คืบก็น้ำแข็ง....ศอกก็น้ำแข็ง...
เบื้องหน้าของเขาคือแผ่นพื้นหิมะขาวโพลนไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ท้องทะเลกลับกลายเป็นผืนน้ำแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนจะมีแต่ความหนาวเย็น แทบไม่น่าเชื่อว่าดินแดนหนาวเหน็บแห่งนี้จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดในโลกที่จะอาศัยอยู่ได้ ด้วยความหนาวที่โหดเหี้ยม และขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ลมพัดแรงที่สุดในโลก อุณหภูมิจุดเยือกแข็งสามารถเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นแผ่นผืนน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย
นี่คือ สภาพชีวิต ดร.วรณพ วิยกาญจน์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยไทยคนแรกที่ได้ไปขั้วโลกใต้หรือทวีปแอนตาร์กติก ได้รับคัดเลือกจากสถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)หลังจากที่เสนอหัวข้องานวิจัยไป 3 หัวข้อ พร้อมด้วยคุณสมบัติที่สื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นได้ดีเยี่ยม ดำน้ำได้ ทำให้เขาฝ่าด่านผู้สมัคร 14 คน ได้ไปทำวิจัยที่ขั้วโลกใต้ กับสถาบันวิจัยขั้วโลกใต้ของประเทศญี่ปุ่น (Japan National Institute of Polar Research - NIPR) ซึ่งเป็นองค์กรเจ้าภาพที่เขาจะต้องเข้าร่วมทีมวิจัยด้วย
แน่นอนเขาเป็นชาวต่างชาติคนเดียวในทีมวิจัยซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมดใน 64 คนที่เหลือ และภารกิจของวรณพไม่ใช่แค่ปักธงชาติไทยที่ขั้วโลกใต้ แต่เขาต้องไขความลับใต้แผ่นน้ำแข็ง ตามหัวข้อวิจัยที่เสนอไป
-มนุษย์เป็นส่วนเกิน-
วรณพออกเดินทางไปขั้วโลกใต้ประมาณเดือนธันวาคม 47 โดยเรือชิราเซ ขึ้นฝั่งทวีปแอนตาร์กติก วันที่ 18 ธ.ค.47 หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้นาน 2 เดือน กับภารกิจท้าทาย ไขความลับใต้แผ่นน้ำแข็ง วันนี้ คนไทยขั้วโลกใต้คนแรกกลับมาแล้ว
ความรู้สึกแรกของวรณพครั้งที่เหยียบแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ คือ "รู้สึกแปลกๆ วินาทีแรกที่เหยียบขั้วโลกใต้ ผมมองไปรอบๆมันขาวโพลนไปหมด มีแต่น้ำแข็ง บอกตัวเองว่า มาถึงแล้วนะขั้วโลกใต้ ของจริงเริ่มแล้วนะ แต่ที่ผมรู้สึกได้คือ มนุษย์เป็นส่วนเกินของขั้วโลกใต้"
วรณพขยายความว่า สิ่งมีชีวิตทั่วไปที่ทวีปแอนตาร์กติกนี้ ไม่ว่าจะเป็นปลา นกเพนกวิน แมวน้ำจะไม่ค่อยกลัวคน ซึ่งนั่นไม่ใช่มาจากสาเหตุว่าเพราะคุ้นกับมนุษย์ แต่เป็นเพราะ "ปกติสัตว์พวกนี้ไม่ค่อยเจอกับคนที่เข้าไปที่ขั้วโลกใต้ เวลาที่เราเข้าไปหามันก็จะไม่หนี ตรงกันข้ามมันกลับอยู่เฉยๆ เพราะเราเป็นส่วนเกินของมัน เราต่างหากที่เข้าไปรุกล้ำโลกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น"
ขณะที่ขั้วโลกเหนือมีลักษณะเป็นเกาะ และมีประเทศหรือแผ่นดินที่มีคนอยู่อาศัยยื่นเข้าไปใกล้ แต่แอนตาร์กติกเป็นทวีปที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แยกไกลจากแผ่นดินอื่น และเข้าถึงได้ยาก อากาศที่หนาวเหน็บทารุณมีน้ำแข็งปกคลุมตลอดปีทำให้ทวีปนี้ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย มันจึงเป็นดินแดนที่ยังบริสุทธิ์จากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ดึงดูดความสนใจนักวิทยาศาสตร์หลายสาขาให้เข้าไปศึกษาวิจัยสภาพธรรมชาติด้านต่างๆ
บริเวณที่วรณพและทีมนักวิจัยอยู่คือสถานีวิจัยโชวะของญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะพื้นที่ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร ก็จะมีคนอยู่แค่นั้น นอกเหนือจากนั้นคือท้องทะเลที่ส่วนใหญ่เป็นแผ่นน้ำแข็ง
"ช่วงที่ผมไปเป็นฤดูร้อน สิ่งมีชีวิตก็เริ่มกลับเข้ามา เริ่มมีอาหาร นกเพนกวิน แมวน้ำก็จะได้เห็น มีบ้างที่ถูกล่า แต่มันก็อยู่อย่างปกติ เราเข้าไปทำอะไร มันก็จะเข้ามาดู อย่างนกเพนกวินจะเป็นนกขี้สงสัย ก็จะเข้ามาดูว่าเราทำอะไร ผมถึงได้บอกว่า มนุษย์เป็นส่วนเกินที่ขั้วโลกใต้"
แอนตาร์กติกเป็นทวีปที่สูงที่สุดในโลก เพราะทั่วแผ่นดินปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งหนาเฉลี่ยถึง 2 กิโลเมตร ซึ่งเกิดจากหิมะที่ตกลงมาทับถมสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15 ซ.ม. อุณหภูมิที่ต่ำมากจึงทำให้หิมะเหล่านั้นไม่ละลาย เมื่อมีเศษละอองหรือวัตถุต่างๆ ปลิวตกลงบนพื้นน้ำแข็งในแต่ละช่วงเวลา ก็จะถูกหิมะตกทับถมไปเรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์ได้เจาะชั้นน้ำแข็งขึ้นมาวิเคราะห์ ทำให้มองเห็นสภาพและการเปลี่ยนแปลงของโลกในช่วงเวลาต่างๆ นับย้อนไปได้นับแสนปี
ความที่ขั้วโลกใต้ยังบริสุทธิ์ ปราศจากมนุษย์รบกวน นี่จึงเป็นเสน่ห์เย้ายวนใจให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเข้าไปทำวิจัยและทดลองมากมาย ร่วมทั้งศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ ที่สำคัญของโลก เช่นเรื่องภาวะเรือนกระจก การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ หรือศึกษาอุกกาบาตจากอวกาศที่ตกมาที่ขั้วโลกใต้ ปัจจุบันมีสถานีวิจัยของ 18 ประเทศตั้งอยู่ในทวีปที่โดดเดี่ยวห่างไกลแห่งนี้
-ชีวิตบนแผ่นน้ำแข็ง-
2 เดือนที่วรณพอยู่ที่ขั้วโลกใต้ อุณหภูมิของอากาศที่รู้กันดีว่าหนาวจับใจ เป็นเรื่องแรกที่เขาต้องปรับร่างกายให้สมดุล และเพื่อการเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตให้รอดท่ามกลางอากาศที่ทารุณ หนาวสุดขั้ว และลมแรงสุดขีด NIPR ส่งวรณพไปฝึกการใช้ชีวิตท่ามกลางอากาศที่เลวร้ายที่ภูเขาโนริกูระ ที่เมืองนากาโน ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเขาค่อนข้างกังวลกับการใช้ชีวิตในภูมิอากาศที่โหดเหี้ยมเช่นนั้น แต่เมื่อไปถึงขั้วโลกใต้ วรณพ พบว่า ผิดคาด
"ผมไปถึงช่วงที่เป็นฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 0-4 องศาเซลเซียส ความพิเศษของที่นี่คือ ในฤดูร้อนพระอาทิตย์ไม่ตก จึงสว่างตลอด 24 ชั่วโมง และแดดดี กระทั่งความร้อนจากแสงแดดบรรเทาความหนาวไปได้เยอะ ช่วยให้รู้สึกอบอุ่น การทำงานกลางแจ้งตลอด ถ้าวันไหนไม่มีลม ก็มีเหงื่อออก ผมรู้สึกว่าอยู่ได้สบายๆยังคิดว่า แค่นี้เองเหรอ"
แต่ไม่นานของจริงก็เริ่มขึ้น เมื่อปลายมกราคม ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว วรณพถึงได้รู้ว่า ความโหดเหี้ยมของอากาศที่แอนตาร์กติกเป็นอย่างไร บางวันมีหิมะตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง อากาศหนาวมาก วันที่ไม่มีแสงแดด อุณหภูมิติดลบถึง -7 องศาเซลเซียส ลมพัดแรงมาก จนห้ามออกนอกสถานีวิจัย เพราะความเร็วลมแรงมาก ขั้วโลกใต้นอกจากจะเป็นทวีปที่หนาวที่สุดแล้วยังเป็นทวีปที่ลมแรงที่สุดในโลกอีกด้วย คือ ประมาณ 96 เมตร/วินาที ซึ่งปกติเพียงแค่ลมแรงเกิน 70 เมตร/วินาที ก็ทำให้คนยืนไม่ติดพื้นแล้ว
ขณะที่เรื่องอาหารการกิน เมนูอาหารญี่ปุ่นกว่า 200 รายการที่มีให้เลือกโดยฝีมือจากพ่อครัวชาวญี่ปุ่น 2 คน จากกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของประเทศญี่ปุ่น จำนวนอาหารกว่า 40 ตันที่เตรียมไปเพื่อเลี้ยงชีวิตนักวิจัยตลอดทั้งปี ทั้งในส่วนของทีมวิจัยฤดูร้อน และทีมวิจัยฤดูหนาว ก็ทำให้ทุกคนอยู่ได้อย่างสบาย ขณะที่ที่พักอาศัย จะมีสถานีที่เป็นที่พักต่างหาก ห้องหนึ่งจะนอนกัน 4 คน มีพื้นที่ส่วนรวม และห้องครัวขนาดเล็ก สำหรับทำอะไรกินง่ายๆ
ดังนั้น ชีวิตบนแผ่นน้ำแข็งของวรณพ เขาจึงบอกว่า "ผมก็อยู่ได้สบายๆนะ อาหาร 3 มื้อ อาหารว่างต่างหาก มีผักสดกินได้ ไม่ถือว่าลำบากกับเรื่องอาหารการกิน ร่างกายปรับตัวได้ดี อาจเป็นเพราะความตึงเครียดกลัวงานไม่สำเร็จ ทำให้เราปรับตัวได้เร็ว รวมทั้งไปเจอในสภาพภูมิอากาศที่ดี ไม่ทารุณก่อน อากาศช่วยได้มาก ทำให้ปรับตัวได้เร็ว แต่หลังๆนี่ถือว่าอากาศทารุณมาก"
หน้าที่หลักของวรณพ คือ การทำงานวิจัยในส่วนของเขา และต้องช่วยสนับสนุนงานวิจัยของนักวิจัยอื่นๆด้วย
"พื้นที่วิจัยของผมจะอยู่รอบบริเวณสถานี ส่วนใหญ่เป็นชายฝั่ง ซึ่งทะเลเป็นน้ำแข็ง ส่วนนักวิจัยที่เน้นงานวิจัยด้านธรณี ก็จะวิจัยด้านแผ่นดินและชั้นหิน บางกลุ่มก็ศึกษาทางด้านทะเลสาบ สิ่งมีชีวิตในทะเลสาบ การเดินทางส่วนใหญ่ใช้เฮลิคอปเตอร์รับส่ง เพราะฤดูร้อนพื้นน้ำแข็งจะบาง"
และน้ำแข็งบางจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆจะเหยียบพลาดและตกหลุมทะเลได้ "ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญมาก เราต้องรู้ว่าพื้นน้ำแข็งบริเวณไหนเหยียบได้ ตรงไหนบาง เราจะรู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนที่เหยียบพลาด ผมคนหนึ่งที่เหยียบพลาด ตกหลุมทะเล ก็ถือเป็นประสบการณ์สนุก นักวิจัยเจอกันบ่อย"
การทำงานที่ขั้วโลกใต้ นักวิจัยจะต้องสลับหน้าที่ช่วยเหลือกัน คือเป็นทั้งนักวิจัยหลักในงานวิจัยของตัวเอง และเป็นนักวิจัยสนับสนุนในงานวิจัยของคนอื่น ดังนั้นการทำงานเป็นทีมจึงมีความสำคัญมาก
"เครียดเรื่องงานพอสมควร เพราะเราไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากคนอื่นค่อนข้างเยอะ เกิดความเครียดเพราะต้องทำงานให้เข้ากัน แผนปรับตลอดเวลา เราต้องพยายามหาคนมาช่วย จริงแล้วงานหลักคือ งานวิจัยในฤดูหนาว การวิจัยในฤดูร้อนถือเป็นงานรอง แต่ถ้างานในฤดูร้อนทำไม่สำเร็จ จะมีผลทำให้งานวิจัยในฤดูหนาวรวนได้ ดังนั้นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน"
ภารกิจในแต่ละวันของ วรณพคือ หลังจากทีมวิจัยประชุมเพื่อวางแผนงานในแต่ละวัน แก้ไขข้อผิดพลาดการทำงานในวันที่ผ่านมา วรณพจะเริ่มงานประมาณ 8 โมงเช้า ถึงห้าโมงเย็น งานภาคกลางวันส่วนใหญ่คือ เก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิต ดำน้ำลงไปใต้ทะเลโดยเจาะแผ่นน้ำแข็ง มือขวาคนสำคัญในงานนี้คือ หุ่นยนต์ดำน้ำไทยเอ็กซ์โพลล์ 1 ฝีมือของคณะวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หุ่นยนต์ตัวนี้จะสามารถดำน้ำได้ลึกสุด 50 เมตร และที่ระยะนี้จะมีรัศมีทำการ 25 เมตร ที่ตัวหุ่นจะติดตั้งกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวชนิดที่ใช้ถ่ายใต้น้ำ จะส่งสัญญาณภาพมาที่ฐานควบคุมทันทีแบบต่อเนื่อง ทั้งยังมีการติดตั้งมิเตอร์สำหรับวัดระดับความเค็ม ความเร็ว และอุณหภูมิของน้ำทะเลเพื่อใช้ประกอบการวิจัยด้วย
"ส่วนงานภาคกลางคืน คือ วิเคราะห์และจัดเก็บตัวอย่าง ผมทำจนถึงเที่ยงคืน จึงได้พัก ถือว่าเหนื่อยพอสมควร และแทบจะไม่มีเวลาว่างเลย กติกาของที่นี่คือ ทำงาน 10 วัน พัก 1 วัน ระบบติดต่อสื่อสารค่อนข้างดี ผมสามารถใช้อินเทอร์เน็ตติดต่อกับครอบครัวผมได้ในตอนกลางคืน"
-ไขความลับใต้แผ่นน้ำแข็ง-
หัวข้องานวิจัยที่วรณพเสนอ ซึ่งส่งผลให้เขาได้รับการคัดเลือกไปทำงานวิจัยที่แอน ตาร์กติกคือ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่ามวลชีวภาพของแพลงตอนพืชและปริมาณแสงในแต่ละระดับความลึก ความสัมพันธ์ระหว่างสาหร่ายขนาดใหญ่และสิ่งมีชีวิตหน้าดินบริเวณชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติก และการศึกษานิเวศวิทยาการกินอาหารของปลาในเขตขั้วโลก
สำหรับวรณพแล้ว ขั้วโลกใต้เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้วิชาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และระบบนิเวศวิทยาในทะเล ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เขาสนใจ ความบริสุทธิ์ของแผ่นดินทวีปแอนตาร์กติกที่ไม่เคยถูกรบกวนจากกิจกรรมเพื่อการดำรงชีพของมนุษย์ ประกอบกับน้ำแข็งที่ปกคลุมแผ่นดิน รวมทั้งแผ่นน้ำแข็งที่ล่องลอยอยู่ในทะเลรอบๆ ทวีป ทำให้สังคมของสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นใดในโลก
"งานวิจัยผม คือไขปริศนาใต้แผ่นน้ำแข็ง งานวิจัยจะศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไร มีการปรับตัวเพื่ออาศัยอยู่ในที่แตกต่างกันได้อย่างไร และมันพยายามรักษาระบบของตนเองได้อย่างไร ความรู้เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการมองเปรียบเทียบ เช่นถ้าระบบนิเวศที่ขั้วโลกใต้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีผลอะไรต่อโดยรวมหรือเปล่า เพราะระบบนิเวศของโลกเชื่อมต่อสัมพันธ์กันหมด ไม่ว่าที่ขั้วโลกใต้ ที่อื่น หรือประเทศไทย"
วรณพชี้ให้เห็นว่า งานวิจัยแต่ละชิ้น ต้องดูระยะยาว ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า "แต่ทำอย่างไรให้คงอยู่ไว้ อย่าลืมว่า เราใช้โลกใบเดียวกัน สิ่งแวดล้อมเป็นของทุกคน หากเราเอาแต่มุ่งกอบโกยของใครของมัน มันก็หายไป ไม่มีใครดูแล ดังนั้นต้องปลูกฝังตรงนี้ สำหรับผมถือว่า หลังจากกลับมาแล้ว การกลับมาต่อยอดงานวิจัยคือก้าวแรกของผมนะ การไปทำวิจัยที่ขั้วโลกใต้ ผมถือว่ายังเป็นศูนย์อยู่ ยังไม่ได้ก้าว แต่หลังจากนี้ ผมจะเริ่มก้าวแรกแล้ว"
วรณพ ออกจากขั้วโลกใต้เมื่อวันที่ 9 ก.พ.48 ขึ้นฝั่งที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย พักผ่อนที่ญี่ปุ่นกลับครอบครัว และกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อวันที่ 28 มี.ค.หลังจากนี้เขาบอกว่า งานวิจัยจะเป็นรูปร่าง และตั้งใจว่าประมาณ ก.ย.นี้ ผลวิจัยบางส่วนจะออกมา
ความคาดหวังของวรณพ คือ "ใจหนึ่งผมอยากกลับไปอีก แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้มีนักวิจัยไทยคนอื่นไปด้วย เพื่อที่เวลากลับมาจะได้มาสร้างอะไรร่วมกัน ให้มีหลายคนที่ได้เห็น การต่อยอดงานวิจัยสำคัญ และต้องทำร่วมกัน"
ขณะเดียวกัน เขาหวังว่าการได้ไปขั้วโลกใต้ จะช่วยกระตุ้นให้เยาวชนไทยหันมาสนใจวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากขึ้น
"ผมได้ไปถึงขั้วโลกใต้ อาจเป็นสิ่งดึงดูดในสายตาเด็กๆ แต่อีกมุมมองหนึ่ง ผมอยากให้พวกเขาย้อนกลับมาที่ตัวเอง ว่าการที่เราอยู่ในประเทศไทย ในสภาพแวดล้อมของเรา มีสิ่งมากมายที่เรามองข้ามไป อยากปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักสังเกตสิ่งเล็กๆ รอบตัวเขา ให้รู้ว่าสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันหมด แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราทำอะไรที่นี่ มันก็มีผลกับที่อื่นด้วย เพราะโลกเรามีอากาศมวลเดียวกัน ทะเลก็ต่อเชื่อมถึงกัน"
****
ดร.วรณพ วิยกาญจน์ เกิดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2506 ได้รับทุนจากรัฐบาลไทยไปศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย ที่ประเทศญี่ปุ่น ระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมการประมง ระดับปริญญาโทและเอกสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว(TOKYO UNIVERSITY OF FISHERIES) หลังเรียนจบกลับมารับราชการเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากงานสอนหนังสือลูกศิษย์แล้ว ภารกิจที่ ดร.วรณพ ทำอยู่เป็นประจำ คือเดินทางไปดำน้ำสำรวจระบบนิเวศใต้ทะเลทั่วประเทศไทย