"ค้นพบหินแปลกกลางใจเมือง !!!", "ชม ‘พิพิธภัณฑ์หินแปลก’ ที่เก็บหินประหลาดนับแสน"
"พิพิธภัณฑ์หินแปลก หนึ่งในประเทศไทย แห่งแรกในเอเชียอาคเนย์" , "ลูกบ้าคนรักหิน พิพิธภัณฑ์เพื่ออนุชน" , "Romancing The Stone" ฯลฯ
เป็นเวลานับกว่า 5 ปีแล้ว ที่สื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ นำเสนอเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์หินแปลก พิพิธภัณฑ์เอกชนที่ตั้งอยู่ ณ ย่านสี่พระยาแห่งนี้
และเป็นระยะเวลา 5 ปีนี้เช่นกัน ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขาดทุนสะสมมาตลอด และแทบไม่ได้รับความสนใจเข้าชมจากคนไทย หรือการเหลียวแลจากภาครัฐเลย
หลายคนอาจเคยทราบว่ามีสถานที่แห่งนี้ แต่ก็เพียงรับรู้แล้วผ่านเลย ทว่าชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กลับไม่เคยย่อท้อ เฝ้ารอว่าวันหนึ่งคนไทยรุ่นหลังจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาสะสม
สิ่งที่ในสายตาบางคนมองว่าเป็นเพียงกรวดทรายไร้ค่า เป็นเพียงก้อนหินรูปร่างหน้าตาประหลาดไร้ความหมาย แต่เขากลับมองเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ภายนอกอันแข็งกระด้าง
เขา… ผู้แลเห็นสัจธรรมในก้อนหิน "ยรรยง เลิศนิมิตร"
เสียงยวดยานอึกทึกบนถนนเจริญกรุงพลันเบาลงทันทีที่ผลักประตูกระจกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์หินแปลกแห่งนี้ สภาพตึกภายนอกอาจดูค่อนข้างเก่าเช่นอาคารทั่วไปในแถบนั้น ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์แม้ไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่าสวยงามโอ่โถงเช่นพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ ทว่ากลับสะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่าย แต่มั่นคง เช่นเดียวกลับบุคลิกผู้เป็นเจ้าของ
คุณยรรยง เลิศนิมิตร ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์หินแปลกแห่งนี้จากความเป็นนักสะสมและหลงเสน่ห์ของหินรูปทรงแปลกตา รอเราอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ แม้จะล่วงเข้าวัยเจ็ดสิบกว่าแล้ว แต่เรายังเห็นประกายแห่งความมุ่งมั่นในแววตาของเขา
คุณยรรยงแนะนำให้เราเดินชมพิพิธภัณฑ์ในชั้นที่ 1 และ 2 ที่จัดแสดงหินแปลก ซึ่งมีทั้งหินหยก ฟอสซิล หินธรรมชาติ หินย้อย ฯลฯ จำนวนกว่า 2,000 ชิ้น โดยจะมีการจัดเปลี่ยนแสดงชุดใหม่ๆ ทุก 6 เดือน (จากคอลเลกชันหินแปลกทั้งหมดของคุณยรรยงที่มีจำนวนนับหมื่น) และเป็นที่น่าภาคภูมิใจว่า หินแปลกที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นี้เป็นหินที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทยเกินกว่าร้อยละ 90 ของจำนวนหินทั้งหมด
หินฟอสซิลไม้จากภาคอีสาน หินจากภาคเหนือของประเทศไทย ฟอสซิลหอยทะเลจากเพชรบูรณ์ และที่มีมากที่สุดเห็นจะเป็นหินจากภาคกลางของไทย อาทิ สระบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี อุทัยธานี ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีอายุไม่ต่ำกว่า 200 ล้านปีขึ้นไป เดินทางผ่านกาลเวลาแล้วถูกรวบรวมนำมาจัดแสดงให้เราได้ชมที่นี่
เรียกได้ว่าแม้จะไม่มีโอกาสเดินทาง แต่การได้ชมริ้วรอย ลวดลายของหินแต่ละก้อนที่ต่างมีประวัติศาสตร์การเดินทางของตัว ก็เสมือนกับว่าเราได้ร่วมท่องไปในดินแดนต่างๆ ทั้งภูผาและสายน้ำผ่านจินตนาการจากการมองดูหินก้อนนั้นๆ
หินแปลกอันล้ำค่าภายในพิพิธภัณฑ์จึงมีความสวยงามแปลกตาต่างๆ กันไป ที่โดดเด่นก็มีอยู่หลายชิ้นด้วยกัน อาทิ "ผมหงอกบนก้อนหิน" หินที่มีสาหร่ายเกาะติดและแปรสภาพเป็นเส้นสีขาวเหมือนผมหงอก, "แหลมทอง" หินที่มีรูปร่างคล้ายด้ามขวาน ดินแดนของประเทศไทย, "ศาลาหลบฝน" หินที่มีลักษณะคล้ายชะง่อนผายื่นออกมาเป็นที่พักหลบฝน, "เต่าเทวดา" ที่มีส่วนสูง 72 เซนติเมตร ลำตัวยาว 150 เซนติเมตร กว้าง 70 เซนติเมตร น้ำหนักกว่า 1,000 กิโลกรัม ซึ่งบริเวณที่เป็นเหมือนกระดองเต่ามีลวดลายเด่นชัดสะดุดตา และ "ยินดีที่ได้พบ" หินคู่ที่มีลักษณะคล้ายนกเพนกวิน 2 ตัวยืนจับมือกัน หรือจะเป็นหินที่มีรูปร่างเหมือนนกเค้าแมว งู จระเข้ เป็นต้น
"หินในพิพิธภัณฑ์นี้เราจะเน้นว่าเป็นธรรมชาติ อย่าไปตัดแต่ง อย่าไปเพิ่มเติม อย่าไปตัดออก มายังไงก็อย่างนั้น" คุณยรรยงว่า
นอกจากนี้ ยังมีหินจากต่างประเทศที่งดงามหายากอย่าง หินกุหลาบจากซาอุดีอาระเบีย หินที่มีฉายาว่า "กุหลาบทะเลทราย" เกิดจากแร่ยิปซัมจับตัวกันแน่นกับแบไรต์ ส่วนแคลไซต์จะตกผลึกเป็นสีขาวตามบริเวณที่คล้ายกลีบกุหลาบ หรือหินที่เป็นลักษณะเหมือนสำลีจากอินเดีย ฟอสซิลจากเยอรมนี ฯลฯ ก็มีให้ชม
คนที่ไม่เคยสนใจก้อนหินมาก่อนเมื่อได้ชมแล้วยังตื่นตาตื่นใจ ยิ่งหากเป็นคนชอบหินอยู่แล้วล่ะก็ ที่นี่คือสวรรค์สำหรับคนรักหินในเมืองไทยเลยทีเดียว
ส่วนพื้นที่ชั้น 3 ของพิพิธภัณฑ์ ได้จัดแสดงที่เขี่ยบุหรี่จากประเทศต่างๆ ประมาณกว่า 4,000 ชิ้น ซึ่งทำจากวัสดุหลากหลาย ทั้งดินเผา กระดูกสัตว์ ไม้ เปลือกหอยมุก คริสตอล ทองเหลือง ฯลฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นเอกลักษณ์ของชาติต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีรูปยาซิกาแร็ตที่แถมมากับบุหรี่ ฉลากไม้ขีดไฟและฉลากบุหรี่ของไทยและต่างประเทศ ซึ่งมีอายุมากกว่า 50 ปี และของสะสมอื่นๆ อีกมากมาย
กว่าจะมาเป็น "พิพิธภัณฑ์หินแปลก"
นอกจากคุณยรรยงจะเป็นนักธุรกิจด้านสิ่งทอแล้ว เขายังเป็นนักสะสมตัวยง ก่อนที่เขาจะมาหลงเสน่ห์แห่งหินนั้น เขาก็สะสมสิ่งต่างๆ มากมายดังจะเห็นได้จากจำนวนสิ่งสะสมที่จัดแสดงบนชั้น 3 ของพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งหนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั้งภาษาไทยและจีน จากหนังสือจีนนี่เองที่ได้เอ่ยอ้างถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นและสะสมหิน ทำให้คุณยรรยงเกิดความสนใจและประทับใจ
จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณยรรยงได้ไปเดินชมตลาดนัดบอนไซที่ริเวอร์ซิตี้ และได้พบกับหินแปลกก้อนหนึ่งเข้า นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา หินแปลกก็เป็นหนึ่งในรายชื่อสิ่งของของนักสะสมผู้นี้
"95 เปอร์เซ็นต์เป็นหินที่ผมหามาเอง ส่วนน้อยจะซื้อเอา เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด เช่น ราชบุรี สระบุรี ลพบุรี นครพนม หนองคาย บางทีก็ไปลุยตามแม่น้ำหรือทะเล ถ้าเจอหินแปลกๆ ก็จะเก็บกลับมา ถ้าไปไกลหน่อยก็ข้ามไปฝั่งลาว ญี่ปุ่น จีน แต่ส่วนใหญ่ซื้อในเมืองไทยมากกว่า"
ในตอนนั้นคนรอบข้างก็ไม่เข้าใจว่า เขาจะสะสมไปทำไมก้อนหิน
"บางทีผมหาหินมาลูกน้องมาช่วยยกช่วยแบก มาช่วยล้าง คนงานในบ้าน ลูกน้องผมบางทีเขาก็บ่น เถ้าแก่ของเราทำไมอะไรก็ไม่เล่นมาเล่นก้อนหิน หนักก็หนัก ต้องมาล้างอะไรอีก แล้วเวลาทำตกก็ยังโดนว่า เถ้าแก่เรานี่แปลกประหลาด แต่เขาไม่รู้ว่าหินนี่มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่สร้างด้วยธรรมชาติ ก่อนมีมนุษย์ก็มีหินอยู่แล้ว หินเป็นศิลปะที่เราพบเจอ ถ้าเราไม่ไปพบไม่ไปเจอ เขาก็เป็นหินธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งในพื้นดิน แต่ถ้าเราไปเก็บมาล้างทำความสะอาดจนสวยงามดูก็มีความสุข บางทีเพื่อนๆ มาดูก็มีความสุขด้วย ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ แค่ให้พรรคพวกเพื่อนฝูงมาชมกันเท่านั้นเอง แต่ต่อมาก็คิดว่าน่าจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้แก่สังคมในวงกว้าง"
หินเหล่านี้คุณยรรยงใช้เวลานับสิบปีในการเสาะหามาเก็บรวบรวมสะสมด้วยตนเอง ด้วยความรักในความงามตามธรรมชาติของก้อนหินที่มนุษย์ไม่อาจสร้างขึ้นมาได้
"หินแปลกนี่ดู 3 ส่วนคล้าย 7 ส่วนเป็นจินตนาการ บางชิ้นก็เหมือนภูเขา น้ำตก บางชิ้นเป็นเหมือนวิวทิวทัศน์ ดูแล้วเราเกิดมีใจรักขึ้นมา มีความสุขอีกอย่าง"
คุณยรรยงซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสมาคมหินแปลกนานาชาติ และเป็นนักสะสมหินแปลกของไทยคนแรกที่นำหินแปลกของไทยไปเผยแพร่ในงานนิทรรศการหินนานาชาติ เนื่องจากคุณยรรยงต้องการเผยแพร่หินแปลกของไทยให้แพร่หลาย และอนุรักษ์หินแปลกของไทยเพื่อเป็นมรดกทางการศึกษาของอนุชนรุ่นหลังต่อๆ ไป โดยเฉพาะคุณค่าทางด้านจิตใจ เชิงปรัชญา และศิลปะความงามตามธรรมชาติอันจะนำมาซึ่งความสงบและรักธรรมชาติ เขาจึงได้จัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์หินแปลก" แห่งนี้ขึ้นในปี พ.ศ.2542
เฉพาะ5 ปีกว่าที่ผ่านมาเขาลงทุนลงแรงกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไปไม่น้อย... นับกว่า 10 ล้านบาท แม้จะรู้ว่าหนทางของพิพิธภัณฑ์เอกชนในเมืองไทยนั้น มิได้ แข็ง ขรุขระ และหนักหนายิ่งหย่อนไปกว่าเหล่าก้อนหินที่เขาสะสมเลย
ย่างก้าวที่อ่อนล้าในปีที่ 6
หลังจากปีแรกๆ เรื่องราวของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็จางหายไปจากความสนใจของมวลชน รวมถึงภาครัฐที่เคยสนับสนุนช่วยประชาสัมพันธ์ให้ในช่วงแรก ทุกวันนี้... พิพิธภัณฑ์หินแปลกแทบจะไม่มีคนไทยสนใจเข้าชม มีเพียงชาวต่างชาติที่สนใจเรื่องราวของหินแปลก แต่เนื่องจากประสบปัญหาไม่มีสถานที่จอดรถ ทำให้รายได้ของพิพิธภัณฑ์ที่เคยได้รับจากทัวร์นักท่องเที่ยวน้อยลงอย่างน่าใจหาย
คุณยรรยงเล่าว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพิพิธภัณฑ์นั้นตกเดือนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท เฉพาะค่าเช่าตึกก็นับแสนบาทแล้ว ช่างผกผันกับรายได้จากการเข้าชมที่บางเดือนนั้นได้ไม่ถึงหมื่น คุณยรรยงแก้ปัญหาด้วยการนำเงินสำรองที่เตรียมไว้มาอุดการขาดทุนมาตลอด กระทั่งเงินที่มีอยู่หมดลง เขาจึงต้องตัดใจขายหินบางส่วนไปเพื่อนำมารักษาพิพิธภัณฑ์ไว้
"ตั้งแต่เปิดมาอย่างเป็นทางการตอนนี้ก็ 5 ปีกว่าแล้ว ก็ขาดทุนอยู่ทุกปีเพราะไม่มีที่จอดรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงานก็หลายหมื่นแล้ว ค่าผ่านประตูเด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 50 บาทยังไม่พอค่าไฟเลย... เลยต้องอาศัยขายหินมาช่วยค่าใช้จ่าย บางทีขายได้ก็ยังดี ขายไม่ได้ก็ต้องไปวิ่งหาเงินมาจ่ายค่าเช่า บางทีขายนี่ต้องตัดใจขายเพราะแต่ละชิ้นนี้รัก ผมเก็บหินมาสิบกว่าปีไม่เคยขาย เพิ่งมาขาย 2-3 ปีนี้ เพื่อมาช่วยค่าใช้จ่าย แต่ละชิ้นเหมือนลูกอยู่ในตัวเราจำเป็นต้องถูกขายไปแบบนี้ บางทีขายได้เงินก็จริงแต่เสียดาย นอนไม่หลับ ไม่รู้จะหาได้อีกไหม แต่ไม่ขายก็ไม่ได้เราจำเป็นต้องเอาเงินมาช่วยค่าใช้จ่าย" คุณยรรยงเล่าเศร้าๆ เขาพยายามทำใจว่าถึงอย่างไรพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ยังไม่ล้ม แต่เงินทุนที่ร่อยหรอทำให้ทางพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถไปหาซื้อที่ดินใหม่ที่เหมาะแก่การตั้งพิพิธภัณฑ์ได้
"ตอนนี้มีทางออกอยู่ 2 ทาง อยากให้ทางททท. ทางรัฐช่วยหาที่ที่ยังว่างอยู่ แล้วก็ที่จอดรถหน่อยได้ไหม อาจจะทางรัฐออกสถานที่ ผมออกของ แล้วก็ส่วนรายรับ 50-50 เพราะนี่มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดแขกต่างประเทศ แต่ตอนนี้ไม่มีที่จอดรถ ทัวร์เขาก็ไม่อยากมาลง แล้วตรงนี้เป็นถนนหลักจอดสักหนึ่งนาทีรถก็ติดแล้ว หรือไม่ก็นายทุนคนใดคนหนึ่งมาร่วมทุนแล้วก็ย้ายไปหาแหล่งอื่นเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็ยังดี ถ้าอาศัยผมเองเห็นจะลำบากเพราะเงินที่มีเตรียมไว้ให้ขาดทุนก็หมดแล้ว ผมรู้ว่าต้องขาดทุนแต่ผมทำตรงนี้ด้วยใจรัก ไม่ได้ทำเป็นกิจการ รู้ว่าค่าเช่าตรงนี้มันแพง และไม่มีที่จอดรถก็จริง แต่ของๆ เราถ้าเป็นของดีจริง เป็นของดีแท้ก็คงมีคนมาดู มันก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งที่เราหาของสวยงามหายากมาได้ให้สังคมชื่นชม อันนี้ผมได้ทางกำลังใจแต่รายได้ไม่ได้เลย"
"ผมคิดว่าในสังคมนี้ คนมีเงินเยอะกว่าผมเยอะแยะไป ถ้าไม่นำไปทำอะไรก็น่าจะมาทำพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้กับสังคมแบบนี้ ถ้าไม่มีเงินทุนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็อยู่ไม่ได้ เพราะผมเองหมดแล้ว ผมบอกอย่างไม่อาย บอกตรงๆ เลย มันขาดทุนอยู่ทุกปีๆ ผมเป็นพ่อค้าก็จริงแต่พ่อค้าที่ตั้งใจมาทำสิ่งที่ขาดทุนตลอด รู้สึกว่าในโลกนี้คงไม่มี หินราคามันอยู่ในใจ สำหรับบางคนทองเพชรมันมีราคา แต่สำหรับผมหินมีค่า เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่สร้างด้วยธรรมชาติ" คุณยรรยงกล่าวทิ้งท้าย คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ช่วยสืบต่อลมหายใจพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ เพียงแวะเข้าไปชมเท่านั้น
*****
พิพิธภัณฑ์หินแปลก เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00-17.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)
ค่าบัตรเข้าชม ผู้ใหญ่ท่านละ 50 บาท นักเรียน นิสิต นักศึกษา พระสงฆ์ ท่านละ 20 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท
ที่ตั้ง 1048-1054 ปากซอยเจริญกรุง 26 ถนนเจริญกรุง บางรัก กรุงเทพฯ 10500
โทร.0-2236-5655,0-2236-5666,0-2236-5712 http://www.rarestonemuseum.com