หากความฝันสูงสุดของผู้หญิงไทยทุกยุคทุกสมัย คือการได้ครอบครองมงกุฎในฐานะผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ การมีโอกาสได้ขึ้นเวทีการประกวดความงามและพิชิตมงกุฎที่มอบให้แก่สาวงามที่คู่ควรที่สุดบนเวทีนั้น ทว่าแตกต่างกันตรงที่เวทีสำหรับพวกเขา... หรือเธอในกลุ่มหลังนั้น เป็นเวทีนางงาม 'สาวประเภทสอง'
ภาพความสำเร็จของผู้ชนะการประกวดที่สามารถคว้ามงกุฎ สายสะพาย อีกทั้งรางวัลต่างๆ ที่ตามมาอีกมากมาย ถูกเผยแพร่โดยสื่อมวลชนที่ให้ความสนใจไม่แพ้เวทีการประกวดของผู้หญิงแท้ๆ แต่ฉากหน้าที่ดูสวยงามนั้น ใครเลยจะรู้ว่าพวกเขาต้องแลกมาด้วยสิ่งใด เส้นทางสู่มงกุฎของสาวงามประเภทสองนั้นอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใครคิด
แม้ทุกวันนี้สังคมไทยจะเปิดโอกาสแก่กลุ่มคนที่จัดเป็นเพศ 'พิเศษ' มากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกลงไปใต้ผิวหน้าแห่งเสรีภาพนั้นถูกฉาบเคลือบไว้ด้วยอคติที่ยากจะขจัดออกไปได้ด้วยน้ำยาที่ชื่อว่าสิทธิมนุษยชน
เวทีการประกวดนางงามสาวประเภทสอง จึงเป็นดั่งบันไดที่จะช่วยให้กลุ่มคนเพศพิเศษเหล่านี้ก้าวไปสู่การยอมรับและมีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมชัดเจนขึ้น แทนที่จะหลบอยู่ในเงามืดเช่นในอดีต พวกเขากลับก้าวออกมาสู่แสงสว่างของสปอร์ตไลท์และแสงแฟลชที่วูบวาบของช่างภาพ
บนหนทางผืนพรมสีม่วง
ผู้หญิงเป็นหญิงด้วยร่างกายแต่กำเนิด แต่สำหรับสาวประเภทสอง ซึ่งถือกำเนิดเป็นชาย แต่ใจเป็นหญิง จึงต้องดั้นด้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งร่างกายแห่งความเป็นเพศหญิง อีกทั้งยังต้องกล้าเผชิญหน้าฟันฝ่ากับสังคมส่วนที่ยังไม่ยอมรับ
"พวกนี้อายุ 13-14 ก็เริ่มกินฮอร์โมนทั้งที่รู้ว่าอันตราย ยอมเจ็บตัวและเสียเงินเสียทองเพื่อผ่าตัดให้ตัวเองสวยขึ้นในทุกๆ ส่วนของร่างกาย ความสวยงามที่ท่านเห็นนั้น เบื้องหลังคือการต่อสู้ของคนคนนั้นมาตลอดชีวิตด้วยความยากลำบากและทุ่มเท แล้วหญิงแท้จะมาเทียบได้อย่างไร"
"สวยจริงๆ เลยค่ะ สวยกว่านางงามที่เป็นผู้หญิงแท้อีก"
คือบางเสียงจากเว็บบอร์ดในโลกไซเบอร์ เมื่อมีผู้เปรียบเทียบระหว่างนางงามสาวประเภทสองกับนางงามที่เป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่นอกจากเสียงชื่นชมก็ยังมีด้านตรงข้าม
"ดูสวยเพราะไปทำศัลยกรรมพลาสติกทั้งตัวน่ะสิ จะแต่งให้สวยยังไงก็สู้สวยธรรมชาติเหมือนผู้หญิงจริงๆ ไม่ได้หรอก" ฯลฯ
หลากแรงเสียดทานที่พวกเขาที่กลายเป็นเธอต้องทนรับ คือบทพิสูจน์แรกที่สาวประเภทสองต้องเผชิญ เมื่อคิดจะก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ลาดปูด้วยพรมสีม่วง
'ติงลี่'
หญิงสาวร่างเพรียวระหงในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีเขียวและกางเกงห้าส่วนทันสมัย ก้าวเข้ามาในร้านกาแฟละแวกถนนพระอาทิตย์อันเป็นสถานที่นัดเจอของเรา ทรงผมสั้นดัดอ่อนๆ ตามสมัยนิยม ใบหน้าคมหวานถูกแต่งแต้มบางๆ ดูเป็นธรรมชาติ
แวบแรกที่เห็น… เป็นใครก็ยากที่จะเชื่อว่าเธอคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิง
ติงลี่ หรือ ภาณุพงศ์ ทองคำ ตามบัตรประจำตัวประชาชน แนะนำตัวกับเราโดยแทนตัวเองว่า 'ลี่' ด้วยท่าทีสบายๆ สวย… และไร้จริตที่ถูกปรุงแต่งจนเกินงามอย่างที่มักเห็นในหมู่สาวประเภทสองบางคน
ติงลี่เป็นคนจังหวัดสงขลา เส้นทางสู่เวทีนางงามของลี่เริ่มต้นเมื่อเธอเรียนอยู่ชั้น ม.2 จากการชักนำของรุ่นพี่สาวประเภทสองในโรงเรียน จากนั้น เมื่อมีแมวมองผู้เป็นพี่เลี้ยงนางงาม (ซึ่งส่วนมากเป็นช่างแต่งหน้าทำผม และมักเป็นเกย์มากกว่าสาวประเภทสอง) มาเห็นแววของเธอ ลี่ก็เข้าสู่แวดวงการประกวดความงามของสาวประเภทสองเต็มตัว
"ตอนแรกลี่ส่งตัวเองเข้าประกวดนะ (หัวเราะ) แต่ก็มีพี่เลี้ยงมาเห็นว่าเออ เด็กคนนี้หน่วยก้านดี น่าจะไปได้ไกล เขาจะแทนตัวเองว่า 'แม่' ว่าสนใจไหมเดี๋ยวแม่ส่งประกวด เขาก็จะเริ่มเรียกเข้าค่าย... มันจะมีเป็นค่ายนะ ในแต่ละยุคก็จะมีค่ายดังๆ ผลัดกันไป บางค่ายจะมีนางงามดังมากๆ จะสวยทุกคน คือไปที่ไหนก็ไม่เคยพลาดตำแหน่ง"
จึงไม่แปลกที่เวลาลี่ไปประกวดเวทีสาวประเภทสองที่ไหน ก็มักจะเจอแต่นางงามที่คุ้นหน้า
"มีนางงามเดินสายเหมือนการประกวดนางงามทั่วไปล่ะค่ะ จะรู้กันในแวดวง กลุ่มของสาวประเภทสองก็ไม่ใช่กลุ่มที่ใหญ่อะไรมากมาย คือที่ประกวดด้วยกันจะรู้จักกันเกือบหมด พอแบบว่ามีงานก็จะโทร.หากันว่าไปหรือเปล่า พี่เลี้ยงที่ส่งเข้าประกวดเขาก็จะบอกว่าวันนี้มีงานนะ มาได้ไหม นัดแต่งหน้าทำผม ลี่ขึ้นหมดทุกเวทีนะ ไม่ได้เลือกว่าต้องเป็นเวทีอำเภอหรือว่าจังหวัด บางทีพี่เลี้ยงพาไปเราไม่รู้จักก็มี บางที่แบบว่าเข้าไปไกลมาก ลึกมาก เราก็โอ๊ย.. เขายังมีประกวดกันอยู่เหรอนี่ บางทีเวทีอยู่ในซอกเขาอะไรก็ไม่รู้ คือพี่เลี้ยงเขาจะเป็นคนที่เก่งในการหางานประกวดมากๆ"
ส่วนแบ่งเงินรางวัล 50-50 จึงเป็นอัตราที่ยุติธรรมสำหรับลี่แล้ว เพราะเธอถือว่าไม่ต้องลงทุนอะไร ทางพี่เลี้ยงจะเตรียมชุดและแต่งหน้าทำผมให้ทั้งหมด แต่ลี่ยืนยันว่าเธอไม่นิยมวิ่งรอกประกวด มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เธอประกวดในงานปีใหม่ที่อำเภอแห่งหนึ่งเสร็จตอนเที่ยงคืน พอตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นมาแต่งหน้าทำผมไปขึ้นเครื่องบินในชุดเต็มยศเพื่อไปประกวดอีกเวทีหนึ่งที่ภูเก็ต ส่วนการเตรียมตัวในการขึ้นเวทีประกวด ลี่บอกว่าจะเน้นที่การเดินให้สง่า และฝึกเตรียมตอบคำถาม
จากเวทีแรกในชีวิตซึ่งเป็นเวทีเล็กๆ ระดับอำเภอในต่างจังหวัด ถึงวันนี้ลี่ผ่านมาแล้วกว่า 20 เวที รวมทั้งเวทีใหญ่ๆ อย่างมิสทิฟฟานี่และมิสอัลคาร์ซ่า เธอก็เคยผ่านเข้ารอบ 10 คนมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ ลี่กลับเว้นการประกวดความงามของสาวประเภทสองมาพักใหญ่ สาเหตุที่ร้างเวทีก็เนื่องมาจากความเบื่อการประกวดที่เธอทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่มหัวเกรียน ค่อยไต่เต้าเข้ารอบลึกมาเรื่อยๆ กระทั่งช่วงหลังนี้ลี่กวาดรางวัลที่ 1 แทบทุกเวที
ดังนั้น เมื่อลี่สอบเอนทรานซ์ติดคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบพัสตราภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลี่จึงพักไปทุ่มเทให้การเรียนในสาขาที่เธอชื่นชอบและถนัดอย่างเต็มที่ ความเป็นเด็กเรียนดีมาตลอดทำให้ทางครอบครัวของลี่ไม่กังวลในเส้นทางที่เธอเลือกเดินมากนัก
"ครอบครัวลี่ไม่ได้สนับสนุนหรอกค่ะ เขายอมรับมากกว่า ให้เราตัดสินใจทำอะไรก็ได้ ขออย่างเดียวคืออย่าไปทำอะไรที่มันไม่ดี ที่มันส่งผลเสียต่อตัวเราและสังคมก็พอแล้ว แม่บอกว่าเป็นคนดีก็พอแล้ว เป็นอะไรก็เป็นเหอะ ไม่ห้าม ที่บ้านลี่เปิดกว้างมาก"
"ลี่ไม่ได้มองว่าการประสบความสำเร็จคือการประกวดแล้วได้ตำแหน่ง การประสบความสำเร็จของเราก็คือ มองในเรื่องประสบการณ์และความอิ่มตัวของเรามากกว่า ว่าเราแค่นี้ พอใจแล้ว บางคนไม่เคยประกวดมาก่อนเลย ไม่เคยขึ้นเวทีเล็กๆ เลย แล้วมาขึ้นเวทีทิฟฟานี่เป็นเวทีแรกเขาก็ประสบความสำเร็จก็มี เขาเปิดสำหรับทุกคน ไม่จำเป็นต้องศัลยกรรมแล้วก็ได้"
ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นานพอที่จะทำให้ติงลี่หนุ่มน้อยหน้ามนกลายมาเป็นสาวสวยหุ่นดี เส้นสายที่โค้งเว้านุ่มนวลบนเรือนร่างแบบบาง ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่านี่คือคนที่เคยมีสรีระอย่างชายมาก่อน แต่ลี่ก็รู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไร การมีคำนำหน้าชื่อที่ขัดกับสภาพร่างกายและจิตใจของเธอนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตของเธอเองไม่มากก็น้อย
"ถ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ การประกวดแล้วได้ตำแหน่งอาจจะมีส่วนในการทำงาน แต่สำหรับสาวประเภทสองแทบไม่มีเลย ขึ้นอยู่กับความสามารถล้วนๆ ตรงๆ เลย เวลาไปสมัครงานเขาเห็นเราเป็นอย่างนี้บางที่เขาก็ไม่อยากจะรับเรา บางที่เขาจะมองสาวประเภทสองในแง่ลบ ลี่คิดว่าในแง่การทำงานเขายังไม่ยอมรับเราเท่าไหร่ ยังมีอคติอยู่ มันมองแล้วไม่ยุติธรรม บางคนเรียนมาสูงก็ไม่มีโอกาสทำงานที่ตัวเองเรียนมา มันอยู่ที่โอกาสด้วย เขายังไม่ให้โอกาสเราเท่าที่ควร อยากให้มองเราที่ความสามารถมากกว่ามองเราในสิ่งที่เราเป็น" ติงลี่กล่าวในฐานะสาวประเภทสองที่ถูกสังคมเลือกปฏิบัติผู้หนึ่ง
'ทิฟฟานี่' เวทีในฝันสาวประเภทสอง
"กิจกรรมการประกวดสาวประเภทสองที่ผ่านมา มิได้มีจุดประสงค์ เพื่อให้เยาวชนลอกเลียนแบบพฤติกรรมของสาวประเภทสองแต่อย่างใด ตรงกันข้าม บริษัทฯ หวังอยากจะให้สังคมไทยยอมรับสาวประเภทสอง และเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ได้แสดงออกถึงความสามารถที่มีอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง" นั่นเป็นคำประกาศของบริษัท ทิฟฟานี่โชว์ พัทยา จำกัด
คืนวันที่ 7 พฤษภาคม 2548 ณ อาคารโรงละคร ทิฟฟานี่โชว์ พัทยา
สิ้นเสียงประกาศของพิธีกรการประกวด MISS TIFFANY'S UNIVERSE 2005 หนึ่งในสาวงามสองคนบนเวทีก็กลายเป็น "ผู้ชายที่สวยที่สุดในประเทศไทย" ไปในทันที
นอกจากความงามแล้ว ความสามารถก็เป็นสิ่งที่คณะกรรมการให้ความสำคัญ เวทีนี้จึงไม่จำกัดว่าจะเป็นสาวประเภทสองที่แปลงเพศมาเรียบร้อยแล้ว คนที่ยังผมสั้นไร้หน้าอกก็สามารถมาประกวดได้เช่นกัน
โดยปีนี้ ผู้ที่สามารถคว้ามงกุฎมาครองได้คือ นายปริพัทร รักสันติศานติ หรือชื่อที่ใช้ในการประกวดคือ ทิพย์ฑัณตรี รุจิรานนท์ หรือน้องน้อยหน่า คว้าตำแหน่งมิสทิฟฟานี่ไปครอง และรองอันดับ 1 ที่สวยไม่แพ้กันคือ น้องเตเต้ ซึ่งเราก็มีโอกาสได้สัมภาษณ์เตเต้ถึงเส้นทางสู่เวทีนางงามของเธอ
เขาว่าหนูเป็น 'นางงามอิมพอร์ต'
ในสายตาผู้ชมการประกวดในคืนนั้น คนดูต่างยอมรับว่าผู้เข้าประกวดแต่ละคนล้วนมีความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หนึ่งในผู้เข้าประกวดที่โดดเด่นคือ หมายเลข 31 'น้องเตเต้'
เตเต้ ใช้ชื่อในการประกวดว่า พีรญา ส่วนชื่อจริงของเธอคือ นายธเนศ ฟังแล้วช่างขัดกับใบหน้าที่สวยหวานคล้ายดาราสาวในวงการบันเทิงคนหนึ่ง
จากผู้เข้าสมัครนับร้อย จนคัดเหลือในรอบคัดเลือกเพียง 32 คน และ 10 คนในรอบตัดสิน เตเต้สามารถฟันฝ่าเข้ามาจนถึงนาทีชิงมงกุฎ ซึ่งแม้จะพลาดตำแหน่งมิสทิฟฟานี่ไปอย่างน่าเสียดาย แต่การเข้าประกวดครั้งนี้ก็ถือเป็นการผ่านบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ
ก่อนหน้านี้เตเต้กำลังศึกษาด้าน Textile Design ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย แต่เนื่องจากปัญหาทางบ้าน เตเต้จึงดรอปเรียนชั่วคราว ช่วงที่กลับมาเมืองไทยเธอจึงตัดสินใจเข้าประกวดในเวทีมิสทิฟฟานี่ตามคำชักชวนของเพื่อน
"เพื่อนสนิทที่รู้จักที่เมลเบิร์นที่เป็นสาวประเภทสองเหมือนกัน เขาอยากจะประกวดมาก แล้วทีนี้พอมาเจอเราเขาก็ชวนเราเข้าประกวดด้วย ตั้งแต่กลับมาจากเมลเบิร์นก็มีแต่คนทักว่าทำไมไม่ขึ้นประกวดๆ ทักกันเยอะจนที่บ้านเขาบอกว่าเนี่ยขึ้นประกวดสักหน่อยสิ พอเพื่อนชวนประกวดแล้วเราก็อยู่ว่างๆ ก็เลยไปสมัคร"
เตเต้เองก็เหมือนสาวประเภทสองของไทยทั่วไปที่รู้จักชื่อเสียงของเวทีมิสทิฟฟานี่เป็นอย่างดี แต่เธอก็ยังไม่มีความคิดที่จะเข้าประกวด เวทีนี้จึงเป็นเวทีการประกวดความงามแรกของเธอ
"รู้จักมิสทิฟฟานี่มานานแล้วนะคะ ก็ติดตามมาตั้งแต่รุ่นก่อนๆ โน้นที่เขาประกวด ดูแล้วก็สวยดี แต่คือเราก็เฉยๆ เรายังไม่ได้กระตือรือร้นที่จะประกวดเท่าไร"
เหตุผลก็คือ ณ เวลานั้น เธอไม่รู้ว่าจะทนต่อแรงกดดันและสายตาของคนรอบข้างได้แค่ไหน
"ช่วงนั้นเรามีแฟน เวลาเราเดินกับแฟนเราก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่า เอ๊... เราเป็นสาวประเภทสอง คือจะกลายเป็นจุดเด่นไป แต่พอมาประกวดแล้วก็รู้สึกดี เป็นประสบการณ์หนึ่งที่เราได้รับ อีกอย่างหนึ่งก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจว่า โอเคต่อไปนี้นะ ถ้าเราไปไหนเขาก็ต้องรู้แล้วว่าเราเป็นสาวประเภทสอง แล้วก็ผู้ชายที่จะเข้ามาในชีวิต เขาก็จะต้องรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเออเราเป็นอย่างนี้นะ"
เมื่อถามถึงการเตรียมตัวก่อนเข้าสมัคร เตเต้บอกว่าเธอโชคดีที่ไม่ต้องลงทุนเข้าคอร์สเสริมความงามอะไรมาก เพราะเป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้ว
"ส่วนมากก็จะขัดผิวอยู่ที่บ้าน ส่วนเรื่องผิวหน้าก็ดูแลมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนประกวดก็จะดูแลเรื่อยมา หาหมอทำเลเซอร์อะไรอย่างนี้ ขัดผิวก็ทำเป็นกิจวัตรมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องมาดูแลเป็นพิเศษเพิ่มขึ้น"
ส่วนเรื่องการตอบคำถามนั้น เตเต้บอกว่าการเป็นตัวของตัวเองเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
"เราก็เอาเทปของปีก่อนๆ มาเปิดฟังว่าเขาถามตอบกันยังไง แต่คือไม่ได้มานั่งเตรียมคำถามคำตอบ ณ เวลานั้นเราก็ตอบสดๆ เลย คือรู้สึกตัวเองไม่ได้กลัวคำถามที่จะถามมา ยังไงๆ เราคิดว่าเราเอาตัวรอดได้กับคำถาม"
กรณีของเตเต้นั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากนางงามสาวประเภทสองคนอื่นๆ ที่มักมีพี่เลี้ยงหรือค่ายนางงามส่งประกวดและคอยสนับสนุน แต่เตเต้นอกจากเพื่อนที่เข้าประกวดด้วยกันแล้ว ก็มีกลุ่มเพื่อนสาวประเภทสองในเมืองไทยคอยให้คำแนะนำ จึงถือได้ว่าเธอส่งตัวเองเข้าประกวด ทั้งช่างแต่งหน้า ทำผม เตเต้จะจ้างมาเองโดยเฉพาะ
"เราก็คุยๆ กันกับเพื่อนว่ารู้จักร้านไหนที่จะไปยืมชุดใส่ประกวดได้ ส่วนเรื่องทุนทรัพย์เราก็พอมีที่จะส่งตัวเองพอที่จะไปสมัคร ค่าสมัครก็ 3,500 บาท อยู่ที่ว่าเราจะไปยืมชุด เช่าชุด หรือว่าเราจะไปตัดชุด ถ้าตัดชุดตัดเย็บดีๆ แบบว่าปักเลื่อม ก็คงไม่ต่ำกว่าหมื่น ถ้าเราไปเช่าตามร้านก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 3,000 บาท ถ้าบางคนมีพี่เลี้ยงหรือแบ็กอัพที่ดีๆ รู้จักคนกว้างขวาง ตัวผู้เข้าประกวดก็ไม่ต้องดิ้นรนหาช่างแต่งหน้า หาช่างทำผม หาว่าจะไปยืมเสื้อยืมชุดที่ไหน โดยมากผู้สมัครอื่นๆ เขาจะมีพี่เลี้ยงคอยแต่งหน้าทำผมให้ อย่างบางคนถ้าเขาเคยผ่านเวทีประกวดอื่นๆ มา เขาก็จะรู้ว่าเด็กของเขาควรแต่งหน้าทำผมลักษณะไหน แต่ของเตเต้คือเป็นเวทีแรก แต่ก็ยังมีเพื่อนที่ทำงานแวดวงแฟชั่น สไตลิสต์ ก็ยังแบบว่าช่วยดูๆ ให้ได้"
อาจเพราะความใหม่ต่อเวทีประกวดนี้เอง ที่ทำให้คณะกรรมการตัดสินให้เธอได้ตำแหน่ง นอกเหนือจากพิจารณาที่ความงามและความสามารถ
"อาจเพราะว่าเราดูสด แล้วเราดูฉีกจากคนอื่น ลุคเราเวลาอยู่บนเวทีมันดูต่างจากคนอื่น ลักษณะการตอบคำถาม ลักษณะการเดิน มันไม่ได้ดูเป็นนางงามเสียทีเดียว ผู้เข้าสมัครคนอื่นบางคนเขาก็เข้าประกวด 2-3 ครั้ง หรือบางคนก็ไปประกวดเวทีนั้นเวทีนี้มาเหมือนกับว่าเตรียมความพร้อมก่อนจะขึ้นเวทีใหญ่ แต่เราไม่ต้องมานั่งคอยเกร็งว่าพี่เลี้ยงเรามองอยู่นะ เราก็เป็นตัวของตัวเองไปโดยธรรมชาติ แต่ตอนนั้นก็กังวลอยู่บ้างว่าเราไม่มีแบ็กที่ใหญ่ๆ ดีๆ แล้วเราจะเป็นที่จับตามองได้มากแค่ไหน อย่างที่วันแรกเขาประกาศตัวเก็ง 3 คน เราก็ไม่ได้อยู่ในสามคนนั้น แต่พอลงเวทีไปก็มีเสียงพูดว่าเออเบอร์นี้โดดเด่นมากเลยนะ อาจจะได้เข้ารอบถึง 3 คนสุดท้าย ก็มีคนพูดมาบ้าง ก็โอเคเราไม่ได้ซีเรียส เพราะเราไม่ได้มาด้วยความมุ่งหวังว่าจะเอาให้ได้ ก็แค่สนุกและเต็มที่กับมันไป"
ดังนั้น จึงมีเสียงพูดถึงความเป็น 'นางงามอิมพอร์ต' ของเตเต้พอสมควร แต่บางครั้งก็ในความหมายทำนองไม่น่าฟังนัก
"ก็มีเสียงพูดๆ กันว่า โห! เป็นนางงามอิมพอร์ตจากออสเตรเลียเชียวเหรอ แต่ส่วนมากเขาก็จะมองสาวประเภทสองว่า อ๊ะ... มาจากออสเตรเลีย ไปเรียนจริงหรือเปล่า หรือว่าไปขาย... เขาก็จะมองในแง่นั้นไป"
ถามถึงความประทับใจที่ได้รับจากการประกวด เตเต้บอกว่าเธอประทับใจช่วงที่เก็บตัวที่สุด
"เราเก็บตัวที่พัทยา แล้วเราเป็นสาวประเภทสองกันทั้งหมด เราจะมีประสบการณ์ มีวิถีชีวิตที่คล้ายๆ กัน การใช้ชีวิตตั้งแต่เด็ก คือเราจะคุยกันรู้เรื่อง วันแรกก็อาจจะยังๆ มองหน้ากันอยู่ แต่พอวันที่สองก็เหมือนกับสนิทกันได้รวดเร็ว สนิทกันได้กับทุกคน ไม่มีบรรยากาศของการแข่งขันกันอยู่"
หลังจากได้ตำแหน่ง ช่วงนี้เตเต้ก็ร่วมทำกิจกรรมกับทางบริษัททิฟฟานี่ ส่วนงานในวงการบันเทิงนั้นหากมีติดต่อเข้ามาเธอก็คาดว่าจะลองชิมลางดูว่าจะสามารถทำได้ดีขนาดไหน เตเต้ยอมรับว่าเวทีการประกวดมิสทิฟฟานี่แห่งนี้คือบันไดแห่งโอกาสสำหรับสาวประเภทสองอย่างพวกเธอ
"อยากให้มองว่าสาวประเภทสองก็คือคนปกติธรรมดา อย่าเอากฎเกณฑ์สังคมมาเป็นข้อวัดหรือข้อตัดสินว่า อันนี้ที่เขาทำน่ะมันผิดหรือถูก ไม่มีใครตัดสินใครได้" เตเต้ฝากทิ้งท้าย