xs
xsm
sm
md
lg

ลูกชาย‘พุ่มพวง ดวงจันทร์’ก้าวที่ย่ำรอยเท้าแม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขณะที่ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์เพลงของราชินีลูกทุ่ง ‘พุ่มพวง ดวงจันทร์’ กำลังเป็นประเด็นร้อนของวงการเพลง แต่อีกด้านหนึ่ง ‘น้องเพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์’ สายเลือดของเธอ กำลังจะก้าวเข้าสู่ถนนสายบันเทิง ในฐานะนักร้องหน้าใหม่ค่าย ‘อาร์เอส’ เพลงที่เขาร้องอาจจะต่างไปจากแนวเพลงที่เคยสร้างชื่อเสียงให้แม่ แต่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ ‘ความฝันอันยิ่งใหญ่’ ความฝันที่จะเดินบนถนนสายดนตรี

เพลง ‘ชีวิตของผึ้ง’กระหึ่มไปทั่ววัดทับกระดาน เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมืออันยาวนานจากบรรดาแฟนเพลงของ ‘พุ่มพวง ดวงจันทร์ ’ ทำให้ ‘เพชร’ หรือ ‘สรภพ ลีละเมฆินทร์’ ซึ่งร้องเพลงนี้ ปลื้มใจว่าถึงแม่จะจากไปนานถึง 13 ปี แต่ความรักที่แฟนเพลงมีให้ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย สมัยเด็กๆเขาแอบฝันลึกๆว่าวันหนึ่งเขาอาจมีโอกาสได้เป็นเหมือนแม่ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าก็ตาม

และวันนี้ความฝันของหนุ่มน้อยวัย 18 ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะเพชรกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นนักร้องค่ายอาร์.เอส.โปรโมชั่นในเร็วๆนี้ เขาได้เข้าไปเทสต์เสียง เทสต์การแสดง รวมทั้งโพสท่าถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาก็สอบผ่านในจุดนี้ เหลือแค่เพียงการเซ็นสัญญาเท่านั้น

“ตอนนี้ก็ถือว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ล่าสุดอาร์เอสให้ผมส่งหลักฐานการเซ็นสัญญาไป ผมก็ส่งไปเรียบร้อยแล้ว และคงนัดเจอกันภายในสัปดาห์นี้ เพื่อไปดูสัญญา และถ้าโอเคทั้ง 2 ฝ่าย ผมในฐานะผู้จัดการส่วนตัวของน้องเพชรเซ็นปั้ง ! ก็ให้โปรดิวเซอร์ดูตัวแล้วทำเพลงเลย ” ไกรสร ลีละเมฆินทร์ ( แสงอนันต์) เล่าถึงเส้นทางการเข้าสังกัดอาร์เอสของลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

แนวเพลงอาร์แอนด์บี

สำหรับเพลงที่เพชรจะร้องนั้นคงไม่ใช่เพลงลูกทุ่งเหมือนกับ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เพราะโทนเสียงของเขาไม่เหมาะกับเพลงแนวนี้ เนื่องจากเป็นเพลงที่ต้องขึ้นเสียงสูงมากและเล่นลูกคอเยอะ แต่แนวโน้มน่าจะออกมาเป็นเพลงอินดี้หรืออาร์แอนด์บี ซึ่งอาร์.เอส.ฯ มองว่าเข้ากับเสียงของเขา และก็สอดคล้องกับความชอบส่วนตัวของเพชรด้วย

“ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันว่าแนวเพลงจะออกมาแบบไหน ต้องรอให้เซ็นสัญญากันก่อน ตอนเทสต์เสียงผมร้องเพลงคนข้างล่าง ของ เบน ชลาทิศ เบเกอรีมิวสิก แต่ตอนแรกผมร้องเพลงร็อกด้วย ร้องของบิ๊กแอส อาร์เอสเขาเห็นว่าเสียงของผมแปลก เสียงไปทางอาร์แอนด์บีมากกว่า เลยให้ไปฝึกร้องแนวอาร์แอนด์บี แล้วไปเทสต์ดูอีกที ถ้าผมจะเป็นนักร้องผมก็ต้องอยากร้องในแนวของตัวเอง เพราะแต่ละวงที่ดังๆ ส่วนมากเขาจะเป็นตัวของเขาเอง อย่างคุณแม่ผมเขาก็เป็นตัวของตัวเองมากๆ ผมไม่ได้สนใจนะว่าเซ็นสัญญากับอาร์.เอส.ฯ แล้วเทปจะต้องออกมาเร็วที่สุด แต่อยากจะให้ออกมาดีที่สุดมากกว่า” ‘น้องเพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์’ พูดด้วยท่าทีจริงจัง

เส้นทางศิลปิน

ความจริงเพชรเคยถูกทาบทามจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างจีเอ็มเอ็มแกรมมี่มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยหลังจากที่เขากลับมาจากสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว และได้ขึ้นเวทีโชว์พลังเสียงที่วัดทับกระดาน ในงานครบรอบ 12 ปีแห่งการจากไปของ พุมพวง ดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2547 เขาได้รับความสนใจจากค่ายเพลงต่างๆอย่างมาก และแกรมมีถือเป็นเสือปืนไวรายแรกที่ติดต่อทาบทามให้เพชรเข้าเป็นนักร้องในสังกัด

เพชรได้เข้าไปพูดคุยกับทีมงานแกรมมี่และผ่านขั้นตอนการเทสต์เสียงแล้ว แต่เรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีวี่แววว่าจะได้เซ็นสัญญา ไกรสรเห็นว่าหากแกรมมี่ต้องการให้เพชรเข้าเป็นศิลปินในค่ายจริงก็คงมีความเคลื่อนไหวออกมาบ้างแล้ว เมื่อเขาโทรศัพท์ไปสอบถามก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมว่าผู้ใหญ่กำลังพิจารณา

ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ไกรสรจึงตัดสินใจโทรไปคุยกับ ‘แหม่ม พัชริดา วัฒนา ’ เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ฝ่ายพัฒนาศิลปิน ของ บริษัทอาร์เอสโปรโมชัน เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้ลูกชาย ปรากฏว่าค่ายอาร์.เอส.ฯสนใจ ให้เข้าไปคุยกับทางผู้ใหญ่ทันที ขั้นตอนการเทสต์เสียงต่างๆเป็นไปอย่างรวดเร็ว และกำลังจะมีการเซ็นสัญญากันในเร็วๆนี้

แรงบันดาลใจ

เพชรบอกยิ้มๆว่า แม่คือแรงบันดาลใจให้เขาเลือกที่เดินบนถนนสายดนนตรี

“ คุณแม่ร้องเพลงเก่ง ทำได้ยังไงสะกดคนดูได้ขนาดนั้น ผมเลยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำได้ไหมสะกดคนดูเยอะๆ ให้คนดูดูเราอย่างเดียว ฟังเราร้องแล้วไม่เบื่อ ก็อยากลองดู คุณแม่เขาเป็นพลังอย่างหนึ่งของผมที่ทำให้รู้สึกอยากร้องเพลง อีกอย่างตอนนั้นผมดูวงเอ็กซ์เจแปน เป็นวงแนวฮาร์ตร็อกของญี่ปุ่น รู้สึกว่า โห ! เท่ อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง เสียงเขาดีมาก เพลงช้าๆเมโลดีก็สวยมาก ผมเลยอยากลองดู ก็เลยฝึกร้องเพลงอย่างจริงจังมาตั้งแต่อายุ 13-14 ”

ไกรสรคิดว่าลูกชายของเขาคงซึมซับความเป็นศิลปินเพลงมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เพราะพุ่มพวงเดินสายออกคอนเสิร์ตจนกระทั่งใกล้คลอด จึงไม่น่าแปลกที่เพชรชอบร้องเพลงมาตั้งแต่อายุได้แค่ 2-3 ขวบ

“ เวลาเราขับรถไปไหนกัน ผึ้งร้องเพลง น้องเพชรก็จะร้องด้วย นั่งบนตักแม่ ปากก็ร้องตาม ชัดมั่งไม่ชัดมั่ง (หัวเราะ) เวลาแม่เขาไปเดินสายเปิดคอนเสิร์ตที่ไหน เขาก็ไปด้วย ไปกันทั้งครอบครัว จนกระทั่งน้องเพชรเข้าโรงเรียน ขวบ 2 ขวบก็ไปละ จนวาระสุดท้ายของผึ้งเลยนะ” ถึงตรงนี้ แววตาของไกรสรหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

จริงๆแล้วเพชรก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่ความฝันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตอนเด็กๆเขาฝันอยากทำงานเสี่ยงตาย ประเภท สายลับ ตำรวจ หรือทหาร

“ คงเพราะดูหนังแอ็กชันเยอะมั้ง (หัวเราะ) ตอนเด็กๆผมไปเรียนหนังสือที่แคลิฟอร์เนีย ก็มีหนังพวกนี้ให้ดูเยอะ ก็อยากเป็นเดวิซิล คือมันเป็นหน่วยทหารน้ำของสหรัฐฯที่เก่งเรื่องการสืบสวนมาก แต่พอศึกษากฎระเบียบของเขาแล้วมันไม่ได้ ผมอีเมลไปถามกองทัพสหรัฐฯเลยนะว่าอยากเรียนอย่างเนี้ย จะทำยังไง เขาก็บอกว่าถ้าเกิดที่อเมริกาถึงจะมีสิทธิ์สมัครได้ ก็เลยเริ่มมองหาอย่างอื่น ช่วงหลังคุณพ่อกลับมาเมืองไทยแล้วเอาเทปเพลงไทยไปให้ฟังบ่อยๆ แล้วก็เล่าว่าคุณแม่ดังยังไง ผมเองก็ได้อ่านข่าวของเมืองไทยทางอินเทอร์เน็ตด้วยก็เลยรู้ว่าคนไทยยกย่องชื่นชมคุณแม่มาก เลยอยากเป็นนักร้อง ”

เพชรยังเล่าถึงความตื่นเต้นในการขึ้นเวทีร้องเพลงแต่ละครั้งให้ฟังว่า เขาตื่นเต้นทุกครั้ง จนถึงตอนนี้ความตื่นเต้นก็ยังมีอยู่

“ตอนนั้นผมเรียนเกรด 7 ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เขาขึ้นเวทีกับวงคอรัสของโรงเรียนก็ตื่นเต้นมาก รู้สึกเหมือนมีคนมองมาที่เราตลอด เกร็งไปหมด(หัวเราะ) ก็ถามพ่อว่าทำไมเป็นอย่างนั้น พ่อก็บอกว่าขึ้นเวทีบ่อยๆก็ดีขึ้นเอง ความจริงผมกับเพื่อนๆก็รวมวงกันเหมือนกัน ชื่อว่าวง Leviatha แปลว่างูใหญ่ คล้ายๆพญานาคน่ะครับ แต่อยู่ในตำนานของฝรั่ง ตอนนั้นผมเป็นนักร้องนำ แล้วก็เล่นกีตาร์นิดหน่อย แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นร้องเวทีไหนก็ย้ายโรงเรียนเสียก่อน ผมเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยมาก

ตอนขึ้นเวทีที่วัดทับกระดานเมื่อปีที่แล้ว ก็สั่นมาก ผมร้องเพลงโลกของผึ้ง คนดูกรี๊ดกันมาก ผมก็โอ้..พระเจ้า ทำไมคนดูเยอะขนาดนี้ ตอนแรกผมคิดว่าขึ้นเวทีก็คงไม่รู้สึกอะไรเพราะเราเคยแล้วสมัยเรียนที่อเมริกา แต่พอขึ้นไปปุ๊บขามันสั่นไปหมด บอกให้ขาอย่าสั่น อย่าสั่น แต่มันก็สั่น (หัวเราะขำ) ดีที่ตอนนั้นนุ่งกางเกงยีนส์ตัวใหญ่มาก คนดูเลยมองไม่เห็น ตอนนั้นมีแฟนเพลงคุณแม่ที่ตามมาจากอเมริกาด้วย ผมก็ดีใจนะที่ตอนนั้นไม่เป็นลมไปก่อน ผมเกร็งด้วยว่าเพลงของคุณแม่ ผมจะถ่ายทอดออกมาดีไหม แต่ขึ้นเวทีวัดทับกระดานปีนี้ผมนิ่งขึ้นนะ ผมร้อง 2 เพลง โลกของผึ้ง กับ ขอให้รวย”

พุ่มพวงในสายตาของเพชร

เพชรย้อนความหลังในวัยเด็กให้ฟังว่า ตอนที่เขาตามแม่ไปเดินสายด้วยนั้นบรรยากาศดูจะไม่แตกต่างจากเวทีวัดท่ากระดานนัก แฟนเพลงแห่แหนมาดูคอนเสิร์ตของแม่เขาอย่างล้นหลาม ทุกคนร้องเพลงของพุ่มพวงได้แทบทุกเพลง แต่ด้วยความเป็นเด็กเขาก็วิ่งซนไปเรื่อย ไม่ได้รู้สึกว่าแม่เป็นราชินีลูกทุ่ง หรือเป็นศิลปินเพลงที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่คนทั่วๆไปมอง แต่เพชรก็รู้สึกภูมิใจที่เวลาแม่พาเขาไปส่งโรงเรียนแล้วมีคนรู้จักแม่ ทั้งครู แม่ค้าและบรรดาแม่ๆของเพื่อนพากันมาขอลายเซ็น

“ คุณแม่ตอนอยู่บนเวทีกับข้างล่างนี่คนละเรื่องกันเลย อยู่บนเวทีเขาเป็นราชินี เขาสง่ามากๆ แต่ลงจากเวทีเขาก็เป็นผู้หญิงธรรมดา ตัวเล็กๆ ผมสั้นๆ ครอบครัวผมติดดิน ไปไหนก็ไปด้วยกันหมด”

เพชรยังพูดถึงเพลงของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ผู้เป็นแม่ ว่าเป็นเพลงที่ร้องยากมาก และเขาคงไม่มีฝีมือพอที่จะร้องเพลงแนวลูกทุ่งแบบแม่

“ผมไม่รู้ว่าราชินีคนนี้ทำได้ยังไง เขาอัจฉริยะจริงๆ เพลงของคุณแม่ต้องขึ้นเสียงสูงมากๆ ตอนแรกผมฟังก็คิดว่าคงไม่สูงเท่าไร แต่พอร้องดูแล้วเสียงมันขึ้นไปสูงมาก...... โหนไม่ถึง ขนาดเพลงโลกของผึ้งนี่ผมยังต้องลดคีย์ลงมาเลย ทั้งที่ตอนเลือกนี่ส่วนหนึ่งเลือกเพราะมันบ่งบอกถึงชีวิตของแม่ แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าร้องง่ายหน่อย เนื้อไม่เยอะ ไม่ออกลูกทุ่งมาก เสียงคุณแม่เขาเป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่มีการร้องหลบเสียงเลย ไม่เหมือนนักร้องสมัยนี้ที่บางคนพยายามดันเสียงให้สูง โดยส่วนตัวผมชอบเพลง ‘โลกของผึ้ง’ นะเพราะมันใช่ตัวคุณแม่เลย

ผมยังไม่คิดจะร้องแนวลูกทุ่งเหมือนแม่นะ คงต้องขอเวลาพัฒนาฝีมือสักพัก เพราะเพลงลูกทุ่งมันใช้ฝีมือมากจริงๆ ตอนนี้ผมยังไม่ถึงครับ อีกอย่างผมยังเป็นวัยรุ่นด้วย ผมคิดว่าถ้าผมอายุเยอะกว่านี้ก็ยังไม่แน่เหมือนกัน ถ้าผมร้องลูกทุ่งแล้วผลงานออกมาไม่ดี ผมก็ไม่อยากให้มันออกมา อยากจะฝึกก่อน”

เลือกตามรอยแม่

แม้ พุ่มพวง ดวงจันทร์ จะเคยพูดอยู่เสมอว่าไม่อยากให้ลูกมาเป็นนักร้องเหมือนตัวเองเพราะเป็นงานที่หนักมาก แต่เพชรก็ยังคงยืนยันว่าเขาจะเดินในเส้นทางนี้เช่นเดียวกับแม่

“ผมว่านักร้องสมัยนี้สบายกว่าเมื่อก่อนนะ การเดินทางอะไรก็สะดวกกว่า แต่ก่อนแม่ผมต้องคุมด้วย แต่ผมคงมีหน้าที่ร้องอย่างเดียว ส่วนเรื่องธุรกิจก็ให้พ่อจัดการ แล้วถึงจะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง อึดอัดบ้าง ก็ต้องแลกกันนะ ผมเคยอ่านคำพูดของพี่เบิร์ดในหนังสือเล่มหนึ่ง พี่เบิร์ดบอกว่า การจะเป็นดาว ก็ต้องทำตัวให้เหมือนดาว ซึ่งผมเห็นด้วยนะ ถ้าเป็นดารานักร้องก็ต้องระวังตัว ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน เพราะเราเป็นคนของประชาชน ”

ในฐานะลูกชายของราชินีลูกทุ่ง เมื่อเขาเดินเข้ามาในถนนสายดนตรีจึงเป็นที่จับตาของหลายฝ่ายว่าเขาจะทำได้ดีเหมือนแม่หรือไม่
“ ผมไม่รู้สึกกดดันนะ เพราะคุณแม่คือราชินีลูกทุ่ง แต่ผมไม่จำเป็นต้องมาเป็นเจ้าชายหรอกครับ ผมแค่อยากจะเป็นตัวผมเอง ”

เมื่อถามว่าเขายังฝันอะไรอีกหรือไม่ เพชรนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมอยากให้แม่กลับมา”

ถึงความฝันที่เขาอยากได้มากที่สุดจะไม่มีวันเป็นจริง แต่อีกความฝันหนึ่งของทายาทราชินีลูกทุ่งคนนี้ เป็นสิ่งที่เขากำลังตามหา และเชื่อว่าคงไม่ไกลเกินเอื้อม

แม้ไม่ใช่ดวงดาวพร่างพราวฟ้า ขอแค่เป็น ‘ดวงจันทร์’กระจ่างตาคราวันเพ็ญ

*************
หมายเหตุ : ‘ลพ บุรีรัตน์’ แต่งเพลง ‘เพลงโลกของผึ้ง’ ให้กับ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เพลงนี้เป็นเพลงที่บรรยายถึงชีวิตของพุ่มพวงได้ชัดเจนและกินใจที่สุด โดยเฉพาะท่อนที่ว่า " ผึ้งผกผิน บินลิ่วลอยเคว้ง เอาเสียงเพลงแลกเงินผึ้งก็หวัง แฟนผึ้งยังไม่เมิน ปล่อยผึ้งเดินที่สลัว ผึ้งได้กิน ใช้กินเพียงตัว ทางครอบครัวก็อิ่มกัน"

*************

'ไกรสร แสงอนันต์'
กับบาทบาทผู้จัดการส่วนตัว

หลายคนคงจำได้ว่าช่วงที่ ไกรสร แสงอนันต์ (ชื่อใช้ในการแสดงของ ไกรสร ลีละเมฆินทร์ )คบหาจนถึงขั้นอยู่กินกับ 'ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์' นั้นเกิดเสียงครหาอย่างหนักในทำนองว่าเขาจริงใจกับความรักครั้งนี้หรือไม่ และการที่เขาเข้าไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวของพุ่มพวงนั้นเป็นเพราะเขามุ่งหวังผลประโยชน์บางอย่างหรือเปล่า

จนถึงวันนี้ เขาได้พิสูจน์ความจริงใจของเขา พิสูจน์ความเป็นสามีที่ดี ดูแลภรรยายามเจ็บป่วยจนถึงวาระสุดท้าย และบทบาทของพ่อ ซึ่งเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวอย่างดีที่สุด

วันนี้เขากำลังจะกลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของ 'น้องเพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์' ซึ่งเป็นลูกชาย เช่นเดียวกับที่เขาเคยทำหน้าที่นี้ให้แก่ภรรรยา ไกรสรบอกว่าเขาไม่กลัวว่าคำติฉินนินทาแบบเดิมๆจะเกิดขึ้นอีก เพราะบุคคลทั้งสองคือคนที่เขารัก และพร้อมจะดูแลทั้งชีวิต

สำหรับเรื่องลิขสิทธิ์เพลงของพุ่มพวงที่เขากำลังต่อสู้เรียกร้องอยู่นั้น ไกรสรยืนยันว่าเขาเรียกร้องเพื่อความยุติธรรมของลูกซึ่งเป็นสายเลือดของพุ่มพวง โดยตอนนี้เขาให้ทนายศึกษาข้อกฎหมายและเป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้

"ผึ้งเสียไป 13 ปีแล้ว ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทเทปเลย ก็มาเรียกร้องเท่านั้นเอง ผมมีสัญญาต่างๆพร้อม จะให้ฝ่ายกฎหมายดู แล้วก็จะคุยกับเจ้าของบริษัทเทป ถ้าผมมีสิทธิ์ก็ขอแบ่งปันว่า ถ้าไม่มีสิทธิ์ ผึ้งตายไปแล้วลิขสิทธิ์เพลงเป็นของนายทุน เป็นของบริษัทเทป ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะผมไม่เคยได้อะไรอยู่แล้ว

ตามสัญญาระบุว่าถ้านำเสียงร้องของพุ่มพวงออกขายเมื่อไร ไม่ว่าจะก๊อบปี้กี่หน ผึ้งก็จะได้ม้วนละ 5 บาท แต่ผมไม่รู้ว่าผลประโยชน์ตรงนี้จะตกถึงทายาทด้วยหรือไม่ เพราะในสัญญาก็ไม่ได้ระบุว่านักร้องตายไปแล้วไม่ได้นี่ครับ ก็จะเชิญบริษัทเทปมาคุยกัน ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย"

หลังจากพุ่มพวงเสียชีวิตด้วยโรคภูมิแพ้ตัวเอง เมื่อปี 2535 ไกรสรก็จัดสรรทรัพย์สินที่พุ่มพวงทิ้งไว้ให้แก่บรรดาญาติๆของเธอไปตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด เขานำเงินที่เหลือส่วนหนึ่งไปลงทุนทำธุรกิจหลายอย่าง ตั้งแต่ซื้อขายบ้านและที่ดิน เปิดบริษัทขายเครื่องสำอาง ภายใต้ยี่ห้อมิราเคิล รวมทั้งลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย แต่ธุรกิจแต่ละอย่างดูจะไม่ประสบความสำเร็จนัก

ในปี 2542 ไกรสรได้พาน้องเพชร ลูกชายไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกานานถึง 6 ปี เพราะเขาต้องการให้ลูกชายได้ทักษะทางภาษาจึงพาไปเรียนที่แคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่เพชรอายุได้เพียง 12 ปี ชีวิตของสองพ่อลูกที่แคลิฟอร์เนียค่อนข้างเรียบง่าย ที่นั่นไกรสรหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหารไทยชื่อ Sweet Basil ทั้งสองเพิ่งจะกลับมาเมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว และปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่

ไกรสรบอกว่าขณะนี้เขามีเงินสดเหลืออยู่ไม่มากนัก เพราะช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เขาขาดทุนจากการเล่นหุ้นไปหลายล้าน ปัจจุบันเขามีรายได้จากร้านอาหารไทยที่สหรัฐอเมริกา และค่าเช่าบ้านที่เมืองไทยอีก 2 หลัง ซึ่งก็ถือว่าพออยู่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายที่เชียงใหม่ไม่สูงนัก เขาจัดสรรเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่ออนาคตของลูกชายซึ่งดูจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้

"ตอนนี้น้องเพชรเรียนอยู่เกรด 11 (เท่ากับ มัธยมศึกษาปีที่ 5) ที่ Chiamai National School จ.เชียงใหม่ ส่วนอนาคตเขาจะกลับไปเรียนปริญญาตรีที่เมืองนอกอีกหรือเปล่า ก็ขึ้นว่าถนนสายศิลปินของเขาจะราบรื่นหรือไม่ เพียงใด" ไกรสร กล่าวตบท้าย







กำลังโหลดความคิดเห็น