xs
xsm
sm
md
lg

ไฮโซ 18 มงกุฎ สวมบทบาท"ตัดเหลี่ยมเพชร"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กลางคืนคู่กับกลางวันฉันใด "ไฮโซ" ก็ต้องคู่กับ "เพชร" ฉันนั้น ใครว่าไม่เกี่ยวกัน ลองสังเกตดูเวลาออกงานสังคมแต่ละครั้งคุณไฮโซทั้งหลายจะต้องขุดเพชรกันออกมาโปะให้ตู้มไปทั้งตัว ยิ่งใครห้อยเพชรเม็ดโตสู้กับแสงแฟลชของนักข่าวแล้วประกายเพชรจะส่องจรัสให้เจ้าของเพชรได้โดดเด่นในงานทีเดียว

ดังนั้นไฮโซกับ "เจ้าของร้านเพชร" จึงกลายเป็น "เพื่อนคู่ซี้" ที่ต้องพึ่งพากันตลอดเวลา ยิ่งยุคก่อนเวลาคนรวยจะซื้อเพชรนั้นแสนจะง่ายดาย แค่เดินเข้าร้านประจำสบตากับเจ้าของร้านก็หยิบเพชร 2 - 3 ชิ้นกลับบ้านไปได้แล้ว เรื่องเงินค่อยว่ากันทีหลัง

แต่มาตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำ จึงมีพวก "ไฮโซ 18 มงกุฎ" ที่แฝงตัวมาซื้อเพชรแล้วเบี้ยวจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ ขนาดเจ้าของร้านเพชรที่ว่าเชี่ยวๆ ยังถูก "ตัดเหลี่ยมเพชร" มาหลายรายแล้ว


ย้อนยุคธุรกิจขายเพชร

ก่อนที่จะมีแหล่งขายเพชรตามห้างสรรพสินค้ามากมายในปัจจุบันนี้ เราลองย้อนรอยไปดูต้นกำเนิดของร้านเพชรในยุคเมื่อเกือบ 50 ปีที่ผ่านมากันหน่อย ในยุคโน้นบรรดาเศรษฐีผู้ลากมากดีทั้งหลายจะไปตากอากาศกันที่หัวหินถิ่นคนรวย

" จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ คุณแม่พาไปตากอากาศที่หัวหิน ก็จะมีพวกชาวบ้านถือถาดมาขายเพชรพลอยเครื่องประดับกันตามบ้าน " ไฮโซรุ่นใหญ่คนหนึ่งย้อนยุคให้ฟัง

หลายคนที่นอนอาบแดดกันตามชายหาดหัวหินเมื่อยุค 50 ปีก่อนโน้นจะชินตากับสาวชาวบ้านที่เอาเพชรพลอยเครื่องประดับใส่ถาดแล้วห่อผ้าขาวเดินกางร่มตามชายหาด แล้วก็มักจะแวะตามบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ ๆ ที่เป็นขาประจำเพื่อเจรจาซื้อขายเครื่องประดับกันอย่างสนุกสนาน นั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหัวหินในยุคโบราณ

" เครื่องประดับที่เอามาขายก็จะมีทั้งสร้อยคอและกำไลข้อมือทำจากเพชรร่วงหรือพลอยสีเม็ดเล็ก ๆ หรือ หอย ตัวเรือนเป็นทองบ้าง ราคาก็ไม่แพงมาก ดูแล้วสวยน่ารักจังเลย มาขายทุกครั้งคุณแม่ก็จะซื้อเอาไว้หลายเส้นเพื่อแจกลูกหลานที่ไปด้วย " ไฮโซคนเดิมกล่าว

แม้บรรดาแม่ค้าเหล่านี้จะเดินขายเพชรขายพลอยที่ค่อนข้างมีค่า แต่ก็ไม่เคยมีคดีตีหัวแม่ค้าเพื่อฉกเพชรกันเลย เพราะยุคนั้นบ้านเมืองสงบ

เมื่อบรรดาแม่ค้าเพชรพลอยเหล่านี้เริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็เริ่มมองหาสถานที่เพื่อมาเปิดร้านขายให้สบายขึ้นจะได้ไม่ต้องทนตากแดดอีกต่อไป ภาพแม่ค้าเพชรพลอยที่กระเตงถาดมาขายตามชายหาดก็เริ่มจะลดน้อยลง กลับไปผุดเป็นร้านขายเพชรขายพลอยตามตลาดหัวหินและบางคนก็ข้ามฟากมาถึงบ้านหม้อและหัวเม็ด

คนกรุงเทพฯเมื่อสัก 30 ปีที่ผ่านมา ถ้าต้องการจะซื้อทองหรือเพชรพลอยแล้วก็ต้องไปย่านบ้านหม้อและหัวเม็ดอันเป็นแหล่งขายเพชรพลอยโด่งดังในยุคนั้น ซึ่งส่วนมากเจ้าของจะเป็นคนจีน เช่น ร้านเบ๊ย่งเซี้ย ร้านนายฟ้า เป็นต้น หรือถ้าเลยไปจนถึงถนนเจริญกรุงก็จะมีร้าน H เสนา ซึ่งเป็นร้านขายเพชรที่มีใบ certificate ให้กับลูกค้า

จนเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเศรษฐีก็เบื่อที่จะไปหาซื้อเพชรแถวบ้านหม้อเพราะหาที่จอดรถลำบาก ประกอบกับเริ่มมีร้านขายเพชรเปิดขายกันที่โรงแรมเพรสซิเดนท์ โรงแรมรามาและย่านสยามเซ็นเตอร์แหล่งขายเพชรที่ใหญ่ซึ่งจะมีคุณหญิงคุณนายแห่มาซื้อกันแน่นไปหมด พอสยามเซ็นเตอร์ซบเซาลงไป บรรดา "หลงจู๊" ร้านเพชรชื่อดังหลายแห่งก็แยกตัวออกมาเปิดร้านขายเพชรของตัวเองบ้าง แหล่งค้าเพชรใหม่ ๆ ก็มี เพนนินซูลา พลาซ่า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งขายเพชรระดับคนรวยจริง ๆ นอกนั้นก็มีเอ็มโพเรียม เกษรพลาซ่า เป็นต้น

ยุคถือถาดขายเพชรตามบ้าน

ขณะที่ร้านเพชรเริ่มผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่ก็ยังมีการขายเพชรแบบ "ถือถาด" เดินขายกันตามบ้านมาหลายสิบปีแล้ว ลูกค้าที่ชอบซื้อเพชรพลอยกับแม่ค้าถือถาดจะเป็นพวกคุณหญิงคุณนายที่ไม่ค่อยชอบออกสังคม หรือพวกเศรษฐีตกยากที่ต้องการขายสมบัติเก่ากินแต่ก็หน้าบางไม่กล้าเอาไปขายตามร้านเพชร เพราะกลัวปากชาวบ้านจะล่วงรู้ถึงฐานะของตัวเองจึงต้องพึ่งพาแม่ค้าเพชรถือถาดกลุ่มนี้ในระบบฝากขาย ซึ่งส่วนมากจะรู้จักและใช้บริการกันอยู่ในวงคุ้นเคยสนิทสนมกันเท่านั้น เพราะเรื่องอย่างนี้คนขายก็เสี่ยงที่จะโดนปล้นในกรณีที่เข้าผิดบ้าน ส่วนคนซื้อก็เสี่ยงกับการซื้อขายปลอม

อาชีพถือถาดเพชรขายตามบ้านนั้นในยุคหนึ่งได้รับความนิยมมาก จะมีทั้งขายเพชรใหม่และรับฝากขายจากบรรดาเศรษฐีตกยากที่อายไม่กล้าไปขายเอง จนหลายรายผันตัวเองไปเปิดร้านขายเพชรกันก็มี

" อย่างร้านป้าภา ที่เพนนินซูลา พลาซา นั้นเดิมก็เคยวิ่งถือถาดขายเพชรตามบ้านเหมือนกัน ลูกค้าป้าภาส่วนมากจะเป็นพวกแม่บ้าน คุณหญิงคุณนายที่ไม่ชอบออกนอกบ้าน ป้าภาขายทั้งของมือหนึ่งและของฝากขายจากบรรดาไฮโซตกยากหลายคนที่ฝากให้ช่วยปล่อยของ " ไฮโซสาวใหญ่รายหนึ่งกล่าว

ระบบ "หยิบไปก่อน ผ่อนทีหลัง"

ขึ้นชื่อว่า "เพชร" แล้วถือว่าเป็นสินค้าที่มีราคาแพงสุด ๆ เพราะเพชรกะรัตหนึ่งถ้าน้ำงาม ๆ มี certificate รับรองราคาเริ่มสตาร์ทที่แสนกว่าบาทแล้ว แต่เป็นเรื่องแปลกแต่จริงว่าธรรมเนียมของการซื้อขายเพชรตั้งแต่ยุคแรกมาจนถึงปัจจุบันนี้กลับใช้ระบบ "เชื่อใจ" เป็นหลัก คำพูดติดปากของบรรดาเจ้าของร้านเพชรที่จะบอกแก่ลูกค้าขาประจำคือ " ไม่เป็นไร ว่างเมื่อไหร่ค่อยเอาเงินมาจ่าย"

ไฮโซรุ่นใหญ่รายหนึ่งเปิดเผยว่า นิยมซื้อเพชรมาตั้งแต่ยังเป็นรุ่นสาวน้อย
" เมื่อก่อนซื้อขายเพชรระหว่างเจ้าของร้านกับลูกค้าประจำจะใช้ระบบเชื่อใจกัน เวลาเราไปเลือกซื้อเพชรที่ถูกใจได้แล้ว เจ้าของก็จะมีสมุดเล่มหนึ่ง เปิดหน้าบัญชีของเราแล้วบันทึกว่าวันนี้เรามาซื้ออะไรไปบ้าง หรือมาเปลี่ยนหรือมาซ่อมอะไรบ้าง "

เพียงแค่นี้ก็สามารถนำเพชรมาสวมใส่ออกงานได้แล้ว พอผ่านมาอีกสักระยะหนึ่งก็จะนำเงินไปชำระ หรือบางครั้งอาจจะชำระเงินในครั้งต่อไปที่แวะไปซื้อเพชรชิ้นใหม่ก็ย่อมได้เช่นกัน แต่กว่าจะอยู่ในฐานะเชื่อใจกันได้นั้น ลูกค้าประจำและเจ้าของร้านเพชรก็จะต้องดูใจกันมานานพอสมควรจนรู้ฐานะกันดีแล้วจึงจะได้อภิสิทธิ์เช่นนี้ได้

ปัจจุบันแม้แต่ร้านโชวห่วยแบบ 7-eleven ยังนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้บันทึกรายการซื้อขาย แต่ร้านขายเพชรส่วนใหญ่ก็ยังใช้ระบบเดิมคือจดบันทึกลายมือในสมุด

" คุณสมบัติของร้านเพชรจะต้องเป็นคนหูไวตาไว คอยเช็กฐานะของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ยังอาศัยความเชื่อใจกันเพราะส่วนมากก็เป็นคนกันเองที่เห็นหน้ากันอยู่ในวงสังคม " ไฮโซอีกคนหนึ่งให้ความคิดเห็น

แม้ว่าจะยังคงใช้บัญชีระบบเก่าแก่อยู่ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีเรื่องโกงเพชรกันให้กลุ้มอกกลุ้มใจเท่าไหร่นัก จะมีก็เป็นกรณีที่เจ้าของร้านเพชรกับลูกค้ารู้เห็นเป็นใจกันมากกว่า อาทิ ภรรยามาดูเพชรเม็ดหนึ่งราคาแสนบาท พอให้สามีมาจ่ายเงินก็นัดแนะกับเจ้าของร้านเพชรให้บอกราคาแสนสามหมื่นบาท เพื่อที่จะนำเงินสามหมื่นบาทที่เกินไปซื้อแหวนเพชรเล็ก ๆ อีกวง เป็นต้น แผนการต้มสามีเช่นนี้ทั้งลูกค้าและเจ้าของร้านเพชร win win แฮปปี้ทั้งคู่

เปิดตัว 18 มงกุฎไฮโซ

จะว่าไม่เคยมีกรณีโกงเพชรก็ไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าวงสังคมแล้วย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันอยู่ วงการไฮโซก็เช่นกัน โดยเฉพาะไฮโซ 18 มงกุฎ ลิ้นสองแฉก เที่ยวหลอกบรรดาไฮโซจนกระฉ่อนในวงการในอดีตมีอยู่หลายรายที่ยังเป็นเรื่องที่ลือกันไม่รู้จักจบ

อย่างเมื่อหลายปีก่อน "สะใภ้ไฮโซ" ของตระกูลดังนางหนึ่ง เคยเดินซื้อเพชรโดยอาศัยเครดิตของครอบครัวอดีตสามี หยิบเพชรมาหลายชุดจากหลายร้านเพชรแล้วก็บินหนีเข้ากลีบเมฆไปเลย ครั้งนั้นมีร้านเพชรบาดเจ็บนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งร้านเพชรชื่อดังรายใหญ่ที่อยู่เพนนินซูลาก็โดนลูกค้ารายนี้ "ตัดเหลี่ยมเพชร" ไปหลายชิ้นเช่นกัน

และเมื่อ 2 ปีก่อนก็ปรากฏคดีบรรดาร้านเพชรหลายแห่งพร้อมใจกันฟ้องไฮโซคนหนึ่งจนกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์กันเลย

'ไฮโซ ร.' คนนี้ถือเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งจะโผล่หน้ามาเข้าสู่สังคมไฮโซของเมืองไทย แนะนำตัวเองว่าเป็นเจ้าของโครงการบ้านระดับหรู มีสามีเป็นนักธุรกิจเจ้าของคอกม้าชาวออสเตรเลีย เธอมีงานอดิเรกขาย "ไข่ยักษ์ฝังเพชร" ชอบพาคนในวงการไปเที่ยวบ้านแล้วก็เปิดเซฟโชว์เครื่องเพชรเต็มถาดให้แขกน้ำลายหกเล่น ๆ ชอบประกาศความร่ำรวยตามงานสังคม มีอยู่ครั้งหนึ่ง 'ไฮโซ ร.' เปิดโรงแรมเก่าแก่ระดับห้าดาวของกรุงเทพฯเพื่อจัดงานสังคม พอจบงานเธอก็ทำเซอร์ไพรส์แขกที่มาร่วมงานด้วยการโปรยเพชรทำให้คนที่มางานแย่งเพชรกันอุตลุด แผนการนี้ได้ผล 'ไฮโซ ร.' สามารถแจ้งเกิดได้เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น จากนั้นเธอก็กลายเป็นไฮโซเนื้อหอมที่บรรดานิตยสารทั้งหัวใหญ่และหัวเล็กต้องแย่งเธอขึ้นปก

ปฏิบัติการแสบต่อไปคือทำทีว่าตัวเองรู้จักกับบรรดามหาเศรษฐีแขกเมืองนอก และจะช่วยขายเพชรให้กับเพื่อนๆไฮโซ งานนี้มีทั้งไฮโซและร้านเพชรที่เชื่อใจยกกระบะเพชรมาฝากขายหลายราย ในที่สุดเธอก็เก็บกวาดเข้ากระเป๋าตัวเองหมด เมื่อหางแดงเริ่มโผล่ขึ้นมาให้คนในวงการเห็น เธอก็มาแผนเหนือเมฆแกล้งทำเป็นบ้า สมัครใจเดินเข้าโรงพยาบาลบ้าไปอย่างหน้าตาเฉยท่ามกลางความงุนงงของคนในวงการไฮโซด้วยกัน และท้ายสุดอาศัยความชุลมุนวุ่นวายเธอก็บินหนีไปนอกประเทศเสียแล้ว

ครั้งนั้นใครหมดไปเท่าไหร่บ้าง มีทั้งเจ้าทุกข์ที่ออกมาโวยวาย แต่เจ้าทุกข์อีกไม่น้อยที่กลับเงียบกริบเพราะกลัวเสียหน้า แต่ก็มีพวกที่ขอเกาะกระแสเพื่อชุบตัวเป็นคนรวยกับเขาด้วย

"พอเรื่องนี้แดงขึ้นมา ก็มีไฮโซหลายคนออกมาโวยวายว่าตัวเองก็ถูกรายนี้หลอกไปหลายสิบล้านเหมือนกัน ซึ่งหลายคนฟังแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อคำพูด เพราะดูจากภายนอกเธอคนนี้ไม่น่าจะมีเงินมากขนาดนั้น" ไฮโซนางหนึ่งขอเมาท์โดยไม่อยากให้เอ่ยนาม

ส่วนล่าสุดก็มีเรื่องให้บรรดาขาเมาท์สนุกปากกันอีกแล้ว เมื่อมีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งว่า สาวใหญ่ไฮโซระดับแม่นางแบบชื่อดังถูกร้านเพชรแจ้งจับเพราะจ่ายเช็คเด้ง ลือกันให้แซดว่าอย่างน้อยๆ ร้านเพชรก็โดนไป 2 ร้านค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาท

"ตั้งแต่ขายเพชรมาหลายปีก็เพิ่งจะโดนครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่พลาดเพราะวันนั้นเราไม่ได้อยู่ร้าน แต่เป็นเด็กขายให้ เขาไม่เคยเป็นลูกค้าเรา และไม่รู้จักกันโดยส่วนตัวแต่ก็เคยเห็นหน้ากันอยู่ตามงานสังคม" เจ้าของร้านเพชรเล่าเหตุการณ์

เจ้าของร้านเพชร "หน้าบาง"

"เรื่องซื้อขายเพชร เป็นเรื่องเปราะบางมาก เพราะถ้าเจ้าของร้านไปมากเรื่องก็เหมือนไปดูถูกลูกค้า ดังนั้นการซื้อขายเป็นเหมือนการสมยอมของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า คือส่วนมากให้เพชรไปโดยไม่มีการทำหลักฐานอย่างถูกต้อง" เจ้าของร้านเพชรรายหนึ่งให้ความเห็น

เชื่อกันว่าลูกค้าซื้อเพชรแล้วจ่ายเช็คเด้งนั้นมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่เจ้าของร้านเพชรส่วนมากจะไม่นิยมแจ้งความ ส่วนมากจะเลือกวิธีเจรจายอมให้ผ่อนเป็นงวดๆ จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป แต่ถ้าลูกค้ายังดื้อดึงไม่ยอมจ่ายในกรณีที่หนี้ก้อนใหญ่ก็อาจจะมีการฟ้องร้องกันอย่างเงียบๆได้

ทั้งนี้ เพราะเจ้าของร้านเพชรไม่อยากจะทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตเพราะส่วนมากจะกลัวภาพลักษณ์ไม่ดี ซึ่งตัวเองอย่างไรก็ยังต้องทำธุรกิจนี้ต่อไป

ขณะที่เจ้าของร้านเพชรอีกรายที่มักจะโดนลูกค้าเบี้ยวอยู่เป็นประจำจนเข็ดขยาดกล่าวว่า " ในการทำธุรกิจค้าเพชรนั้น จำนวนเงินที่ซื้อขายเป็นเงินก้อนใหญ่ คนขายก็ต้องระมัดระวังในเรื่องการปล่อยของให้ลูกค้า แต่ก็อย่าขี้เกรงใจมากไปเพราะถ้าเจอลูกค้าไม่ดีแล้วอาจจะกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องคดีกันได้"

แต่อย่างไรก็ตามช่วงนี้เศรษฐกิจเริ่มสู่ "ขาลง" แบบนี้ส่งผลไปถึงธุรกิจขายเพชรที่จะต้องระมัดระวังมากขึ้น ทั้งเรื่องการฉกเพชรในร้าน หรือการโกงเพชรจากลูกค้า ดังนั้นบรรดาร้านเพชรต่างก็ไหวตัวเริ่มเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการขายมากยิ่งขึ้น ธรรมเนียมปฏิบัติกันมาแต่เดิมที่หยิบไปก่อนผ่อนที่หลังนั้น คงใช้ไม่ได้กับลูกค้าทุกคนเสียแล้ว หรือการจะปล่อยเครดิตให้ลูกค้าคนใดก็คงจะต้องเช็กประวัติกันมากขึ้น

จะอย่างไรก็ตาม ถ้าถามเจ้าของร้านเพชรทุกร้านก็คงอยากจะซื้อขายกันด้วย "เงินสด" จะปลอดภัยที่สุด แต่ในเมื่อเลือกไม่ได้ก็คงจะต้องมีมาตรการรองรับ

" เมื่อก่อนที่ร้านเคยให้ลูกค้าผ่อนได้โดยรูดบัตรเครดิตการ์ดแบบจ่าย 3 งวด แต่เดี๋ยวนี้ไม่กล้าแล้ว เพราะบางคนรูดหนแรกผ่าน พออีก 2 หนต่อไปเจ้าของบัตรกลับไปโทร.สั่งระงับบัตรเครดิต เราก็เลยเก็บเงินอีก 2 งวดไม่ได้ " เจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่งกล่าว

ส่วนเจ้าของร้านเพชรชื่อดังอีกร้านหนึ่งแนะว่าถ้าจำเป็นต้องซื้อขายกันในระบบเงินผ่อนแบบรูดการ์ดแล้ว ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือควรจะทำหนังสือสัญญาลงในรายละเอียดกันก่อนจะให้เพชรแก่ลูกค้าไป อาทิ มีการรูดเครดิตการ์ดซิกแซ็กกันกี่ใบ ระยะเวลาเท่าไหร่ ควรเก็บหลักฐานด้วยการถ่ายบัตรเครดิตการ์ดลูกค้าไว้ด้วย และถ้าให้ดีควรจะส่งสัญญาทั้งหมดนี้ไปยังบริษัทเคดิตการ์ดด้วยเพื่อให้รับรู้ข้อผูกพันนี้ด้วย

" ทุกวันนี้ขายเพชรก็อยากจะรับเงินสดอย่างเดียว ถ้ากรณีไหนที่คิดว่าเสี่ยงก็ไม่ขายดีกว่า เพราะขายแล้วต้องมานั่งลุ้นว่าเช็คจะผ่านหรือเปล่านั้นอาจจะไม่คุ้ม ของในร้านเก็บเอาไว้ก็ไม่เน่าไม่เสีย ไม่ขายวันนี้ก็ไปขายวันหน้าได้ " เจ้าของร้านเพชรอีกแห่งหนึ่งออกความเห็น

สุดท้ายก็ต้องถามสาวไฮโซระดับพันล้านที่ชอบใส่เพชรตูม(ของจริงทุกเม็ด)เข้างานสังคมว่าเธอมีวิธีการซื้อเพชรอย่างไร

"เพชรเป็นของฟุ่มเฟือย แต่เราเป็นคนชอบเพชรแล้วการซื้อเพชรก็ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งด้วย ส่วนใหญ่จะซื้อจากร้านประจำที่เราต้องเชื่อใจว่าเจ้าของร้านไว้ใจได้ ไม่เอาของไม่ดีมาขาย และขายในราคาสมเหตุสมผลด้วย เวลาตัดสินใจจะซื้อนั้นจะต้องเตรียมเงินสดล่วงหน้าก่อน คือชอบซื้อด้วยเงินสดเพราะจะได้ในราคาพิเศษ"


กำลังโหลดความคิดเห็น