เมื่อหนึ่งเดือนก่อน… ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจของเด็กหนุ่มสาวจำนวนหนึ่ง แต่อีกหลายคนต้องผจญกับความเสียใจและผิดหวัง บ้างถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมาหลังจากรู้ผล ราวกับว่าโลกของพวกเขากำลังจะแตกสลายและหนทางในอนาคตพลันมืดมน
ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาหลายปีในรั้วโรงเรียน ที่ยาวนานถึงสองในสามของอายุพวกเขา จะดูไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิงเพียงเพราะบางคนสอบไม่ผ่านในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่หลังจากเสียใจแล้วก็ยังมีหลายคนที่หยัดยืนขึ้นใหม่และก้าวต่อไปสู่รั้วมหาวิทยาลัยเปิดหรือเอกชน
และหากจะเอ่ยถึงมหาวิทยาลัยเปิดแล้ว ชื่อของมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้นอยู่เคียงคู่กับผู้ที่พลาดหวังจากการสอบเอนทรานซ์มาหลายยุคสมัย ความที่เป็นตลาดวิชาทำให้ที่นี่มีนักศึกษาจำนวนมากและหลากหลายเพศ วัย และถิ่นที่มา แต่ในความหลากหลายนั้น กลับมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นในหมู่ลูกพ่อขุน พวกเขารวบรวมรุ่นพี่รุ่นน้องและผองเพื่อนนักศึกษาก่อตั้งเป็นกลุ่มหรือซุ้ม กระทั่งปัจจุบันนี้มีจำนวนหลายร้อยกลุ่มในมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ซุ้ม (กลุ่ม) นี้มีที่มา
ท้องฟ้าเดือนมิถุนายนหนักอึ้งไปด้วยเมฆสีดำก้อนใหญ่ ไม่นาน… ทั่วย่านบางกะปิก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝน เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงผู้คนจึงดูบางตาไปบ้าง แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป บรรยากาศในมหาวิทยาลัยก็เริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เสียงตีกลองร้องรำทำเพลงดังมาจากกลุ่มนักศึกษาลูกพ่อขุน ที่ยืนเรียงรายเป็นกลุ่มๆ ชูป้ายพร้อมร้องตะโกนเชิญชวนเหล่านักศึกษาปีหนึ่งให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ซึ่งแต่ละกลุ่มนั้นก็มีที่มาไม่ซ้ำกัน
กลุ่มราม-จริงใจ,ราม-เพื่อนแท้,ราม-สานสายใย,ราม-เกี่ยวก้อย คือตัวอย่างของกลุ่มที่ตั้งชื่ออบอุ่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของมิตรภาพ นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มที่มีชื่อประกาศเจตนารมย์ชัดเจนอย่าง ราม-มวลชนอิสระ,ราม-สันติภาพโลก,ราม-ค่ายเราอาสา,ราม-เยาวชนสร้างสรรค์,ราม-บ้านคาทอลิก,ราม-กรีนดีโมเครติก เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มโรงเรียนมัธยมฯ อย่าง ราม-จุฬาภรณ์, ราม-หาดใหญ่วิทยาลัย, ราม-กัลยาณีศรีธรรมราช, ราม-หอวัง, ราม-คลองปางวิทยาคม, ราม-สตรีพัทลุง, ราม-ขอนแก่นวิทย์ฯ เป็นต้น
แต่ที่มีอยู่มากที่สุดเห็นจะได้แก่ กลุ่มที่ก่อตั้งจากถิ่นที่มาของสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่ม นับตั้งแต่ภูมิภาคอย่าง ราม-ด้ามขวานมิตรสัมพันธ์,ราม-สะตอสัมพันธ์ ระดับจังหวัดอย่าง ราม-ภูเก็ต,ราม-เชียงใหม่,ราม-อ่างทอง,ราม-สกลนคร, ราม-นครสวรรค์ ฯลฯ หรือระดับอำเภออย่าง ราม-แสงไต้,ราม-หาดใหญ่,ราม-ทุ่งสง,ราม-น้ำยืน,ราม-ท่าศาลา,ราม-สว่างแดนดิน,ราม-ศีขรภูมิ,ราม-กมลาไสย,ราม-ชัยบาดาล,ราม-เชียงของ,ราม-ปากพนัง แม้แต่อัตลักษณ์พื้นถิ่นอย่าง ราม-พระธาตุจอมจ้อ หรือเกาะอย่างตะรุเตา กับแหลมตะลุมพุกก็ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อกลุ่มด้วย
เรียกได้ว่าใครมาจากจังหวัดไหน อำเภอไหน และเคยเรียนมัธยมโรงเรียนใดก็เข้ากลุ่มนั้น หรือแม้แต่จะไม่ได้เป็นคนในท้องถิ่นนั้น หากพอใจและถูกนิสัยใจคอกับเพื่อนพี่น้องในกลุ่มก็สามารถเลือกเข้ากลุ่มได้ตามอัธยาศัย
กลุ่มราม-ร้อยเอ็ด
“สมาชิกที่เป็นชาวร้อยเอ็ดจริงๆ เราก็มีประมาณครึ่งหนึ่ง เวลาใครผ่านไปผ่านมาก็จะมาแวะตรงนี้ จะมีไวท์บอร์ดไว้เขียนข่าวว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง อย่างเครือข่ายนักศึกษาที่อยู่ในละแวกภาคอีสานก็จะจัดพวกพาแลง มีอาหารอีสาน โปงลาง เราก็จะมารวมกันจัดงานมรดกอีสานบ้าง” สุริยัน บันผนึก ประธานที่ปรึกษากลุ่มราม-ร้อยเอ็ด กล่าว
สุริยันบอกว่ากลุ่มราม-ร้อยเอ็ดนั้นมีเครือข่ายอีกหลายกลุ่มด้วยกัน ได้แก่ เสลภูมิ,สุวรรณภูมิ,โพนทอง,ชงโค,พนมไพร,สาเกตุนคร ซึ่งเป็นอำเภอและสัญลักษณ์ของร้อยเอ็ด ทว่าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นชาวร้อยเอ็ดเท่านั้นจึงจะเข้ากลุ่มได้
“น้องเขามีสิทธิจะเลือกที่อยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ เพราะเราไม่มีสิทธิที่จะบังคับเขา ขอแค่คุยกันถูกคอเท่านั้นล่ะครับ ก็คือชอบที่จะอยู่หรือเปล่า เวลาชวนสมาชิกเข้ากลุ่มเราก็จะเฮฮาโหวกเหวกเข้าไปนี่แหละครับ ก็คือทำตัวสนุกไว้ก่อน ก็ยืนถือป้ายแล้วก็ตะโกนเรียกอยู่แถวรั้ว ถ้าน้องเขาชอบสไตล์แบบเรา เขาก็จะเดินเข้ามาหาเราเอง”
สมาชิกที่เป็นนักศึกษาปัจจุบันของกลุ่มร้อยเอ็ดมีประมาณ 50 คน แต่หากจะนับไปถึงรุ่นพี่ๆ รุ่นก่อนๆ ที่เรียนจบไปแล้วนั้นมีมากมาย และหลายๆ คนก็ยังติดต่อกับรุ่นน้องไม่ขาด
“รุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็ยังติดต่อผูกพันกันอยู่ และบางคนทำงานเป็นใหญ่เป็นโตไป พอช่วงรับน้องไม่มีตังค์เราก็ส่งซองให้พี่เขาช่วยไป เราติดต่อรุ่นพี่ได้คนหนึ่ง รุ่นพี่คนนั้นเขาก็จะติดต่อในรุ่นของเขาเองว่ามีกี่คนๆ ก็เป็นเครือข่ายโยงใยกันไป รุ่นเก่าที่สุดที่ยังอยู่ในซุ้มคือรหัส 24 คือเข้ามาเรียนรามฯ ปี 2524 เวลามีงานรับน้องก็จะเข้ามา ส่วนที่มีเยอะก็คือรุ่น 32,33,38 แก่สุดเราก็จะเรียกป๋า”
ในช่วงก่อนเปิดเทอมนี้ พวกรุ่นพี่แต่ละกลุ่มก็จะมาคอยให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำรุ่นน้องน้องในการกรอกใบสมัครและพาไปสมัคร
“ส่วนมากสมาชิกกลุ่มเราเป็นนักศึกษานิติฯ กับรัฐศาสตร์ แล้วก็มีคณะอื่นก็ปนๆ มาบ้าง คงเป็นเพราะเขาฮิตกันมั๊งครับว่ามาเรียนรามฯ ต้องเรียนคณะนิติฯ กับรัฐศาสตร์ เราจะแนะนำให้รุ่นน้องรู้จักกัน สนิทกัน เพราะว่าเรียนรามคนมันเยอะไงครับ จะได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนเวลาไปเรียน เพราะเราก็มีหน้าที่แค่ทำให้น้องเขารู้จักกันเท่านั้น ทุกๆ ปีรุ่นน้องรุ่นต่อๆ ไปก็มาทำอย่างนี้เหมือนเราแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นวัฏจักรคล้ายๆ กับหาทายาทอสูรต่อไปทุกปีๆ น่ะครับ” สุริยันพูดติดตลก
นอกจากกิจกรรมรับน้องแล้ว ก็จะมีมีทติ้ง หรือจัดแข่งกีฬากับซุ้มข้างเคียงบ้าง สุริยันยอมรับว่าบางครั้งก็มีการแย่งรุ่นน้องเข้ากลุ่มจนเกิดการเขม่นกันระหว่างกลุ่มบ้าง ยิ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงขยายไปที่บางนาอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนักศึกษาปีหนึ่งต้องไปเรียนที่นั่นแล้ว ทำให้แต่ละกลุ่มก็ต้องพลอยขยายสาขาโต๊ะกลุ่มหรือซุ้มไปที่บางนาด้วย
“เราจะมีจับสลากหาพี่รหัสน้องรหัสด้วย ก็คือต้องเทคแคร์กัน พี่หนึ่งคนน้องหนึ่งคน ต้องติดต่อกันบ้าง เปิดเทอมรุ่นน้องต้องไปเรียนที่ราม 2 จะมีรุ่นพี่เวียนไปดูแลเทคแคร์ เพราะเรากลัวว่าน้องอาจจะโดนซุ้มอื่นแย่งไปอะไรทำนองนี้ ก็ต้องไปเฝ้า สงครามระหว่างซุ้มมันเยอะนะครับ” สุริยันกล่าวทีเล่นทีจริง “บางที่เราอุตส่าห์พาน้องมานั่งทำความรู้จัก แต่ก็มาชิ่งดึงน้องเราไป”
สุริยันสังเกตว่าปีนี้มีคนมาสมัครเรียนรามฯ น้อยลงกว่าปีก่อนๆ มาก ต่างจากบรรยากาศในปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็นเพราะการเปิดภาคสมทบของมหาวิทยาลัยอื่นๆ และการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยของสถาบันราชภัฏต่างๆ จึงทำให้มีคนมาสมัครน้อยลง แต่สุริยันก็มั่นใจต่อการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพสู่สังคมของ ม.รามคำแหง นักศึกษาที่คิดจะเรียนที่นี่จึงต้องมีวินัยทั้งเรื่องเรียนและการใช้ชีวิต
“ถ้าคิดว่ามั่นใจว่าตัวเองสามารถเรียนได้ มั่นใจว่าควบคุมตัวเองได้ ดูแลตัวเองได้หรือเปล่า เพราะที่นี่ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่น เพราะมันต้องเรียนด้วยตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ถึงหน่วยกิจจะถูกแต่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตมันก็พอๆ กันกับทุกมหาวิทยาลัย”
กลุ่มราม-สุโขทัย
จาก(ราม)ร้อยเอ็ดแดนอีสาน เราเดินไปถึงภาคกลางตอนบนอย่างสุโขทัย ซึ่งตั้งอยู่ซุ้มข้างๆ ไม่ไกลกันนัก ก็พบรุ่นพี่หลายคนกำลังแนะนำให้น้องๆ กรอกใบสมัครอย่างขะมักเขม้น ชลทิศ เพ็ชรี่ ประธานนักศึกษากลุ่มกลุ่มราม-สุโขทัย บอกว่ากลุ่มนี้ก่อตั้งมาได้กว่า 50 ปีแล้ว โดยรุ่นพี่ที่เป็นชาวสุโขทัย แต่ปัจจุบันนี้ก็มีสมาชิกหลากหลายจังหวัด มาร่วมกันทำกิจกรรมปฐมนิเทศ รับน้อง กีฬาซุ้ม แต๊งค์พี่ และมีทติ้ง รวมถึงการทำบุญปีใหม่
“การเข้าซุ้มทำให้นักศึกษาสนิทกันมากขึ้น ได้รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดกัน รุ่นพี่บอกประสบการณ์รุ่นน้อง แต่ละปีจะมีรุ่นพี่จบเขาก็จะให้คำปรึกษาบ้างว่า ควรเลือกวิชานี้นะ วิชานี้ง่าย วิชานั้นยาก แล้วก็มีหนังสือเรียนและชีทเก่าๆ มาให้รุ่นน้อง ก็ให้คำแนะนำทั้งเรื่องการเรียน การใช้ชีวิตมหาวิทยาลัย เพราะส่วนมากน้องๆ เขาก็มาจากต่างจังหวัดกัน การสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องชีวิตทุกอย่าง แม้แต่ช่วยแนะนำหอพักให้ด้วย รุ่นพี่ที่จบไปแล้วก็ให้คำแนะนำเรื่องงานน้องที่กำลังจะเรียนจบด้วย”
ชลทิศมองว่าการเป็นซุ้มที่หลากหลายของม.รามคำแหงนั้นมีข้อดีต่างจากสถาบันอื่นตรงที่ว่า
“มหาวิทยาลัยอื่นเขาก็มีโต๊ะ มีสายรหัส เป็นชมรมทั่วไปก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่ส่วนมากเขาจะมีอยู่ในคณะ เขาไม่มีแยกเป็นซุ้มเหมือนของที่รามฯ เขาก็อาจจะสนิทกันแค่ภายในคณะนั้น แต่ของรามฯ นี่มีทุกคณะ ทุกวิชาเลย ทุกคนสามารถรู้จักเป็นเพื่อนพี่น้องกันได้หมด”
กลุ่มราม-แพร่
เมื่อเดินห่างจากริมรั้วเข้าไปข้างตึกอธิการบดี ก็เห็นน้องๆ นักศึกษานั่งจับกลุ่มส่งภาษาเหนือกันอยู่ ยิ่งได้เห็นป้ายก็ไม่ต้องสงสัยว่านี่คือกลุ่มนักศึกษาชาวเหนือหนึ่งในหลายกลุ่มที่มีอยู่ในรามฯ แน่นอน
กฤษณะ ศฤงคาร หนุ่มเมืองแพร่ ผู้ที่เป็นประธานนักศึกษากลุ่มราม-แพร่ บอกว่าทางกลุ่มกำลังขะมักเขม้นหาน้องๆ มาเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มอยู่ ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกเป็นชาวแพร่ประมาณ 70%
“เราเป็นคนจังหวัดเดียวกันมาเรียนที่รามก็มีส่วนทำให้ผูกพันกันครับ แต่กลุ่มเราก็มีนักศึกษาจากจังหวัดอื่นด้วย กิจกรรมที่เราทำส่วนมากก็จะไปออกค่ายที่แถวๆ แพร่ แล้วก็กิจกรรมในรามฯ ก็จะมีงานตานโก๋ยเป็นงานประเพณีของภาคเหนือ เราก็จะรวมกลุ่มซุ้มของภาคเหนือทั้งหมดจัดงานขันโตก”
“น้องๆ ที่สนใจเข้ากลุ่มเมืองแพร่ก็เข้ามาได้ เรายินดีต้อนรับทุกคน ทุกภาค ทุกภาษา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเมืองแพร่ก็ได้ครับ เพราะว่าคนในซุ้มก็มีทั้งใต้ ทั้งเหนือ ทั้งอีสาน เราคบกันหมด ถ้าได้มาเข้าซุ้มกันเราก็จะมีกิจกรรมให้ทำ ได้พบปะกัน รับรองว่าสนุกครับ สำหรับคนที่เอนท์ไม่ติดก็ไม่ต้องเสียใจครับ มาเรียนที่รามได้ เพราะอย่างที่โฆษณาเรียนรามฯ อยากเรียนอะไรก็ได้เรียน” กฤษณะฝากถึงผู้ที่พลาดหวังให้มาเป็นลูกพ่อขุน
กลุ่มราม-ตะวันตก
ไม่ใช่เพียงภาคใหญ่อย่างเหนือ กลาง อีสาน ใต้ แต่จังหวัดในภาคตะวันตกก็มีโต๊ะเป็นชื่อตัวเองเหมือนกัน
วินัย วิชาดี ประธานนักศึกษากลุ่มราม-ตะวันตก เล่าถึงที่มาของกลุ่มว่า ในปี 2520 มีรุ่นพี่ผู้หญิงที่จบจากโรงเรียนสตรีวิทยาเข้ามาเรียนที่รามฯ จึงรวมตัวเป็นกลุ่มเฉพาะผู้หญิงด้วยกัน
“คนที่มาจากที่ต่างๆ ไม่สามารถเข้ากับคนอื่นได้โดยที่ไม่มีการรวมกันมาก่อน เขาก็เลยจับกลุ่มกันขึ้น แล้วตั้งชื่อว่ากลุ่มคุณหญิงเพราะเป็นผู้หญิงล้วน ต่อมารามคำแหงได้ขยายขึ้น มีคนจากภาคต่างๆ เข้ามาเรียนที่นี่มากขึ้น ทั้งหญิงและชาย ก็มารวมกลุ่มกัน ในช่วงจังหวะนั้นคนส่วนใหญ่อยู่ในส่วนของภาคตะวันตก ก็เลยดึงชื่อตรงนั้นมาใช้ตั้งเป็นกลุ่มราม-ตะวันตก แต่ไม่ใช่มีแต่ภาคตะวันตก ภาคเหนือ กลาง อีสานก็มี”
โดยกลุ่มหรือซุ้มในรามฯ นี้จะมีลักษณะเป็นกันเองและสบายๆ กว่าชมรม ที่มีลักษณะเป็นทางการมากกว่า
“จุดมุ่งหมายของเราก็คือว่า คนที่เข้ามารามฯ มันไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่น คือมันเป็นมหาวิทยาลัยเปิด ถ้าใครไม่สนใจใครก็คือไม่รู้จักกันเลย ถ้าเราไม่เข้าหาเขา เราก็ไม่รู้จักใครเลย ที่ตั้งกลุ่มขึ้นมาก็เพราะว่า อยากจะให้น้องเขามีเพื่อน และให้เขาได้พูดคุยเปิดเผยความรู้สึกกับเพื่อนในกลุ่ม แล้วอีกอย่างที่ซุ้มราม-ตะวันตกมีหลายคณะ รุ่นพี่ก็จะเป็นที่ปรึกษาการเรียนให้น้องแต่ละคณะ สมัยก่อนเลิกเรียนน้องก็จะมาที่โต๊ะมาปรึกษารุ่นพี่ว่าเรื่องการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่จำเป็นว่าซุ้มนี้จะต้องเป็นเฉพาะคนในซุ้มมานั่ง บางทีก็มีคนอื่นมาเราก็คุยกันปกติ เทคแคร์ซึ่งกันและกัน ไม่มีการแบ่ง”
กลุ่มราม-เกียรติภูมิ
หลายคนที่เรียนรามฯ บอกว่า ในจำนวนนักศึกษาทั้งหมดของที่นี่ มีนักศึกษาเป็นชาวภาคใต้เยอะที่สุด จะจริงเท็จประการใดไม่แน่ใจ แต่อาจเป็นเพราะนิสัยรักถิ่นฐานบ้านเกิดและเพื่อนร่วมภาคของคนใต้ เราจึงเห็นพวกเขามักจับกลุ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่เสมอ
จิรายุ คล้ายอุดม ประธานนักศึกษากลุ่มราม-เกียรติภูมิ หนึ่งในกลุ่มนักศึกษาชาวใต้ของรามฯ ที่มีอยู่หลายกลุ่ม บอกที่มาว่ากลุ่มราม-เกียรติภูมิ ก่อตั้งโดยรุ่นพี่ชาว อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
“กลุ่มเราเป็นคนใต้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมากก็จะพูดใต้กัน แต่เราเน้นรวมกันทุกๆ จังหวัดแล้วแต่จะหาสมาชิกมาได้ ไปทำกิจกรรมรับน้อง ออกค่ายอาสา มีทติ้ง แล้วก็ไปทัศนศึกษาภูหินร่องกล้าทุกปี ในบรรดาซุ้มของรามทั้งหมดน่าจะมีซุ้มคนใต้เยอะที่สุด ซุ้มของเหนือก็มีคนใต้อยู่ แต่ซุ้มคนใต้ส่วนมากเด็กเหนือเขาจะไม่ค่อยอยู่ ส่วนมากเป็นเด็กอีสาน”
นอกจากกิจกรรมที่ว่ามาแล้ว ซุ้มชาวใต้ก็มีการจัดงานประเพณีเดือนสิบ มีหนังตะลุง มโนราห์
“จริงๆ แล้วซุ้มเราไม่ใช่ของเด็กใต้โดยเฉพาะ มันจะมีเหนือ กลาง อีสาน ใต้ปนกันหมด ถ้าเราเข้าซุ้มเราจะมีเพื่อน แล้วการเรียนรามนี่ไม่ใช่แบบว่าต้องเข้าเรียน อาจารย์บังคับ จะเข้าก็ได้ไม่เข้าก็ได้ ก็คือถ้าเราไม่มารับน้อง หรือไม่มีเพื่อนมาจากบ้าน ก็จะไม่ค่อยมีเพื่อน อย่างน้อยการทำกิจกรรมก็ทำให้เรารับผิดชอบตัวเองได้มากขึ้น และรู้จักที่จะแบ่งปันให้คนอื่น รู้จักความสามัคคี และก็รู้จักเพื่อน อย่างเป็นเด็กใต้แต่มีเพื่อนอยู่เหนือ มีเพื่อนอยู่อีสาน”
………………………..
หลังจากตระเวนพูดคุยและเก็บบรรยากาศตามซุ้ม-โต๊ะต่างๆ ในม.รามคำแหง สายฝนก็ยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดระยะ แต่แล้วท้องฟ้าก็สดใส เมฆจางหายไปเปิดให้ดวงอาทิตย์สาดแสงอีกครั้งหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของนักศึกษาที่เดินขวักไขว่ไปมา การเริ่มต้นชีวิตมหาวิทยาลัยที่นี่ คงช่วยให้แสงตะวันสาดส่องลงมาในใจพวกเขาอีกครั้ง
เพราะที่นี่คือ “รามคำแหง” มหาวิทยาลัยที่ทำให้หลายคนรู้ว่า “เอนทรานซ์ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต”