง 90 บาทต่อสัปดาห์เท่านั้น

"ถ้าเป็นธุรกิจอย่างร้านสปาหรูๆ ที่ลูกค้าเขาเกรดเอ เขาก็จะรับนิตยสารใหม่ชนแผง ทุกอาทิตย์ผมก็จะเอาหนังสือไปส่งเขาแล้วรับหนังสือที่เก่า 1 สัปดาห์ไปส่งให้ร้านอื่นๆ ต่อ ก็จะไล่ต่อไปเรื่อยๆ ส่วนร้านที่เป็นกลุ่มสุดท้ายที่รับหนังสือเก่า 9 สัปดาห์ ก็จะเป็นพวกร้านทำผมที่อยู่ในตลาดที่เขาไม่ต้องการของใหม่ ธุรกิจที่เขามีกลุ่มลูกค้าเขาย่อมเยาลงมาหน่อย เขาก็เลือกแพ็คเก็จรองๆ ลงมา"

หลังจากนั้น ทางร้านจะนำแมกกาซีนที่เก่าเกิน 9 สัปดาห์นี้ไปขายเลหลังต่อที่ตลาดนัดสวนจตุจักรเพื่อล้างสต็อก

"นิตยสารเก่าในจตุจักรส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นหนังสือของเรา 30-40 % จะหลุดไปจากปันกัน ร้านหนังสือ ถ้าช่วงไหนนิตยสารที่นั่นมีน้อย แสดงว่าเราไม่ค่อยได้เอาไปปล่อย" สุรเดช แซ่หลี ผู้จัดการร้านหนังสือปันกัน กล่าว พลางชี้ให้ดูนิตยสารเรียงรายเป็นตั้งจนเกือบท่วมเพดานห้องเก็บสต็อกนิตยสารเก่า หลายเล่มก็นำไปขายต่อในราคาแสนถูกเพียง 1-5 บาทเท่านั้น

ความที่ปัจจุบัน มีนิตยสารเปิดตัวใหม่มากมายจนแน่นแผงหนังสือ ทางร้านหนังสือปันกันจึงใช้วิธีคัดเลือกหัวหนังสือมาบริการโดยดูจากความนิยมของลูกค้าผ่านแบบสอบถาม เพื่อหาสิ่งที่เรียกว่า "รสนิยมมาตรฐาน" ตามที่ตุลาว่า ซึ่งปัจจุบันนี้ "ปันกัน ร้านหนังสือ" มีนิตยสารให้บริการรวมทั้งสิ้น 28 หัว ผสมกันทั้งรายเดือน รายปักษ์ รายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับว่าในสัปดาห์นั้นมีนิตยสารเล่มไหนวางแผง

นอกจากนี้ สมาชิกสามารถตกลงต่อรองจำนวนเล่มนิตยสารที่จะอ่านได้ หากไม่สามารถอ่านได้ทันทั้ง 11 เล่มภายในหนึ่งสัปดาห์ ก็สามารถรับแพ็คเก็จแม็กกาซีนแบบ 7 เล่มต่อสัปดาห์แทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลูกค้าจะไม่มีสิทธิเลือกจำเพาะเจาะจงลงไปได้ว่าต้องการอ่านนิตยสารเล่มใดเล่มหนึ่งเป็นพิเศษ

"ตรงนี้เราต้องขออนุญาตสงวนไว้ให้เป็นสิทธิของทางร้านที่จะจัดหนังสือ เพราะลูกค้าก็มีหลากหลายความชอบและรสนิยม แม็กกาซีนที่เรามีให้บริการลูกค้าอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นแม็กกาซีนที่ยอดนิยม ซึ่งตอนนี้เรามีแม็กกาซีนให้บริการลูกค้าราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์ของตลาดทั้งหมด เรามีตั้งแต่ขายหัวเราะ หนังสือประเภทสุขภาพ หนังสือสำหรับเด็ก หนังสือแฟชั่น หนังสือท่องเที่ยว หนังสือตกแต่งบ้าน ไปจนกระทั่งหนังสือพวกฮาวทู ซึ่งเราโชคดีตรงที่ซัพพลายเออร์บางเจ้าสนับสนุนเราในการที่จะแจกเป็นหนังสืออภินันทนาการให้ เราก็พยายามหาแม็กกาซีนใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าตลาดแม็กกาซีนโตค่อนข้างเร็วและมีแม็กกาซีนเกิดใหม่เยอะ เราจึงพยายามหาหัวใหม่ๆ เข้ามาให้ลูกค้าเลือกตลอด" สุรเดชกล่าว

ผู้จัดการของ "ปันกัน ร้านหนังสือ" บอกเล่าถึงกระบวนการทำงานว่า ทุกต้นสัปดาห์ จะมีการตรวจเช็คว่ามีนิตยสารเล่มใดออกใหม่บ้าง จากนั้นก็จะสั่งซื้อมาแล้วนำมาเย็บเล่มให้แน่นหนาคงทน ห่อปกพลาสติก เพื่อพร้อมส่งถึงมือลูกค้าต่อไป
ด้วยความที่มีนิตยสารนับพันหมุนเวียนเข้าออกในแต่ละเดือน ทำให้ต้องมีการเซ็ทอัพระบบกระจายหนังสือที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งตัวบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการจัดหนังสือจนถึงมือสมาชิก ซึ่งบุคลากรที่สำคัญจนไม่อาจละเลยไม่กล่าวถึงได้ก็คือ เหล่าบรรดาเมสเซนเจอร์

ทุกเช้า พนักงานในชุดสิงห์มอเตอร์ไซค์เหล่านี้จะมารับนิตยสารไปบริการจัดส่งถึงบ้านหรือสำนักงานของสมาชิก เวลาประมาณ 10.30 น. ลูกค้ารายแรกก็จะได้รับนิตยสารชุดแรกถึงมือเรียบร้อย สุรเดชอธิบายว่าพื้นที่การจัดส่งนั้นครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล บางครั้งพนักงานก็ต้องไปส่งไกลถึงศาลายา หรือเกือบถึง อ.ไทรน้อย อยุธยา ก็มี

"ตอนนี้เรามีให้บริการลูกค้าในส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกือบๆ 1,000 จุด และจะมีแม็กกาซีนบางประเภทที่เรามีคอนแท็คกับลูกค้าส่งต่างจังหวัดด้วย ก็ประมาณ 50-120 จุดในต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย เราวิ่งก็ตกประมาณ 120 จุดต่อวัน"

แต่ภายหลังจากการขึ้นราคาน้ำมัน ก็ทำให้ธุรกิจของ "ปันกัน ร้านหนังสือ" ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่าขนส่งและราคาหนังสือที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังโชคดีที่บริษัทยู อิน โฟ มีธุรกิจด้านเมสเซนเจอร์อยู่แล้ว จึงช่วยทุ่นต้นทุนตรงนี้ไปได้จุดหนึ่ง

ตุลายอมรับว่า ธุรกิจนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้สูง เท่าที่เห็นตอนนี้ในตลาดยังไม่มีคู่แข่งโดยตรง มีเพียงคู่แข่งทางอ้อมอย่างร้านหนังสือเช่าทั่วไปเท่านั้น ซึ่งก็เป็นลักษณะธุรกิจที่เกื้อหนุนกันให้คนหันมาสนใจหนังสือกันมากกว่าจะตั้งใจแข่งขันกันจริงจัง

"หนังสือเช่า" ตัวทำลายธุรกิจหนังสือ ?

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถึงการที่ธุรกิจหนังสือเช่านั้นอาจไปกระทบวงจรธุรกิจหนังสือในตลาดปกติ เพราะทำให้คนหันมาเช่าอ่านกันมากขึ้น ไม่ยอมซื้อหนังสือ ทำให้ธุรกิจหนังสือ และสำนักพิมพ์รวมทั้งนักเขียนอยู่ไม่ได้

แต่หากจะมองต่างมุมแล้ว ร้านเช่าหนังสือก็อาจช่วยให้คนหันมารักการอ่านได้อีกทางหนึ่ง

สำหรับประเด็นนี้ ตุลามองว่าธุรกิจของเขาที่เน้นบริการเฉพาะนิตยสารนั้น ส่วนใหญ่จะเน้นภาพมากกว่ารูปจึงไม่อาจพูดได้ว่าการขยายตัวของตลาดเช่านิตยสารนั้น จะหมายความว่าคนไทยรักการอ่านกันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

"ผมมองว่าแม็กกาซีนเป็นเรื่องของการดูรูปมากกว่า ตอนทำแบบสอบถามเราก็พยายามเอาหนังสือที่มีสาระเข้าไป อย่างเช่น National Geographic แต่จะเห็นว่าได้รับการตอบรับที่ไม่ดี พวกสารคดีลูกค้าจะไม่ชอบ ต้องหนังสือที่มีรูปภาพ รูปดารา ลูกค้าจะชอบ คงสรุปได้ว่าลูกค้าของเราชอบดูรูปมากกว่า"

สุรเดชเสริมว่า ธุรกิจนี้เป็นเพียงช่องทางหนึ่งที่จะส่งเสริมให้รักการอ่านและช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้ เพราะช่วยให้คนที่มีรายได้น้อยมีโอกาสได้อ่านหนังสือที่หลากหลาย

ส่วนประเด็นที่ว่า ธุรกิจนี้จะทำให้ยอดขายปกติแม็กกาซีนลดลงไปนั้น ตุลากลับคิดตรงข้ามว่าธุรกิจนี้กลับช่วยประชาสัมพันธ์นิตยสารนั้นทางอ้อม เพราะปกตินิตยสารไม่เน้นยอดขายเท่าโฆษณาอยู่แล้ว จึงมีหลายบริษัทมาอาศัย "ปันกัน ร้านหนังสือ" เป็นช่องทางเพื่อให้ช่วยโปรโมตนิตยสารให้

ทิ้งท้ายด้วยความเห็นของไกรนพ เจ้าของร้านหนังสือเช่าและร้านการ์ตูนว่า

"ผมเชื่อว่าร้านเช่าน่าจะทำให้กลุ่มคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือหันมาอ่าน โอเค ตอนแรกอาจจะเช่าอ่านก่อน แต่เมื่อเจอหนังสือที่ชอบจริงๆ แล้วที่สุดเขาก็ต้องอยากมีเป็นของตัวเองแล้วไปซื้อหนังสืออ่าน พอมันเข้าถึงการอ่านได้ง่าย ผมว่ามันก็เลยสร้างฐาน สร้างคนที่อ่านมากๆ และทางอ้อมมันก็ทำให้หนังสือนั้นขายดี"











กำลังโหลดความคิดเห็น