xs
xsm
sm
md
lg

"บางกอกดอลล์" กึ่งศตวรรษบ้านตุ๊กตาไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"การทำตุ๊กตาปกติอาจเป็นเพียงหัตถกรรม คือทำด้วยมือหรือเป็นอุตสาหกรรมซึ่งอาจใช้เครื่องจักรช่วยโดยไม่ต้องใช้ศิลปะหรือฝีมือประกอบ หรือใช้ก็แต่เพียงเล็กน้อย แต่การทำตุ๊กตาบางกอกดอลล์จำเป็นต้องใช้ศิลปะหรือฝีมือประกอบทุกขั้นตอน"
คุณหญิงทองก้อน จันทวิมล...ผู้ก่อตั้งและริเริ่มประดิษฐ์ตุ๊กตาบางกอกดอลล์


กว่าจะเป็นบางกอกดอลล์

คนที่เบื่อเมืองหลวงหลายคนอาจนึกไม่ออกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ยังมีอะไรดีซุกซ่อนเอาไว้อีกมากมายภายใต้มลภาวะ สภาพรถติด ข้าวของที่แพงระดับขูดเลือดผู้บริโภค

แต่กรุงเทพฯ ก็ยังมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่...นานมาแล้ว ท่ามกลางการจราจรติดขัดใจกลางเมืองหลวง เรามีโอกาสเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ แถบสี่แยกราชปรารภ "ซอยรัชฏภัณฑ์" ซึ่งครั้งหนึ่งสื่อมวลชนคงรู้จักกันดี เพราะที่นี่มีชื่อดั้งเดิมว่า "ซอยหมอเหล็ง" อันเป็นที่พำนักของอดีตนายกรัฐมนตรีฉายามีดโกนอาบน้ำผึ้ง

เมื่อเข้าซอยซึ่งคดเคี้ยวไปได้สักระยะหนึ่งเราก็พบ "บางกอกดอลล์" โดยมีป้ายเล็กๆ ติดบอกหน้าบ้านซึ่งเปิดประตูกว้างเชื้อเชิญผู้คน

"ตั้งต้นมาจากคำพูดของคนที่อยู่องค์การสหประชาชาติ และหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง" อาจารย์อาภัสสร์ จันทวิมล บอกกับเราถึงต้นคิดการทำตุ๊กตาไทยของคุณแม่ตนเอง ซึ่งต้องย้อนไปราว พ.ศ. 2498

สมัยนั้นองค์การสหประชาชาติมีตุ๊กตาของแต่ละชาติเก็บรักษาไว้ และมีคนไทยซึ่งทำงานอยู่ไปด้อมๆ มองๆ แล้วนึกเปรียบว่าเมืองเราก็ขึ้นชื่อในงานฝีมือ เหตุใดตุ๊กตาที่ส่งมาเก็บรักษาจึงประณีตสู้ตุ๊กตาประเทศอื่นไม่ได้ และต่อมาคนไทยคนนั้นได้มีโอกาสเจอคุณหญิงทองก้อนก็ได้บ่นเรื่องนี้

ความที่สามีรับราชการ ช่วงนั้นเองคุณหญิงทองก้อนก็มีโอกาสติดตามสามีไปญี่ปุ่นซึ่งได้ชื่อว่ามีความรุ่งเรืองในวิชาการทำตุ๊กตามากที่สุดชาติหนึ่ง เธอจึงถือโอกาสเข้าเรียนที่โอซาวาดอลล์สกูล ซึ่งความรู้ที่ได้ครั้งนั้นได้กลายมาเป็นพื้นฐานอันดียิ่งในเวลาต่อมา (ญี่ปุ่นสอนประกอบอย่างเดียว ไม่สอนการผลิตชิ้นส่วน เพราะต้องการขายของ)

พ.ศ.2499 หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ Free World ตีพิมพ์เรื่องราวของแพทย์หญิงอาเรลี ควิริโน (Alei Quirino) ชาวฟิลิปปินส์ซึ่งทำตุ๊กตาจนประสบผลสำเร็จมีชื่อเสียง "เป็นการดลบันดาลใจอย่างแรง ที่ทำให้เริ่มลงมือทำตุ๊กตาโดยไม่ใช้ชิ้นส่วนที่มาจากประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ยังไม่พอใจ เนื่องจากลักษณะของใบหน้าและรูปร่างไม่เป็นไทย" เป็นความรู้สึกที่คุณหญิงบันทึกในหนังสือครบรอบอายุ 60 ปี (ปัจจุบันคุณหญิงทองก้อนมีอายุ 88 ปี)

หลังจากนั้นไม่นาน บริเวณชั้นสาม อาคาร 9 บนถนนราชดำเนิน ตุ๊กตาบางกอกดอลล์ตัวแรกก็ถูกผลิตขึ้น โดย อภัย จันทวิมล (สามี) ตั้งชื่อว่า "ตุ๊กตาบางกอก" แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "BANGKOK DOLLS" ต่อมาเรียกทับศัพท์ว่า "ตุ๊กตาบางกอกดอลล์" โดยทุกตัวมีเครื่องหมายแปะเขียนว่า Handmade, Bangkok Dolls, Thailand (ตุ๊กตาบางกอกทำด้วยมือในประเทศไทย) และยังมีการทำแคตตาล็อกภาษาอังกฤษอีกด้วย

ปีเดียวกันนั้นเองตุ๊กตาละครรำชื่อ "นาง" ก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในนามสมาคมศิษย์เก่าวังหลัง-วัฒนา เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา

แม้ได้รับพระราชเสาวนีย์ชมเชย ความที่เธอยังไม่พอใจในสัดส่วนของตุ๊กตา เป็นที่มาของการเชิญบรมครูและนักปราชญ์ด้านศิลปะมาช่วยปรับปรุงตุ๊กตาไทยบางกอกดอลล์ให้ดียิ่งขึ้น "จากสัดส่วนช่วงปีแรกใช้ขนาด 16 นิ้วดูจะใหญ่เกินไป เลยทำเล็กลงเป็น 12 นิ้วหรือ 1 ฟุตแบบที่เห็นในปัจจุบัน เวลาทำมันก็ยากลำบากที่จะให้เหมือนของจริง ต้องอาศัยอาจารย์ท่านต่างๆ ช่วย" อาจารย์อาภัสสร์ จันทวิมล รำลึกความหลัง

ในปีที่คิดย่อขนาดตุ๊กตาลงนั้น (พ.ศ.2502) มีสาเหตุสำคัญ คือ ราชเลขาธิการสำนักพระราชวังได้ติดต่อขอให้ทำตุ๊กตาเป็นคู่สำหรับพระราชทานเป็นของขวัญแก่เจ้าหญิงอเล็กซานดร้าแห่งเคนท์ที่เสด็จมาเยือน และคุณหญิงเองรู้สึกว่า หากใช้ขนาด 16 นิ้วซึ่งทำมาแต่เดิมจะไม่สะดวกในการพกพา

การลงมือผลิตตุ๊กตาไทยใช้ชิ้นส่วนทำเองทั้งหมดก็เริ่มขึ้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์คนสำคัญเช่น หลวงวิศาลศิลปกรรม (นายช่างสถาปนิกอาวุโสของไทย) ออกแบบลายเสื้อผ้า สร้างแบบหัวโขนและเครื่องประดับ เรวัติ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ช่วยเขียนหัวโขนให้มีชีวิต ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี แนะนำสัดส่วนตุ๊กตา ช่วยปั้นแบบหน้า ชิต เหรียญประชา (ศิลปินแห่งชาติ) สร้างแม่พิมพ์หน้าตุ๊กตา ประชุม มะนะ อดีตศึกษานิเทศก์ กระทรวงศึกษาธิการ วางแนวการเขียนหน้าตุ๊กตา

นอกจากนี้ยังมีคุณหญิงแพ้ว สนิทวงศ์ ช่วยจัดท่ารำให้ถูกตามตำรา เมื่อรวมฝีมือการทำตุ๊กตาของคุณหญิงกับภูมิปัญญาของปรมาจารย์หลายท่านแล้วผลที่ได้คือ "ตุ๊กตาฝีมือคนไทยที่ยอดเยี่ยมที่สุด" ได้สำเร็จลงอย่างงดงาม ซึ่งทำให้ต่อมานอกจากบางกอกดอลล์จะกลายเป็น "ของขวัญพระราชทาน" สำหรับแขกบ้านแขกเมืองในครั้งนั้นแล้ว ในหลวงและพระราชินียังได้ทรงติดตุ๊กตาบางกอกดอลล์ออกไปเป็น "ทูตสันถวไมตรีตัวน้อย" โดยพระราชทานแก่คณะบุคคลสำคัญต่างๆ สมัยที่พระองค์เสด็จฯ เยือนยุโรปและสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2503 อีกด้วย

นอกจากนี้บทบาทตุ๊กตาบางกอกดอลล์ยังขยายไปถึงบทบาทอนุรักษ์และเป็นสื่อเรียนรู้วัฒนธรรมไทยเรื่องโขน ละคร และวรรณคดี

ดังในต่างประเทศมาสักระยะแล้ว บางกอกดอลล์จึงเริ่มมีชื่อเสียงในสังคมไทยเมื่อ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ข้ามถนนจากสำนักงานหนังสือพิมพ์สยามรัฐไปเยี่ยมคุณหญิง ณ ที่พำนัก แล้วเขียนบทความ "ตุ๊กตาไทยเดินทาง" (สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ พ.ศ. 2503) จนมีบันทึกว่า "สถานที่พักของเราออกจะพลุกพล่านด้วยคนแปลกหน้า" ก่อนที่บางกอกดอลล์จะย้ายมาอยู่ซอยหมอเหล็งในปัจจุบัน

นี่คงเป็น OTOP ยุคต้นๆ ที่โกอินเตอร์ ซึ่งเกิดก่อนที่รัฐบาลยุคปัจจุบันจะคิดขึ้นเสียอีก...

บางกอกดอลล์ "หัตถศิลป์" ทุกขั้นตอน

อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น ว่าบางกอกดอลล์เป็นตุ๊กตาเกิดจากหัตถศิลป์ล้วนๆ (สร้างด้วยมือทั้งหมด) การจะให้กำเนิดตุ๊กตาตัวหนึ่งจึงต้องอาศัยทั้งความชำนาญ เชี่ยวชาญ และความอดทนสูง เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้สมาธิมากไม่ต่างกับงานศิลปะประเภทอื่นๆ

แน่นอนว่าขั้นตอนนั้นมีมากและไม่ตายตัว คุณป้าล้วนทายาทคุณหญิงบอกเราว่าช่างคนหนึ่งอาจสามารถทำได้ทุกขั้นตอนการผลิตตุ๊กตาก็ได้ แต่บางคนก็อาจทำได้แค่บางขั้นตอน

ซึ่งเราได้ประจักษ์ เมื่อเดินเข้าไปดูห้องด้านหลังโต๊ะผู้จัดการ

คนหลายคนนั่งล้อมโต๊ะไม้ ถึงวันนี้หลายคนอยู่ตรงนี้เกิน 10 ปีแล้ว ซึ่งบางทีแม้ไม่ถามก็คงพอเดาอายุช่างเหล่านี้ได้จากริ้วรอยบนใบหน้าและเส้นผมที่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาว

จากสายตา การทำตุ๊กตาตัวหนึ่งของบางกอกดอลล์ถ้าให้เราเรียงร้อยเป็นขั้นตอนจะมีอยู่ 3 ส่วนใหญ่ๆ ขั้นแรกคือส่วนของฝ่าย เตรียมวัสดุ เพื่อประกอบเป็นตัวตุ๊กตา ตรงนี้จะมีการแบ่งหน้าที่ เช่น คนเตรียมผ้าจะสกรีนลายไทยบนผ้าตาดและผ้าต่วนแล้วส่งมาที่คนตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้านุ่ง ฯลฯ

"แล้วแต่ตัวละคร ถ้าเป็นตุ๊กตาโขนจะมีลวดลายมากหน่อยก็ใช้ผ้าตาด ตุ๊กตาชาวบ้านธรรมดาก็ไม่ต้องใช้ ผ้าที่ตกแต่งสวยงามมากเหมือนกับโขนจริงๆ" ป้าติ๋ม ผู้นั่งทำงานตรงนี้มากว่า 40 ปีบอก "เราทำเองหมด ยกเว้นผ้าที่ทอไม่ได้เท่านั้น ต้องสั่งซื้อ" หลังจากนี้ช่างก็จะเย็บเครื่องประดับลงบนเสื้อผ้าที่เป็นรูปร่างแล้ว เพื่อรอใส่บนตัวตุ๊กตา

ที่ ฝ่ายประดิษฐ์อวัยวะ ชายคนนั้นตัดผ้าและกระดาษเป็นสี่เหลี่ยมเท่าขนาดของแม่พิมพ์ วางผ้าขาวเนื้อหยาบไว้ล่างสุด จากนั้นเขาจึงวางกระดาษ ผ้าขาวเนื้อละเอียดและผ้าสีเนื้อทับลงไปเป็นชั้นตามลำดับแล้วทากาวระหว่างชั้นทิ้งจนหมาด แม่พิมพ์ถูกอุ่นให้ร้อนขึ้น เขากดผ้าลงบนพิมพ์ เกิดเป็นหน้าที่มีรอยยิ้มนิดๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมาแล้วตัดผ้าส่วนเกินออกอย่างชำนาญ ก่อนจะถูกนำมาหุ้มกับแกนพลาสติกและเย็บด้านหลังให้ติดกัน ผ้าดำถูกหยิบมาเย็บรอบศีรษะส่วนที่กะให้เป็นเส้นผม แล้วก็ยัดด้วยฟางก่อนจะเย็บเนาปิด หลังจากนั้นเขาส่งไปให้อีกคนเขียนคิ้ว ลูกตา ปาก

ลูกนัยน์ตาที่เพิ่งวาดขึ้นจากสีโปสเตอร์ที่เราเห็นนั้นเหมือนกับกำลังมองไปรอบๆ พร้อมรอยยิ้มทักทายแบบไทยๆ ...ตุ๊กตาอาจมีชีวิตนับตั้งแต่ตรงนี้

ถัดไปไม่ไกล คุณป้าคนหนึ่งกำลังจัดกลุ่มเส้นผมทำจากไหมดิบย้อมดำ ตัดตามชนิดตัวละครซึ่งต้องการ ความยาวเส้นผมต่างกัน เช่น ถ้าผมดัด ต้องตัดไหมให้มีขนาดยาวก่อนใช้ความร้อนทำให้เป็นม้วน หรือถ้าเป็นทรงรัดเกล้าก็ต้องตัดไหมให้สั้น

ด้านลำตัวนั้นเกิดจากการเอาฟางมัดแล้วเอาลวดพันให้คงรูป ส่วนแขนขานั้นเริ่มด้วยการวาดแบบบนผ้า ตัดออกมาแล้วเย็บด้วยจักร กลับด้านในออกไม่ให้เห็นตะเข็บ แล้วเอาฟางซึ่งถูกพันด้วยลวดแล้วใส่เป็นแกน แต่บางทีใช้แกนพลาสติกก็มี "เมื่อก่อนเราใช้ฟางจากเมืองนอกซึ่งมีลักษณะพิเศษคือไม่บาดผ้า ซื้อจากของเหลือที่เขาใช้กันกระแทกเวลาขนสินค้าไกลๆ สมัยก่อนซื้อตามร้านขายยาก็มีขาย" ป้าล้วนบอกเราถึงการเลือกใช้วัสดุ

เมื่อการประดิษฐ์วัสดุกันกระแทกเจริญขึ้น พลาสติกได้เข้ามาทำหน้าที่แทนฟางและเศษไม้ บางกอกดอลล์จึงปรับมาใช้ฟางข้าวไทยแทน แต่ก็พบปัญหาคือฟางของเรากรอบเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า "ฟางของเราคนละแบบกับของเขา เลยนำพลาสติกมาใช้บ้างในส่วนลำตัวสำหรับตัวละครที่มีท่าง่ายๆ ข้อเสียของฟางข้าวคือถ้านานไป ขนาดหุ่นจาก 12 นิ้วอาจหดลงได้ พลาสติกจะมีขนาดที่แน่นอนกว่าในการทำเป็นแกนลำตัว"

ดังนั้น ตุ๊กตาบางกอกดอลล์รุ่นหลัง ลำตัวจึงมีแกนเป็นพลาสติก แขนกับขานั้นยังคงใช้ฟางและลวดเพื่อการดัดท่าทางที่สวยงาม ยกเว้นตัวที่มีท่าพิสดารมากอย่างตุ๊กตาโขนตัวสำคัญช่างจะทำการอัดฟางแน่นมากๆ โดยไม่ใช้แกนพลาสติกเพื่อความสมจริงมากที่สุด

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นในส่วนของแขนขา เพราะแกนด้านในจะมีลวดอยู่ถึง 5 เส้นตามจำนวนนิ้วตุ๊กตาซึ่งถือว่าเป็นงานที่ละเอียดมาก เนื่องจากการใส่ลวดเช่นนี้ หมายถึงการคิดถึงขั้นดัดนิ้วและแขนขาที่จะออกมาอย่างสมจริงสมจังมากที่สุด

ฝ่ายสุดท้ายคือ ทำหัวโขนและชฎา "หัวโขนต้องได้ส่วน ยากที่ต้องทำสิ่งเล็กให้เหมือนของใหญ่ อย่างราชรถใช้สำหรับการยกทัพ คันหนึ่งราคาเป็นหมื่น ต้องแกะสลักได้สัดส่วนกับตุ๊กตา คนทำมาหลายรุ่น รุ่นอาจารย์ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว คนที่ทำหลังๆ ก็ยังมีฝีมือไม่เท่ารุ่นก่อน" อาจารย์อาภัสสร์เอ่ยถึงความยากลำบาก

"ชฎาเล็กๆ เราก็ทำด้วยมือทั้งหมด" ป้าล้วนกล่าวแล้วก็หยิบชฎาให้ดู "ลงรักปิดทอง แล้วติดกระจกเล็กๆ ให้แวววาว ใช้เวลานานมากกว่าจะเสร็จ นั่งจับจีบเป็นวันๆ..."

หลังจากชิ้นที่ส่วนในขั้นตอนแรกเสร็จ ก็เป็นการประกอบตุ๊กตาซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ฐานไม้ที่เจาะรูจะถูกนำมาหยอดกาว ปักขาตุ๊กตาซึ่งได้รับการประกอบกับลำตัวลงไป แล้วใส่หัว สอดแขนเย็บติดกับตัวให้แน่นอีกชั้นหนึ่ง บางตัวอาจมีการพอกสำลีเพิ่มบริเวณหน้าอกและสะโพกให้ดูผึ่งผาย ได้ส่วนสัด ก่อนนำมาแต่งตัวและดัดท่ารำ

"ตอนทำท่ารำสำคัญที่สุด ความจริงก็สำคัญเท่ากันหมด ผมรู้สึกเช่นนี้เพราะถ้าทำไม่ดีจะเหมือนฝรั่งรำไทย บางทีทำไปนานๆ ต้องกลับมาดูตำรา แม้แต่หน้าก็มีส่วนด้วย ชีวิตอยู่ที่หน้าและท่ารำ" อาจารย์อาภัสสร์กล่าว

หลายเดือนก่อนเราไปเยือนบางกอกดอลล์ ในห้องประกอบตุ๊กตาและได้พบหญิงชราคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ ดูการทำงานของคนประดิษฐ์ตุ๊กตาอย่างสงบ บางครั้งก็มีคำแนะนำให้กับผู้ลงมือประกอบตุ๊กตา

ครั้งนั้นเราพบว่าคุณหญิงทองก้อนแม้สุขภาพไม่ค่อยดีนักก็ลงมาตรวจงานอยู่เสมอ สังเกตได้จากเฝือกที่คอและนิ้วมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอย "ก้มดูงานแล้วต้องใช้แรงดัดลวด มันก็แบบนี้แหละ นิ้วก็ปูดหมด หมอเขาบอกว่าดัดพวกนี้มามากเกินไป" เป็นเสียงของคุณหญิงที่บอกถึงความทุ่มเทของเธอในอดีตได้ดี

บางกอกดอลล์กับความอยู่รอด

"ปรัชญาการประดิษฐ์ของเรามี 2 ข้อ 1.ให้มีชีวิตชีวาเหมือนคนจริง 2.ทำให้ถูกตามตำราของกรมศิลปากร" อาจารย์อาภัสสร์พูดถึงหัวใจสำคัญ ขณะที่เรามองไปยังตุ๊กตาหลายตัวซึ่งถือกำเนิดขึ้น

เกือบ 50 ปีแล้ว บางกอกดอลล์เป็นอย่างไรบ้าง"สมัยก่อนคุณหญิงจะลงมาตรวจด้วยตัวเอง" ป้าล้วนเล่า แต่เมื่อมีปัญหาสุขภาพช่วงหลายปีหลัง ลูกชายและผู้จัดการอย่างอาจารย์อาภัสสร์กับคุณป้าล้วนก็ดูแลแทนเป็นส่วนใหญ่

ถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าราคาเป็นอย่างไร "อย่างต่ำตัวละสี่ถึงห้าร้อยเพราะทำด้วยมือ ไม่ได้กำไรมากมายหรอก ทำเท่าทุน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนต่างประเทศมากกว่าคนไทย" ดังนั้นความอยู่รอดของกิจการหัตถศิลป์เล็กๆ แห่งนี้จึงขึ้นกับสถานการณ์โลกด้วย "โชคดีที่ไม่ได้เช่าที่ ไม่งั้นคงอยู่ไม่ได้" ป้าล้วนเล่า เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างไข้หวัดนก สึนามิ ที่นี่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงผลกระทบ

"ตุ๊กตาบางกอกดอลล์กับคนไทยและคนต่างประเทศเราสนับสนุนกันและกันจนอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ เรามีแรง เพราะมีคนสนับสนุน คนไทยมักซื้อตั้งโชว์ที่บ้าน หรือนักเรียนไทยซื้อไปฝากเพื่อนที่เมืองนอก ชาวต่างชาติจะมีกลุ่มที่เรียกว่า
Collector พวกนี้มีอายุครับ มีเครือข่ายทั่วโลก เขามาดู โดยเฉพาะเป็นงานทำด้วยมือเขาสนใจมาก โรงงานเล็กๆ ของเราเลยมีคนมาดู มาซื้อจนอยู่ได้ คนต่างชาติชอบชุดที่เรียกว่า Nativity Set อย่างเรื่องพระเยซู (ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นเยซูแบบไทยๆ) จะนิยมซื้อกันมากช่วงเทศกาล" อาจารย์อาภัสสร์กล่าว

"แต่ก็น่าคิดว่า ถ้าคนต่างประเทศไม่มาก็อาจอยู่ไม่ได้ เห็นจากเวลาเราวางขายตามห้าง คนซื้อส่วนมากเป็นชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ ลูกค้าไทยมักเป็นโรงเรียนซึ่งมีงบประมาณจำกัด...คนไทยไม่ซื้ออาจเพราะแพง หาดูที่อื่นได้ง่าย ไม่แปลกสำหรับคนไทย รำไทยไปดูตามที่เขาแก้บนก็ได้ แต่ต่างประเทศเขาอยากได้"

ต่อคำถามว่าทำไมไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทย อาจารย์บอกเราว่า "อาจเพราะเราไม่ค่อยเดินสาย เวลามีสื่อโทรศัพท์บอกให้ออกรายการเกมโชว์เราก็ไม่ถนัด สารคดีที่มาทำก็มีช่องทางจำกัด โทรทัศน์ก็ไม่ใช่ช่องใหญ่ แต่เราก็ถือว่าอยู่อย่างเล็กๆ ไม่เดือดร้อน"

"ทำเยอะก็ไม่รู้จะขายใคร ตอนหลังมีคนเลียนแบบ แต่คุณภาพก็สู้ไม่ได้ ยอมรับว่าบางคนเขาชอบของถูก...ผมว่ามันสะท้อนทัศนคติคนไทย ถ้ารัฐบาลหรือเจ้านายไม่ช่วยป่านนี้อาจหมดไปแล้ว อย่างช่าง 10 หมู่ก็ไม่สามารถทำเป็นธุรกิจได้ เราทำหัวโขนอันละ 6 พันบาท ถ้าเขาไม่รู้คุณค่าก็ไม่ซื้อ ตอนนี้คนทำงานศิลปะเก่าของไทยทุกอย่างโดนหมด เราอยู่ได้ก็เก่ง อยากให้รัฐบาลปลูกฝังกับเด็ก ให้เขาฟังเพลงไทย รำไทย แล้วทุกอย่างจะมาเอง ถามว่าทำไมลิเกไม่มีคนดู วัฒนธรรมต่างประเทศมันหลั่งไหลเข้ามา...เราจะอยู่ทำหน้าที่ตรงนี้ต่อไป คงได้แค่รักษา สร้างใหญ่ๆ ไม่ไหว แต่จะพยายามขยายตรงนี้ นี่ก็พยายามทำเว็บไซต์ให้ชาวต่างชาติและคนไทยรู้จักมากขึ้น" อาจารย์อาภัสสร์กล่าวทิ้งท้าย

*******

ปัจจุบัน "บางกอกดอลล์" นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตานานาชาติเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมฟรีตั้งแต่วันจันทร์-วันเสาร์ ตั้งแต่เวลาประมาณ 8.00-17.00 น.แล้ว ยังผลิตตุ๊กตาออกมาจำหน่ายจัดหมวดหมู่ได้ 6 ชุดคือ

1. Thai Nativity ชุดนี้จะเป็นตุ๊กตาประยุกต์ เช่น การกำเนิดพระเยซูที่ทำให้ตัวละครเป็นแบบไทยๆ
2. Thai Classical Dance Drama ชุดโขน ละคร
3. Hilltribes of Thailand ชุดชาวเขาเผ่าต่างๆ ของไทย
4. Thai People Through History การแต่งตัวของคนไทยยุคต่างๆ
5. Thai Country People ชีวิตชนบทของไทย ซึ่งจะเป็นการละเล่นพื้นบ้านต่างๆ
6. Cuddly Dolls ตุ๊กตาสำหรับเด็ก ซึ่งทำเป็นขนาดใหญ่สามารถกอดได้เช่นเดียวกับตุ๊กตาหมี

*ทำความรู้จักบางกอกดอลล์ได้ที่ www.bangkokdolls.com




















กำลังโหลดความคิดเห็น