xs
xsm
sm
md
lg

ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้านมืดชีวิตยุคดิจิตอล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดในปัจจุบัน ทำให้การติดต่อสื่อสารยุคดิจิตอลสะดวกสะบายและรวดเร็วยิ่งขึ้น อุปกรณ์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "โทรศัพท์มือถือ" ที่มีประสิทธิภาพสูงถูกผลิตขึ้นมามากมาย เพื่อสนองตอบต่อความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ในยุคบริโภคนิยม

ทุกคนต่างต้องการความทันสมัยของเทคโนโลยี และหลงลืมไปว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ความทันสมัยของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างที่กำลังทำร้ายสิ่งแวดล้อมอย่างเงียบเชียบและค่อยเป็นค่อยไป โดยที่เราไม่รู้ตัว ในชื่อของ "ขยะอิเล็กทรอนิกส์"

กล่าวได้ว่า นี่เป็นด้านมืดของชีวิตในยุคดิจิตอลอย่างแท้จริง
 
                              -1-

ทันทีที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตกรุ่น หมดสภาพการใช้งาน มันจะกลายเป็นขยะ แต่เป็นขยะที่ไม่ธรรมดา ความทันสมัยล้ำเลิศ ส่วนประกอบที่แตกต่างกันกว่า 1 พันชนิดในตัวสินค้านั้นทำให้กระบวนการกำจัดซับซ้อน และทำได้ยาก

ที่สุดมันจะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่พร้อมจะแพร่สารเคมีให้แก่สิ่งแวดล้อม ละลายไปในรูปของสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ในดิน ในอากาศ เป็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ต้องเดือนร้อนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน

ภายใต้กระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จะมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นในอัตรา 30 % ของกระบวนการผลิตทั้งหมด ซึ่งเกิดจากวัสดุเหลือใช้ระหว่างการผลิต

แต่นั่นกำลังจะกลายเป็นสาเหตุรองของขยะพิษในไทย เพราะตอนนี้คนไทยหลายล้านคนกำลังช่วยสร้างขยะอิเล็กทรอนิกส์มีพิษโดยไม่ตั้งใจ ยังไม่เคยมีใครทำตัวเลขเลยว่า ตั้งแต่เริ่มซื้อทีวีขาวดำ จนกระทั่งทีวีทันสมัยในปัจจุบันนั้น มีกี่ล้านเครื่องแล้ว และเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่าอุปกรณ์เก่าเหล่านั้นหายไปไหน

ปัจจุบันมีเพียงบางโรงงานเท่านั้นที่รับผิดชอบในการกำจัดวัสดุเหลือใช้จากการผลิต โดยว่าจ้างบริษัทรับกำจัดขยะเป็นผู้ดูแลให้ และตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป สหภาพยุโรปจะกำหนดให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งออกไปขายในอียู จะต้องมีกระบวนการผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้มีมาตรการกำจัดขยะเหล่านี้อย่างถูกวิธี ไม่อย่างนั้นจะไม่อนุญาตให้นำเข้าอียู ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยไม่ปรับเปลี่ยนแนวคิดก็จะส่งออกไม่ได้ เพราะอียูจะส่งคนมาตรวจสอบคุณภาพถึงโรงงาน

อดิศักดิ์ ทองไข่มุกต์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เอ่ยถึงแนวทางการจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ว่า จากการประเมินปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ พบว่า มีอัตราการขยายตัวในจำนวนมาก ปี 2547 มีสูงถึง 60,918 ,ตัน แบ่งเป็นโทรทัศน์ 8,202 ตัน ตู้เย็น 22,204 ตัน เครื่องซักผ้า 11,370 ตัน เครื่องปรับอากาศ 17,031 เครื่องคอมพิวเตอร์ 2,105 ตัน และอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่มือถือ ถ่านไฟฉาย หลอดไฟฟ้า จำนวน 426.9 ตัน เป็นต้น

เมื่อแยกเป็นชิ้นพบว่า มี 650 ล้านชิ้น แบ่งเป็นถ่านไฟฉาย 500 ล้านชิ้น หลอดไฟ 90 ล้านชิ้น ซากมือถือ 6 ล้านชิ้น โทรทัศน์ 10 ล้านชิ้น ขณะที่ 90 % ของขยะเหล่านี้ถูกทิ้งรวมกับขยะชุมชน ซึ่งประชาชนขาดความตระหนักถึงพิษภัยหรืออันตราย และยังไม่มีระบบการคัดแยก

"อันตรายจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่จะมีพวกโลหะหนักพวกแคดเมียม หรือโครเมียม เป็นส่วนประกอบ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โลหะหนักพวกนี้สลายตัวได้ยาก หากเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ทางห่วงโซ่อาหาร ก็จะกระทบต่อระบบเยื่อสมอง หากเป็นสารปรอทจะไปทำลายการทำงานของไต เหมือนครั้งที่เคยเกิดโรคมินามาตะ ในญี่ปุ่นและมาเลเซีย รวมถึงการกระจายของโลหะหนักในแม่น้ำ ส่งผลกระทบต่อราษฎรในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง กาญจนบุรี"

"ทั่วโลกตื่นตัวการรับมือขยะอิเล็กทรอนิกส์ สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบว่าด้วยเศษซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และระเบียบว่าด้วยการกำจัดการใช้สารที่เป็นสารอันตรายบางประเภท โดยกำหนดให้ประเทศผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าวจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการกำจัดซากขยะดังกล่าว โดยจะถูกใช้บังคับกับผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2549 สิ่งที่ประเทศไทยได้ทำคือ การจัดทำกรอบระเบียบเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ครั้งแรกของไทย พร้อมทั้งเป็นกรอบที่รองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากระเบียบของสหภาพยุโรปด้วยเช่นกัน"

ทั้งนี้ กรอบระเบียบที่กำหนดไว้นั้นประกอบด้วย แนวทางการควบคุมที่ต้นทาง โดยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ภาษี จากผู้นำเข้าสินค้าและผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ แล้วนำเงินไปบริหารจัดการ โดยจะมีการออกฎหมายเก็บค่าธรรมเนียม การตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อม การจัดการซากอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างทาง โดยจะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่จะใช้มาตรการทางด้านกลไกตลาด และแนวทางสุดท้าย เป็นการควบคุมที่ปลายทาง จะสนับสนุนให้เกิดโรงแยกขยะแบบครบวงจร

อดิศักดิ์ เอ่ยถึงสภาพการณ์กำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในปัจจุบันว่า มีหลายหน่วยงานที่ช่วยกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นการขอบริจาคโทรทัศน์เก่าๆของวัดสวนแก้วที่ต้องการนำไปให้เด็กๆได้ศึกษาเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกทม.ก็ได้จัดรถขนขยะสีส้มวิ่งไปตามสถานที่ต่างๆทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือน เพื่อเก็บขยะมีพิษ ส่วนปั๊มน้ำมันปตท. ก็จะมีถังขยะสีเทาฝาส้ม 2,500 จุด เพื่อให้ประชาชนนำถ่านไฟฟ้าและขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปทิ้ง เพื่อง่ายต่อการกำจัด

ส่วนแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ตอนนี้มีโครงการของดีแทคที่รับกำจัดโดยตั้งกล่องที่ดีแทคชอปกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ รับทิ้งแบตเตอรี่เก่าทุกยี่ห้อ ทุกระบบ

"แต่แผนแม่บทกำจัดขยะมีขึ้น จะทำให้การจัดการในเรื่องพวกนี้ง่ายขึ้น มีกฎระเบียบชัดเจน หวังว่า ประเทศไทยจะลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าได้อย่างถูกต้องโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม" รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษให้ข้อมูล

                             -2-

สำหรับกรรมวิธีในการทำลายขยะอิเล็กทรอนิกส์ บริษัทบริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (เจนโก้) ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า เริ่มต้นจากการนำมาบดให้ละเอียด ก่อนนำไปทำลายให้มีฤทธิ์เป็นกลาง จากนั้นนำไปหล่อด้วยซีเมนต์และตรวจสอบว่าจะไม่รั่วซึม โดยการใช้เครื่องโลหะหนักตรวจสอบระบบน้ำชะ จึงจะนำไปฝังกลบในชั้นปูน และมีบ่อตรวจสอบว่า ไม่รั่วซึมออกมาสู่ระบบน้ำใต้ดิน แต่ละหลุมจะมีพื้นที่ 10 ไร่ การลงทุนทำหลุมใช้งบถึง 40 ล้านบาท พอปิดกลบแล้วต้องใช้งบอีกกว่า 30 ล้านบาท รวมแล้วใช้งบแต่ละหลุมประมาณ 100 ล้านบาท เพราะต้องเฝ้าระวังไปอีก 30 ปี ซึ่งมีค่าใช้จ่ายดูแลอีกเดือนละ 10,000 บาท ตลอด 30 ปี

สุรเดช บุณยวัฒน รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานวิจัยและพัฒนา กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการศึกษากระบวนการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์จากอุตสาหกรรมและครัวเรือนว่า ปัจจุบันเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้ถูกจัดการด้วยวิธีการที่เหมาะสมจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อทุกส่วนในสังคม

"โครงการนี้จะนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ไปศึกษากระบวนการแปรรูปเพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอื่น และเพิ่มมูลค่าให้แก่เศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการของเสียหรือวัสดุเหลือใช้ของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้อง และศึกษาการแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมประเภทอื่น"

สุรเดช บอกเล่าถึงวิธีการง่ายๆ พวกเขาเริ่มจากการขอความอนุเคราะห์ไปยังบริษัทต่างๆเพื่อขอเศษซากคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เศษซากวัสดุ-อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ที่ชำรุดไม่ใช้การใดๆเพื่อใช้สำหรับการศึกษาในโครงการดังกล่าวข้างต้น ขณะนี้รวบรวมได้จำนวนหนึ่ง กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและโครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2549

ในส่วนขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม มีการรณรงค์เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้ผลิตซึ่งได้กำไรมากที่สุด โดยโยนภาระขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้บริโภคและองค์กรรัฐกำจัด ดังนั้นนี่จึงน่าจะเป็นหน้าที่หนึ่งของบริษัทผู้ผลิตที่ต้องรับผิดชอบสิ่งแวดล้อมด้วย เมื่อคุณผลิตสินค้าขึ้นมาสักหนึ่งชิ้น

ด้าน กิตติคุณ กิตติอร่าม เจ้าหน้าที่รณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ภาวะขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นเมืองในปัจจุบันเร่งเร้าให้มีการปรับนโยบายการจัดการขยะโดยเร่งด่วน ขณะนี้เทศบาล ผู้เสียภาษี และชุมชนต่างๆกำลังรับภาระหนักในการขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ผลิตซึ่งเราพูดได้ว่าเป็นผู้ได้ผลกำไรจากการผลิตสินค้าเหล่านี้กลับไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ และไม่ต้องได้รับการลงโทษใดๆ

กิตติคุณ ระบุถึงแนวโน้มการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งประมาณว่า มีผู้ใช้มากถึง 30 ล้านคนแล้วทั่วประเทศ สินค้าเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตอันใกล้นี้

"ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีทุกวันนี้ยังมีส่วนเร่งให้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในสภาพตกรุ่นเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีอัตราการเปลี่ยนเครื่องบ่อยที่สุด อายุการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันอยู่ระหว่าง 3-5 ปี ขณะที่โทรศัพท์มือถือมีอายุใช้งานเฉลี่ย 18 เดือน อายุการใช้งานบวกกับจำนวนผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกนั้น กำลังเป็นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมๆกัน"

ที่ร้ายกว่านั้น ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของปลายทางขยะอิเล็กทรอนิกส์จากทั่วโลก มันถูกส่งมาในรูปของสินค้ามือสอง เรียกกันว่า "ตลาดมือสอง" แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือ "ตลาดขยะอิเล็กทรอนิกส์" นั่นเอง ซึ่งเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ต่างประเทศไม่ใช้แล้ว แต่ไทยนำเข้าเพราะยังใช้ได้ในบ้านเรา กิตติคุณ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ส่วนหนึ่งนำเข้ามาเพื่อต้องการรีไซเคิล แต่กลับเป็นการสร้างปัญหาให้แก่สิ่งแวดล้อม คนงานที่แยกชิ้นส่วนและชุมชนโดยรวม เนื่องจากกระบวนการรีไซเคิลที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำกันตามมีตามเกิด

ขณะเดียวกันสินค้ามือสองที่ทำให้ไทยกลายเป็นที่รับขยะ ทำให้เราต้องแบกรับภาระในการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ต้องทำอะไรเลยแค่ส่งออกอย่างเดียว แถมยังมีราคาต่างหาก

กิตติคุณระบุว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ มีสารประกอบที่แตกต่างกันมากกว่า 1 พันชนิด จอโทรทัศน์ และเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเดียวประกอบด้วยตะกั่วถึง 4 ปอนด์ และยังประกอบด้วยโครเมียม ปรอท สารหนู แคดเมียม เซเลเนียม กัลเลียม นิกเกิล โคลบอลท์ แอนไทโมนี และโบรมิเนก เมื่อทั้งหมดของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นขยะ จึงจัดอยู่ในรูปของขยะพิษ และต้องมีกระบวนการกำจัดที่ดี

"กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลนำนโยบายความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต มาบังคับใช้เป็นกฎหมายและควบคุมให้มีการส่งคืนสินค้าที่ไม่ใช้แล้ว โดยเฉพาะที่มีส่วนประกอบที่จะกลายเป็นขยะที่จัดการได้ยาก เป็นต้นว่า แบตเตอรี่ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ กฎหมายฉบับนี้ควรจะสนับสนุนให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่มีส่วนประกอบที่สามารถรีไซเคิลได้ สนับสนุนให้มีการผลิตสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานปี และไม่ใช้สารเคมีเป็นพิษมาเป็นส่วนประกอบ"กิตติคุณสรุปทิ้งท้าย





กำลังโหลดความคิดเห็น