หากภาพคุ้นตาที่ "คนจนวกวนเล่นหวย" แห่ไปขอเลขเด็ดจากอาจารย์ ต้นไม้ และสัตว์สองหัวตามที่ต่างๆ เป็นเรื่องชินตาของสังคมไทยที่ยังมีความเชื่อเรื่องของไสยศาสตร์อยู่มากแล้ว
เรื่องต่อจากนี้ไปก็อาจเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยชินตาสำหรับคนทั่วไปเท่าใดนัก เพราะเป็นเรื่องของ "คนรวยๆ เขาไปเล่นหุ้น" ที่สนใจเรื่องเหล่านี้ไม่น้อยไปกว่าคนจนหรือคนที่นิยมเสี่ยงโชคด้วยวิธีอื่นแต่อย่างใด
แต่ที่ต่างไปคือ เขาไม่ได้ขูดต้นไม้หาเลขเด็ด หรือดูป้ายทะเบียนคนดัง แต่กลับอาศัยศาสตร์ที่ค่อนข้างเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมาคือ "โหราศาสตร์" ซึ่งคนทั่วไปมองว่าวิชานี้มีขอบเขตแค่ทำนายชะตาชีวิตและบ้านเมืองได้เท่านั้น
ต่างแต่คราวนี้โหราจารย์ไม่ได้ให้เลขเด็ด เป็นแต่บอกแนวโน้มบางอย่าง...
เรื่องของหุ้น
" วานนี้ดัชนียังคงทรุดตัวลงต่อ มาปิดที่ 662.13 จุด ลบ 2.34 จุด ด้วยวอลุ่มการซื้อขาย 14,021 ล้านบาท หลังจากวันก่อนปรับตัวลงอย่างหนักหลุดแนวรับใหญ่บริเวณ 670 จุด"
(เกาะติดตลาดหุ้น ผู้จัดการรายวัน 27 เม.ย. 48)
"กิตติรัตน์ เตือนสติผู้บริหาร บลจ. ที่ขนหุ้นออกมาขายดักล่วงหน้าก่อนประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ไม่ควรตื่นตระหนกการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เชื่อไม่เหมือนเหตุการณ์ในอดีตปี 38-39 ขณะที่ดัชนีหุ้นวานนี้ยังซึมต่อ ลดลงกว่า 2 จุด กังวลขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1 พันล้านบาท และกำไร TPC หด สถาบันขายต่ออีก 320 ล้าน ตปท.ขาย 771 ล้าน ส่วนรายย่อยช้อนซื้อ 1 พันกว่าล้าน บล.บัวหลวง ปรับเป้าดัชนีปีนี้จาก 770 เหลือ 730-750 จุด หลังตลาดได้รับผลกระทบจากน้ำมันแพง-ดอกเบี้ยขาขึ้น-ก่อการร้าย"
(พาดหัว "ผู้จัดการรายวัน" หน้า Investment 27 เม.ย. 48)
พาดหัวข่าวข้างต้นใช้ภาษาธุรกิจอันคุ้นชินสำหรับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ให้ความรู้สึกไกลตัวคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเล่นหุ้นแต่อ่านเจอข้อความเหล่านี้แต่อย่างใด
และที่เรายกข้อความดังกล่าว ก็เพราะมันมีสิ่งบ่งบอกถึงปัจจัยและเรื่องราวบางอย่างที่เกิดในแต่ละวันของการซื้อขาย "หุ้น" ได้ดี
สิ่งที่เรียกว่า "หุ้น" ในโลกทุนนิยม หากให้เท้าความคงต้องย้อนไปห้าร้อยสี่สิบกว่าปีก่อนในแดนผู้ดี พ.ศ. 2350 ซึ่งตรงกับสยามช่วงก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ราว 25 ปี (ข้อมูลพื้นฐานจาก วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ . "หุ้น" ใบเบิกทางเศรษฐีและยาจกในเกมเงินตรา นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 54 ปีที่ 5)
โดยทั่วไป คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า "หุ้นส่วน" ในชีวิตประจำวันมาบ้างแล้ว พูดภาษาชาวบ้านคือการที่คนกลุ่มหนึ่งนำเงินมาร่วมลงทุนในกิจการอย่างหนึ่งนั่นเอง (Primary Market) และเมื่อร่วมกันประกอบกิจการ ก็เกิดความคิดว่าควรมีเอกสารรับรองสิทธิตามสัดส่วนของแต่ละคนที่ลงทุน ซึ่งเป็นที่มาของ "ใบหุ้น"
เมื่อกิจการเติบโตมากขึ้น การแข่งขันที่มากขึ้น แต่ละบริษัทต้องการเงินทุนมาขยายกิจการ เงินที่เข้ามาร่วมลงทุนขยายออกไป เริ่มมีคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดมาร่วมมากขึ้น ขณะเดียวกันคนที่มีหุ้นอยู่ก่อนก็อยากเปลี่ยนหุ้นตัวเองเป็นเงินสด สำหรับคนนอกที่มีเงินก็สนใจจะเข้ามาร่วมกิจการ จึงเกิดการซื้อขายหุ้นกัน
เมื่อเกิดกรณีแบบนี้หลายแห่งเข้า เหล่านายหน้าที่คอยจัดการซื้อขายหุ้น (ปัจจุบันน่าจะเทียบเท่าโบรกเกอร์) เลยตั้งตลาดหุ้นครั้งแรกในลอนดอน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็ได้กลายเป็นแหล่งระดมทุนเข้าไปทุกขณะสำหรับเจ้าของกิจการที่คิดหาเงินเพิ่ม ซึ่งง่ายดายเพียงจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์และนำหุ้นทำการซื้อขาย และคนซื้อหุ้นก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิได้รับเงินปันผลโดยอัตโนมัติ ทั้งยังได้สิทธิพิเศษกรณีบริษัทนั้นออกหุ้นใหม่ๆ
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ถึงกับบันทึกในสารคดีเรื่องหุ้นของเขาว่า "คนอังกฤษที่เป็นผู้จุดประกายความคิดเรื่องตลาดหุ้นนับว่าเป็นอัจฉริยะโดยแท้ สามารถหาทางเอาเงินของชาวบ้านมาให้บรรดานายทุนได้ลงทุนต่อไปโดยที่ชาวบ้านก็ไม่เดือดร้อน แถมยังได้สิทธิและผลประโยชน์อีกหลายประการ.."
ปัจจุบันตลาดหุ้นบ้านเรามีอายุได้ 30 ปีแล้วนับจากเปิดทำการเมื่อเดือนเมษายน 2518 (ตรงนี้มีข้อมูลขัดแย้งกันสองทางคือ 1. บอกว่าเปิดทำการ 16 เมษายน 2518 ขณะที่ข้อมูลจากอีกส่วนบอกว่าเปิดทำการ 30 เมษายน 2518) โดยก่อนหน้านั้นมีการจัดตั้ง "ตลาดหุ้นกรุงเทพ" ในปี 2505 แต่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก
ไม่ใช่บริษัทใดก็ได้ที่จะเข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้น เพราะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งรับผิดชอบการจดทะเบียนบริษัทที่จะเข้ามาซื้อขายนั้นมีเงื่อนไขมากมายเช่น ความมั่นคง แนวโน้มความก้าวหน้าของกิจการ งบดุล บัญชี ที่ต้องทำการเปิดเผย ฯลฯ ก่อนตัดสินใจอนุญาตให้เข้ามาทำการ "เทรด" ต่อไป
หากหันหลับไปมองอดีตและย้อนดูปัจจุบัน ขั้นตอนเล่นหุ้นในปัจจุบันไม่ได้ต่างจากอดีตมาก สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเรื่องของเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงมูลค่าซื้อขายแต่ละวันที่เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลานั่นเอง (โดยเฉลี่ยปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันในระดับหลายพันล้านบาทจนถึงหมื่นล้านบาท)
ถ้าใครช่างสังเกตเวลาดูข่าวต่างประเทศทาง CNN ช่วงข่าวเศรษฐกิจ เราจะเห็นคนมากมายยืนตะโกนโวยวายผ่านมือถือ หรือสปีกเกอร์อยู่ใต้เคาน์เตอร์ ใต้จอ ใต้แผงคอมพิวเตอร์ที่มีตัวเลขมากมายวิ่งผ่าน นั่นคือตัวแทนของ "โบรกเกอร์" ต่างๆ ในห้องค้าหลักทรัพย์ ที่คนเล่นจะต้องไปเปิดบัญชีและวางเงินตามเงื่อนไขเพื่อทำการซื้อขายผ่านตัวแทนเหล่านี้ ก่อนทำการชำระเงินหลังยืนยันคำสั่งซื้อขายภายใน 3 วัน (T+3)
ขั้นตอนนี้เองที่เป็นจุดสร้างกำไรขาดทุนให้กับคนเล่นหุ้น โดยมีปัจจัยต่างๆ กระทบไม่ว่าการประกาศเงินปันผลต่อหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ รายไตรมาส (3 เดือน) หรือรายปีของธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่สำคัญๆ ของรัฐบาลต่างๆ
คนไม่เคยเล่นหุ้นอาจนึกไม่ออก ว่าตัวเลขและข่าวที่ออกมาในแต่ละวันเหล่านี้ที่สะท้อนมาในพาดหัวข่าวที่เรายกข้างต้นกระทบราคาหุ้นในตลาดได้อย่างไร ?
เรามีตัวอย่างง่ายๆ เช่น กรณีเกิดสงครามระหว่างอิรักกับอเมริกา นักลงทุนอาจเลือกขายหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีกิจการเกี่ยวกับโรงแรมก่อนที่ราคาหุ้นในมือจะตกไปมากกว่านี้ เพราะคาดว่าการท่องเที่ยวจะซบลงและทำให้ผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้ลดลง แล้วไปช้อนซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นอันเนื่องมาจากการเกิดสงคราม (น้ำมันย่อมเป็นที่ต้องการมากขึ้นและแพงขึ้น บริษัทน้ำมันย่อมมีกำไรเพิ่มขึ้น) เป็นต้น
ช่วงที่มีการเทขายหุ้นมากๆ สภาพตลาดโดยรวมสะท้อนออกมาเป็นดัชนีหุ้นทั้งหมดที่ลดลงเป็นจุดๆ จึงไม่แปลก ที่ข่าวเรื่องขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นบ้านเราเท่าใดนัก
นั่นคือสถานการณ์โลก สถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ และนอกเหนือการคาดการณ์ นอกจากปัจจัยที่นักลงทุนดูแล้วตัดสินใจซื้อขายหุ้นอย่างผลประกอบการ เงินปันผล ค่า P/E ฯลฯ
หมอดูกับ "หุ้น" จึงเริ่มเกี่ยวข้องกัน เพราะโหราศาสตร์สามารถทำนายหรือคาดการณ์เหตุการณ์ที่มีผลต่อเศรษฐกิจในอนาคตบางอย่างได้นั่นเอง (จะแม่นไม่แม่นก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล)
หุ้นกับโหร
"จริงๆ โหราศาสตร์เป็นวิชาใช้สถิติ จะทายอะไรก็ตามแต่ เก็บจากสถิติเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่โบราณนับพันปีก็แบบนี้ ทีนี้การพยากรณ์โหราศาสตร์ที่ผ่านมามักไม่ดูเรื่องการพนัน ว่าแข่งม้า ม้าจะมาตัวไหน หรือลอตเตอรี่ ผมเคยพยายามคำนวณลอตเตอรี่ออกวันที่เท่าไรๆ แต่มันก็ไม่ถูกสักที ล้มเหลว ถูกน้อยมาก สถิติใช้ไม่ได้"
ปราโมทย์ ปิตตะพันธุ์ หรือคุณหมอไพศาลของบรรดานักลงทุนรายใหญ่รายย่อยที่เคยอ่านนิตยสารการเงินเล่มดังอย่าง "ดอกเบี้ย" เล่าถึงการใช้ศาสตร์การพยากรณ์กับสถานการณ์ตลาดหุ้น ซึ่งได้รับความนิยมในช่วง 3 ปีนี้
"เมื่อก่อนยังไม่มีใครเชื่อเท่าไรครับ เขามองโหราศาสตร์เป็นเรื่องเดาและฟลุก จนปี 2547 ผมเขียนหนังสือไว้ล่วงหน้า ปกติหนังสือต้องออกในปี 46 ตั้งแต่ ต.ค.-พ.ย. เราก็ขายมกราฯไปเลย หุ้นมันก็ไปตามนั้น...เขาก็ตกใจว่าทายได้ เลยตามทีละเดือน นักวิจัยบอกไม่มีเหตุผล เขาดูตลาดแล้วบอกว่าสิ่งแวดล้อมไม่ดี แต่นี่มันเป็นอีกเรื่อง นี่คือเรื่องของสถิติการตื่นตระหนก ว่าช่วงไหนจะมีอะไร" หมอไพศาลเริ่มทำความเข้าใจถึงหลักการพยากรณ์หุ้น โดยตัวคุณหมอเองเก็บสถิติตลาดหลักทรัพย์ฯมาใช้กับศาสตร์แห่งการพยากรณ์ตั้งแต่ 12 ปีก่อน
"เมื่อ 12 ปีก่อน คุณจิ้น เจ้าของนิตยสารดอกเบี้ย ซึ่งเกี่ยวกับตลาดหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน เขารู้จักผม ถามว่าทำไมไม่เขียนเกี่ยวกับตลาดหุ้นดู มันขึ้นลง ในสมัยนั้นคนเล่นส่วนมากจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไมมันขึ้นมันลง ผมก็บอกว่าเล่นหุ้นไม่เป็น ก็ให้เขาแนะนำเรื่องหุ้น เขาก็ส่งรายละเอียด มีกราฟ ให้ข้อมูลประจำเดือนมาเลย เดือนนี้ขึ้นยังไง ลงยังไง ผมมาจับสถิติได้ว่าหุ้นที่มันขึ้นลงเหมือนการพนัน แต่มันต่างกับการพนันแบบอื่น ซึ่งแบบอื่นมีเทคนิคทำให้ชนะหรือสามารถรู้ว่ามาแบบนี้จะออกยังไง"
ถึงตอนนี้หมอไพศาลก็ได้อธิบายเหตุที่ทำให้โหราศาสตร์สามารถใช้พยากรณ์ตลาดหุ้นได้ค่อนข้างแม่นยำ
"แต่หุ้นมันไม่ใช่ หุ้นมันเป็นลักษณะของ panic ความตกใจ ดีใจ ตื่นใจ ของคนกลุ่มมาก ของไทย ของทั่วโลก ถ้ามีเหตุการณ์ใหญ่มันจะสะเทือนถึงหุ้น ผมเลยคิดว่ากับสถิติที่บันทึกมา ดวงเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นหรือไม่ ก็เอาดวงเมืองมาตั้ง แล้วเอาดวงตลาดหลักทรัพย์มา ดวงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มาจากคนที่รู้ เขาบอกว่า 16 เมษายน 2518 ทำพิธีเปิดตลาดหลักทรัพย์ราว 11 โมงกว่า หลังจากพระฉันแล้วก็เจิมเปิดตลาด"
แต่ก่อนจะลงลึก หมอไพศาลก็บอกเราว่ามีตัวแปรบางอย่าง ที่ทำให้หมอดูอย่างเขาไม่แน่ใจอยู่บ้างเหมือนกันในเรื่องการทำนายคือเรื่องของดวงตลาดหุ้นไทยที่ข้อมูลวันเปิดทำการยังมีออกมาเป็นสองแบบ
"มีนักเลงหุ้นบอกว่า 30 เมษายน 2518 เปิด แต่ผมตรวจแล้วปรากฏว่า 30 นั่นวันเสาร์ไม่น่าใช่ ผมจึงใช้ 16 เมษายน มาเทียบ พบว่าระยะที่หุ้นขึ้นจะมีความตื่นตระหนกแบบต่างๆ เราสามารถจับได้ ว่าเมืองไทยมีอะไรตกใจ ปีนั้น เดือนนั้น ขึ้นอย่างนั้น เราบันทึกเอาไว้ ได้สถิติมาเยอะจึงเริ่มต้นพยากรณ์"
"ผมพยากรณ์เรื่องหุ้นเพราะรู้สึกว่าคนเล่นเหมือนนักโทษ ถูกพันธนาการกับเก้าอี้เฝ้าจอ ไม่มีทางเลือก ต้องฟังพวกนักวิจัยที่อาจมีแทงกั๊ก บอกว่าวันนี้บวกลบ 5 ยังไงตัวเองก็ไม่ผิด ขึ้นก็ถูก ลงก็ถูก หรือบอกว่าดูสถานการณ์จากต่างประเทศ วันนี้หุ้นอาจลดลง พวกนี้เขาอาจมีสถิติจริง แต่เขาไม่ได้เรื่องจิตใจ ความตื่นตระหนก ข่าวลือ ผมพยายามหาในช่วง 12 เดือน ช่วงไหนที่ไทยจะ Happy มีข่าวดี แล้วลองวางดวง ช่วงไหนจะมีพายุ หรือคนสำคัญตาย ช่วงนั้นลงแน่ เราจึงหาจุดต่ำกับสูงใน 12 เดือนนี้ได้โดยประมาณ"
เมื่อดวงเมืองสัมพันธ์กับหุ้น
หมอไพศาลเริ่มต้นให้ภาพตัวอย่างของการพยากรณ์ โดยใช้ดวงเมืองตั้ง ซึ่งผกผันสอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดหุ้นในวาระต่างๆ (ในแง่การโคจรของดวงดาว)
"เช่นสมัย พล.อ.ชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรีปี 2540 เป็นช่วงปล่อยเงินบาทลอยตัว (2 กรกฎาคม) หุ้นล้มหมดทั้งกระดาน แทบฆ่าตัวตายกันเป็นแถว ก็จับได้ว่าดาวที่เข้ามาโคจรในดวงเมืองตอนนั้นมีเลข 7 กับ 8 กระทบ และ 5 กับ 0 อยู่ตำแหน่งของดวงเมืองทำให้รัฐบาลช่วงนั้นไม่มีทางเลือกในการตัดสินใจ เสียหายมาก" (ดูภาพประกอบ)
เขายังได้ทดลองคำนวณดวงเมืองกับเหตุการณ์ปิดสถาบันการเงิน 58 แห่งในอีกหนึ่งเดือนต่อมา (10 สิงหาคม 2540) ซึ่งก็ได้ผลไม่ต่างกันเท่าใดนัก "รอบนี้ก็หมดตัวกันเยอะ ตรวจดวงพบว่าดาวกระจุก 4 8 2 มันอยู่ตำแหน่งเสื่อม ไม่ดี ก็เก็บสถิติเอาไว้"
หมอไพศาลยังเล่าย้อนไปอีกคือ "แบล็กมันเดย์" ซึ่งเกิดขึ้นในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2530 "ตอนนั้นธนาคารทั่วโลก 5 พันแห่งปิด หุ้นลงรวด นี่คือคนตื่นจริงๆ มีหุ้นเท่าไรขายหมด กำไรไม่เอาแล้ว เอาทุนคืน คือซื้อมาร้อยเหรียญ ขาย 30 หรือ 5 เหรียญก็เอา กลัวเงินหมด"
ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้เขาพบว่ามีความเหมือนบางอย่างเกิดขึ้นจากการคำนวณ
"จะเห็นเลข 8 5 7 ตัวนี้จะบอกใบ้ ทีนี้ยังมีเรื่องสถิติที่นำมาประกอบด้วย" หมอไพศาลให้ข้อสังเกตแบบง่ายๆ ให้คนที่ไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์อย่างเราเข้าใจตัวเลขบนกระดานชนวน
เหตุการณ์หุ้นตกทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เขาเชื่อว่าส่วนมากเกิดจากความความตกใจและข่าวลือเป็นหลัก ซึ่งกระทบตลาดมากกว่าปัจจัยที่นักลงทุนควรนำมาพิจารณาเช่น ผลประกอบการ ความมั่นคง ของบริษัทต่างๆ
"ทีนี้มาถึง 11 กันยายน 2544 เกิดกรณีเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ โลกช็อก เราเห็นว่านี่มันเป็น PANIC จริงๆ เป็นความตกใจ ตื่นตระหนก หุ้นลงระเนนระนาด มันไม่มีกฎเกณฑ์ แม้ว่าตอนนั้นหุ้นตัวนี้จะดี กำไรดี ต้องขึ้น ไม่ใช่ มันไม่เหมือนกับการพนัน ว่าเล่นตัวนี้ต้องเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ ล้างไพ่ไม่ได้ พอตกใจขาย ข่าวดีซื้อ มีสองอย่าง เราต้องจับจุดดีใจกับตกใจสองอย่างให้ได้"
สำหรับหมอไพศาลแล้วเขาเห็นว่าหุ้นที่มั่นคงในเมืองไทยมีอยู่ไม่กี่กลุ่มในแง่โหราศาสตร์ "ดวงเมืองจะมีหุ้นครองอยู่ 3 ตัวคือ หุ้นเกี่ยวกับปูนซีเมนต์ เพราะเกิดการก่อสร้างเยอะ สองคือเหล็ก เพราะมีการปลูกบ้าน ถึงแม้โครงการบ้านจัดสรรจะเจ๊ง แต่พวกนี้มันต้องใช้ ทีนี้บริษัทไหนดีคนเล่นต้องไปศึกษาเอา อีกตัวจะเป็นหุ้นสื่อสาร และสุดท้ายพลังงาน สี่ตัวนี้เป็นหลัก ส่วนมากคนจะซื้อพวกนี้ถือไว้เฉยๆ 2-3 ปีก็ได้ทุนคืนแถมกำไร"
"คำทำนายผมแม้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็ช่วยให้คนเล่นหุ้นไม่เสียมาก พวกนี้นั่งตายกับเก้าอี้ ไม่รู้วันไหนเขาจะสั่งประหารให้หมดตัว การเล่นหุ้นนี่มือใหม่นอกจากซื้อตำรามาแล้วยังเล่นเองไม่ได้ ต้องไปฝากกองทุนเล่นก่อน แล้วไอ้พวกเซียนนี่แหละทำเจ๊งมาเยอะแล้วครับ"
แต่ก็มีคำเตือนจากหมอดูอย่างเขา "ผมพยากรณ์อาศัยฐานตลาดหลักทรัพย์และดวงเมือง เพียงแต่ช่วยให้เสี่ยงน้อยลง ทีนี้พวกเทรดหุ้นที่เขาเห็นคำพยากรณ์ผมในหนังสือไปพิสูจน์ปรากฏว่าขึ้นจริง เลยมาเชิญไปพูดหลายแห่ง ตอนหลังมาซื้อคำพยากรณ์ล่วงหน้า คนเล่นตามเลยขาดทุน สมมติผมบอกว่าวันที่ 19 หุ้นจะพีก เขาขายกันวันที่ 18 วันที่ 19 เลยลง เพราะเขาเอากำไรก่อน ถ้าเขาขาย 19 มันจะเทขายกันใหญ่เขาจะเอากำไรไม่ทัน เลยขายล่วงหน้า คนที่ถือคอยคนมาซื้อวันที่ 19 เลยงง ตลาดป่วน"
ก่อนทิ้งท้ายถึงนักลงทุนรายย่อยว่า "เรื่องทายล่วงหน้าแล้วเกิดเรื่องข้างต้นนี่เรายังไม่ได้หาวิธีการ มันขี้โกง (หัวเราะ) ผมก็พยากรณ์ไปตามที่มันจะขึ้น...เหตุการณ์โลกเคลื่อนได้ ไม่มีอะไร 100 หรอกครับ...อย่าประมาท ถ้าเล่นหุ้นคนมักจะผูกกับนักวิจัย เซียน จะไม่เป็นตัวเอง การตัดสินใจไม่เกิดขึ้นแล้วก็ตามเขา พวกนี้เขาเป็นนักวิชาการ พอมีเหตุการณ์ก็ไม่รับผิดชอบ ครั้งหนึ่งเคยมีการปิดบริษัทเงินทุน จับเสี่ยสองนักปั่นหุ้น คนเสียหายมาก แต่ไม่กี่เดือนเสี่ยสองถูกยกฟ้อง ล้มบนฟูก ชาวบ้านตายหมด ผมว่าตรงนี้ไม่ถูกเท่าไร ไม่มีใครให้ความยุติธรรมกับนักเล่นหุ้น ผมพยายามเขียนพยากรณ์แต่เขียนบ่อยไม่ได้ นักเลงหุ้นอาจไม่ค่อยชอบ"
"ผมพยายามแนะนำว่าช่วงเดือนไหนบ้านเมืองจะแจ่มใส มีโชคเข้ามา ทำให้หุ้นขึ้นอย่างปีนี้ต้นปีไม่ดี แต่หลัง 6-7 พ.ค. คิดว่าจะเงียบลง เพราะดาวอังคารเงียบ จะดีขึ้น เพราะฉะนั้นหุ้นเดือน พ.ค . น่าจะขึ้นมาก ให้ดูตัวไหนดีไปเลือกเอา หรือใครเก็บหุ้นบางตัวมานาน มาตอนนี้พอได้กำไรขายไปเลย สิ้นเดือน พ.ค. ขายทิ้งซะ มิถุนายนค่อยเข้ามา ซื้อต่อ...หน้าฝนจะมีภัยสงคราม มรสุม อย่าเล่น ไปซื้ออีกที กันยายน ตุลาคม มันจะขึ้น แล้วไปขายปลายปี มันเป็นเส้นกราฟครับที่ผมทำนาย แต่คุณต้องไปศึกษาว่าตัวไหนดีกันเอง"
****
เชื่อคุณหมอหรือไม่เชื่อก็ตาม เราก็คงบอกได้แต่เพียงว่า เรื่องนี้เป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล
คงต้องเอวังว่างานนี้ ใคร "รวย" หรือใคร "เจ๊ง" ก็แล้วแต่วิจารณญาณของตนเอง