แม้จะล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่ดูเหมือนกับว่ายิ่งโลกของเราเจริญมากขึ้นเท่าไร มนุษย์ยิ่งขาดความเชื่อมั่นและไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น คนบางกลุ่มจึงเสาะแสวงหาความเชื่อใหม่ๆ แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่หวนกลับไปหาศาสตร์ดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล
ศาสตร์ทางด้านตัวเลขและตัวอักษร คือศาสตร์ที่คนโบราณให้ความสำคัญและเชื่อถือว่ามีผลเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์เราในหลายด้าน โดยเฉพาะเมื่อมาเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์แล้ว การคำนวณดวงชะตาชีวิตมนุษย์แทบจะแยกไม่ออกจากตัวเลข และตัวอักษรเลย
และแม้ว่าคนรุ่นใหม่จะเริ่มลืมเลือนความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลข อักษร และชีวิตไปบ้างแล้ว บ้างก็มองว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ แต่หากจะศึกษาในฐานะศาสตร์ดั้งเดิมที่คนโบราณค้นคิดขึ้นมา อย่างน้อยก็อาจจะทำให้คนรุ่นใหม่มีความรู้… อันจะนำมาซึ่งความเข้าใจถึงสังคมไทยในบางบริบท
พลังแห่งชื่อ… ชื่อนั้นสำคัญไฉน
"ตัวอักษรนั้น มีความสัมพันธ์กับคนเรามาตั้งแต่โบราณกาล เราใช้ตัวอักษรในการจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ และเมื่อคนเราเกิดมาก็มีการตั้งชื่อ ตัวอักษรจึงมีบทบาทและอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของดวงชะตาชีวิตของคนเราอย่างมากเช่นกัน เมื่อคิดที่จะตั้งชื่อให้ใครสักคนหรือมีการเปลี่ยนชื่อใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชื่อบุคคลหรือธุรกิจการค้า การตั้งชื่อให้มีความหมายดีๆ ถูกโฉลกกับดวงชะตาจึงเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิตคนเรา ด้วยความเชื่อที่ว่า หากได้ชื่อดีมีความหมายแล้ว ชะตาชีวิตของคน คนๆ นั้นก็จะเป็นไปในทางด้านดีด้วยเช่นกัน…"
จากหนังสือ "พลังแห่งชื่อ ตัวเลขอักษร" โดย จุฑามาศ ณ สงขลา
แม้ชื่อจุฑามาศ ณ สงขลา จะเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากผลงานการทำนายชะตาราศีตามคอลัมน์ของนิตยสารชั้นนำหลายฉบับ และการบำบัดรักษาด้วยพลังจากหินและอัญมณี แต่ศาสตร์ด้านตัวเลขก็เป็นหนึ่งในความถนัดของเธอ ด้วยเจ้าตัวลงทุนลงแรงเดินทางไปศึกษาศาสตร์แขนงนี้เพิ่มเติมถึงต่างแดน
เธอผ่านการอบรมหลักสูตรวิเคราะห์ตัวเลขสากล หรือ Numerology จากสถาบัน Character Analysis and Numerology of South Australia ประเทศออสเตรเลีย หลายคนอาจแปลกใจว่าฝรั่งตะวันตกที่ได้ชื่อว่าเป็นชาติที่เจริญแล้ว ให้ความสนใจศาสตร์แขนงนี้ด้วยหรือ จุฑามาศบอกว่านอกจากมีวิชาสอนเกี่ยวกับเรื่องเลขรหัสชีวิตนี้แล้ว ในต่างประเทศยังมีผู้ให้บริการเปิดรับตั้งหรือเปลี่ยนชื่อให้แก่บุคคลหรือบริษัทห้างร้านที่จะเปิดกิจการอีกด้วย ศาสตร์การตั้งชื่อโดยพิจารณาจากตัวเลขอักษรนี้ จึงนับเป็นศาสตร์สากลแขนงหนึ่ง
"ที่เรียนมันจะเป็นการวิเคราะห์ตัวเลขจากบุคลิกของคน เรียนเพื่อส่วนใหญ่แล้วบริษัทห้างร้านจะนำไปใช้ อันนี้เป็นหลักสูตรของฝรั่ง แล้วเขาก็เชื่อกันมาก จะมีนักวิเคราะห์ประจำบริษัทต่างๆ เลย ถ้าจะรับพนักงานล็อตหน้าก็จะดูชื่อ วันเดือนปีเกิดด้วยว่าชื่อเหล่านี้ส่งเสริมบริษัทไหม การวิเคราะห์ตัวเลขแล้วจะทำให้เรารู้จักคนเหล่านั้นมากขึ้น เพราะฉะนั้น เราคิดว่าเราเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ เรื่องตัวเลขมากแค่ไหน ต้องบอกก่อนเลยว่าฝรั่งเชื่อเยอะกว่าเรามาก"
จากหนังสือของจุฑามาศบอกไว้ว่า ในทางโหราศาสตร์สากล ตัวเลขก็สามารถส่งอิทธิพลต่อดวงชะตาของคนเราได้อย่างมากเช่นกัน ซึ่งตามหลักสากลนั้นตัวเลขที่สามารถส่งอิทธิพลกับดวงชะตาของคนเราได้ มีอยู่ 4 แบบด้วยกันคือ
1. ตัวเลขวันเกิด หลักสากลเรียกว่า Personal Number ซึ่งเป็นตัวเลขตามวันที่เกิดของทุกเดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 สามารถทำนายบุคลิกลักษณะนิสัย และเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของคนคนนั้นได้
2. ตัวเลขปีเกิด ซึ่งต้องนับเป็น ค.ศ. เกิด นำตัวเลขแต่ละตัวมาบวกรวมกัน และบวกให้เป็นเลขเดี่ยว ก็จะสามารถบอกถึงรอบของเหตุการณ์ต่างๆ ตามดวงชะตาที่จะเกิดขึ้น
3. ตัวเลข วัน เดือน ปีเกิด ซึ่งเรียกว่า ตัวเลขวิญญาณ หลักสากลเรียกว่า Soul Number เป็นตัวเลขที่สำคัญมากกับชีวิตคนเรา เพราะสามารถบอกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญในชีวิต รวมถึงคู่ครอง และบริวาร และยังสามารถบอกได้ถึงสิ่งแวดล้อมและฐานส่งเสริมดวงชะตาของคนเราได้อย่างละเอียด
4. ตัวเลขอักษร หมายถึง ตัวเลขที่เกี่ยวกับชื่อ หรือนามสกุลของบุคคล หรือชื่อของสำนักงานห้างร้านต่างๆ ซึ่งหากได้ตัวเลขของชื่อที่มีอิทธิพลที่ดีกับดวงชะตา ก็จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนคนนั้น และหากเป็นตัวเลขเดียวที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้ คนเราจึงนิยมเปลี่ยนชื่อ หากคิดว่าชื่อนั้นไม่เหมาะสมและไม่ถูกโฉลกกับชะตาชีวิตที่เป็นมาเป็นไป
ตั้งชื่ออย่างไรให้เป็นมงคล ?
คนไทยเรามีความเชื่อเรื่องการตั้งชื่อเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตมาช้านาน ตำราหนึ่งที่เป็นที่เชื่อถือและแพร่หลายมากที่สุด คือ ตำราทักษาพยากรณ์ ซึ่งตั้งชื่อโดยดูจากวันเกิดตามปฏิทินทางโหราศาสตร์
คำว่า "ทักษา" เป็นชื่อเรียกอัฏฐเคราะห์ทั้ง 8 คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ และราหู นอกจากนี้ โบราณาจารย์ได้แสดงการจัดระเบียบตัวอักษรเป็น บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์การตั้งชื่อ เรียกว่า ทักษา
แต่ละทักษาก็จะมีความหมายเพื่อความเป็นสิริมงคลแตกต่างกันไป เช่น บริวาร หมายถึง ความมีเสน่ห์ มีคนรัก บุคคลแวดล้อม, อายุ หมายถึง ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต, เดช หมายถึง อำนาจวาสนา เกียรติยศ กำลังความสามารถ, ศรี หมายถึง โชคลาภ ชื่อเสียง ความเป็นสิริมงคล, มูละ หมายถึง มรดก หลักทรัพย์ ความเจริญร่ำรวย, อุตสาหะ หมายถึง ความอดทนขยันหมั่นเพียร, มนตรี หมายถึง ผู้อุปถัมภ์ช่วยเหลือ คนสนับสนุน ความสำเร็จ และกาลกิณี หมายถึง สิ่งอัปมงคล ศัตรู อุปสรรค และโชคร้าย
ในที่นี้จะยกตัวอย่างเฉพาะตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีตามวันต่างๆ
สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ตำราบอกไว้ว่าอักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ ศ ษ ส ห ฬ, ผู้ที่เกิดวันจันทร์ อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ สระ อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอ โ , ผู้ที่เกิดวันอังคาร อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ ก ข ค ฆ ง, ผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ญ, ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม, ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ ด ต ถ ท ญ, ผู้ที่เกิดวันศุกร์ อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ ย ร ล ว, ผู้ที่เกิดวันเสาร์ อักษรที่เป็นกาลกิณี ไม่ควรใช้ตั้งชื่อ ได้แก่ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
หลักการตั้งชื่อตามคัมภีร์ทักษาที่สืบทอดมาแต่โบราณนั้น นอกจากเลี่ยงตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีตามวันต่างๆ แล้ว ส่วนใหญ่ผู้ชายมักนิยมตั้งชื่อโดยใช้อักษรเดชนำหน้า และผู้หญิงใช้อักษรที่เป็นศรี เป็นอักษรนำ จึงจะถือว่าเป็นการตั้งชื่อที่เป็นสิริมงคล
แต่จุฑามาศบอกว่า หลักการที่จะตั้งชื่อให้ส่งพลังดีกับดวงชะตาชีวิตนั้น ตามหลักสากลแล้วตัวเลขวิญญาณ คือ เลขวันเดือนปีเกิด บวกรวมกัน ถือเป็นเลขที่จะส่งอิทธิพลต่อกับชีวิตคนเรามากที่สุด
ดังนั้น หากจะตั้งชื่อ หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ก็ควรที่จะให้ตัวอักษรทุกตัวบวกรวมกันได้เท่ากับตัวเลขวันเดือนปีเกิดของตัวเอง เมื่อเราสามารถบวกตัวเลขของวันเดือนปีเกิดของตัวเองได้ค่าออกมาแล้ว อิทธิพลของตัวเลขนี้เองคือพลังแห่งตัวเลขอักษรที่ถูกโฉลกกับคุณ ซึ่งเป็นอย่างแรกที่ควรคำนึงถึงในการตั้งชื่อ ต่อมาคือการหาว่าควรใช้ตัวอักษรใด และควรเป็นอักษรที่มีกำลังเท่าไรจึงจะเป็นสิริมงคลสูงสุดในการตั้งชื่อตัวเอง ชื่อนามสกุล หรือชื่อธุรกิจการค้า
การหารหัสค่าของตัวเลขอักษรนั้น จะมีตารางที่ยึดถือและนิยมใช้มานาน โดยมีการคิดคำนวณตัวเลขอักษรแต่ละตัวไว้ ตามตำราเลขศาสตร์สากล แต่จะเป็นตารางค่าอักษรโรมัน ฉะนั้น จุฑามาศจึงแปลงตารางเป็นตัวอักษรไทยไว้ให้เปรียบเทียบด้วย
ไม่เปลี่ยนชื่อได้ไหม
คนส่วนมากมักจะมีชื่อที่พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ ตลอดจนพระสงฆ์องค์เจ้าตั้งให้ (บางคนนายทะเบียนที่อำเภอตั้งให้ก็มี) จึงมักไม่ใคร่มีคนอยากจะเปลี่ยนชื่อของตัวเองเท่าใดนัก หากไม่จำเป็นจริงๆ
บางคนพอเปลี่ยนชื่อใหม่ก็มีความยุ่งยากในการทำธุรกรรมทางกฎหมายต่างๆ ตามมา บ้างก็ไม่ชินกับชื่อใหม่ ครั้นพอมีคนเรียกชื่อใหม่ก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกตัว หรือเพื่อนฝูงใกล้ชิดก็ไม่สะดวกปากคุ้นลิ้นเหมือนชื่อเก่า แต่ก็ยังมีหลายคนที่พอใจกับชื่อใหม่มากกว่าชื่อเก่า ไม่ว่าจะเปลี่ยนด้วยเหตุผลความพอใจ หรือเชื่อถือเรื่องสิริมงคลของชื่อก็ตาม
แต่ทว่าการเปลี่ยนชื่อนั้นไม่ใช่ทางออกของปัญหา หากเป็นเพียงหนทางหนึ่งที่ช่วยก่อให้เกิดความสบายใจแก่เจ้าของชื่อ เป็นไปได้ว่าเมื่อบุคคลนั้นคลายความวิตกกังวลไปได้แล้ว การดำเนินชีวิตก็จะมีสติ สามารถกระทำการตัดสินใจได้อย่างปลอดโปร่ง หากจะมองในแง่วิทยาศาสตร์ก็คงเป็นเหตุผลทางด้านจิตวิทยาที่มีต่อบุคคลนั้นๆ
จุฑามาศบอกว่าเธอไม่ได้แนะนำให้คนเปลี่ยนชื่อ เพียงแต่บอกว่าถ้าจะเปลี่ยนควรเปลี่ยนยังไง แล้วถ้าไม่เปลี่ยนมันถูกโฉลกกับตัวเองหรือยัง ควรไหมที่จะต้องไปเชื่อหมอดู
"90% ของคนที่มาปรึกษา จะชอบบอกว่าหมอดูทักให้เปลี่ยนชื่อ แต่จริงๆ แล้วเป็นตัวเลือกหลังสุดที่เราแนะนำ ถ้าทำอะไรแล้วไม่ดีขึ้นจริงๆ ก็เปลี่ยนเถอะ แต่ถ้ามันมีวิธีอื่นที่เราพอจะทำได้ก็ไม่แนะนำให้เปลี่ยน"
แต่ถ้าตัดสินใจเปลี่ยนแล้ว ก็ควรยอมรับและใช้ชื่อนั้นให้ชิน
"ชื่อตัวเลขที่เรานำไปใช้ เราเป็นคนแรกที่จะต้องใช้ให้ชิน ไม่ใช่คนอื่น ตัวเลขเหล่านี้มีผลกับชีวิตเราเท่านั้น ไม่มีผลกับคนอื่น ถ้าเรายังไม่เชื่อเลยว่าชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ของเราที่จะดีกับเรา มันก็ไม่ดีไปได้หรอก อย่างน้อยๆ ถ้าเราเชื่อ ไม่ต้องให้ใครเชื่อ เราเชื่อเองก็มีผลต่อจิตใจเรา แต่ดิฉันคิดว่าถ้าตั้งชื่อไปแล้ว ถ้าคิดว่าดีก็ไม่ต้องสนใจใคร หากหมอดูบอกว่าชื่อคุณไม่ดี ก็ไม่ต้องเปลี่ยน ที่ไม่ดีมันอาจจะเป็นจังหวะชีวิตอื่นๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปและดีขึ้นเอง เวลาคนเราตกงาน มีทุกข์ก็เหมือนคนกำลังจะจมน้ำ มีอะไรมาสักนิดก็คว้าไว้ก่อน เพราะฉะนั้น ตอนนี้ต้องตั้งสติให้มั่นว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันมีสาเหตุจากอะไร" จุฑามาศสรุปทิ้งท้าย
เลขเด็ด – ทะเบียนดัง
ใช่เพียงแต่ชื่อเท่านั้น ความเชื่อเรื่องตัวเลขและตัวอักษรมงคลของคนไทยยังคาบเกี่ยวกับชีวิตประจำวันอย่างใกล้ชิด ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นตัวเลขและอักษรของทะเบียนรถ
เจ้าหน้าที่กลุ่มระบบทะเบียนและภาษี กรมการขนส่งทางบก ที่ดูแลเรื่องการประมูลทะเบียนรถเปิดเผยว่า ตามปกติแล้วหากเป็นพื้นที่ กทม. จะมีการประมูลทุกเดือน ขณะที่ในต่างจังหวัดก็จะกระจายออกไปตามแผนที่วางไว้ตลอดทั้งปี โดยในการประมูลจะมีทั้งหมด 301 หมายเลข
ด้านตัวเลขที่นิยม ทางเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งบอกว่า คนไทยจะนิยมเลข 9 และ 5 ขณะที่คนไทยเชื้อสายจีนจะนิยมเลข 8 เพราะหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง อย่างเช่นรถของเจ้าพ่อน้ำเมา เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหารบริษัท ที.ซี.ซี.กรุ๊ป กลุ่มบริษัทแสงโสม (เบียร์ช้าง) ที่มีทะเบียนเป็นเลข 8 ล้วนทั้งหมด
"เวลาประมูลคนจะดูตัวเลขเป็นหลัก ไม่ค่อยเกี่ยงหมวดอักษร เพราะทางราชการเวลาอ่านทะเบียนรถจะอ่านออกเสียงเป็นตัวอักษร ไม่สะกดเป็นคำสมาสหรือคำสนธิ เพราะฉะนั้นทะเบียนรถที่นิยมจะเป็นไปในลักษณะให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้มากกว่า ไม่เป็นตามตัวอักษรว่าอ่านแล้วจะเพราะหรือไม่เพราะไม่สำคัญ ขอแค่ให้อ่านดูแล้วไม่ทำให้เจ้าของรถดูไม่ดี อย่างเช่นหมวดตัวอักษรแบบ ตด, ศพ หรือที่พ้องเสียงอย่าง สบ ซึ่งสื่อความหมายในทางไม่ดีอย่างนี้เราจะไม่ปล่อยออกไป"
อย่างไรก็ตาม ตัวอักษรก็มีความสำคัญรองลงมาจากเลขทะเบียนรถ ตัวอักษรอย่าง ษษ หรือ ศศ จึงเป็นกลุ่มตัวอักษรยอดฮิต เนื่องจากอ่านแล้วไปพ้องเสียงกับคำว่า ส.ส. ซึ่งฟังดูเท่ เพราะฉะนั้นในหมวดตัวอักษรเบิลแบบนี้จะมีคนเข้ามาประมูลเยอะ เมื่อดีมานด์มาก แต่ซัปพลายมีจำกัด ทำให้ราคาก็เขยิบสูงขึ้นไปตามความต้องการ
แสดงให้เห็นว่าความเชื่อเรื่องตัวเลขและตัวอักษรอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างเหนียวแน่นยาวนาน ถึงแม้ว่าความเจริญจะเข้ามามากเพียงใด ความเชื่อดังกล่าวก็ยังสามารถผสมผสานไปได้กับสภาพการณ์ทุกยุคสมัย
สุดท้าย ไม่ว่าตัวเลขหรือตัวอักษรจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากการกระทำของเราเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็น และยอมรับมันหรือไม่เท่านั้น