หากสามารถย้อนวันเวลาด้วยเครื่องไทม์แมชีน...เราจะพบว่าหนึ่งศตวรรษก่อน(พ.ศ.2448)มีนักเขียนอุบัติขึ้นในสยามประเทศถึง 4 คนในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งต่อมาพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี นักเขียนอาวุโสของวงการวรรณกรรมไทยยุคปัจจุบันเรียกว่า "หัวเชื้อ" หรือต้นแบบของนักเขียนไทยรุ่นต่อมา
17 กุมภาพันธ์ วังบ้านหม้อ พระนคร "ม.ล.บุปผา นิมมานเหมินท์" (ดอกไม้สด) .. 31 มีนาคม หัวลำโพง "กุหลาบ สายประดิษฐ์" (ศรีบูรพา) ... 21 มิถุนายน พระนครศรีอยุธยา ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม) ...12 พฤศจิกายน เชิงสะพานเทเวศร์นฤมิตร วังราชบุรี "หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง"
ชั่วชีวิตของสามสุภาพบุรุษและหนึ่งสุภาพสตรี ได้เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการวรรณกรรมไทยเอาไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังอย่างยิ่งใหญ่ยากจะมีใครเทียม
กุหลาบ สายประดิษฐ์ - ม.จ.อากาศดำเกิง
น้อยคนนักในสยามประเทศที่ทราบว่า กุหลาบ สายประดิษฐ์ คือคนที่ก่อตั้งสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาคมทางวิชาชีพของคนทำหนังสือพิมพ์ ท่ามกลางบรรยากาศอำนาจนิยมช่วงกึ่งพุทธศตวรรษ (พ.ศ.2500) ของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม 2
น้อยคนนัก ที่จะทราบว่าเขาคือเจ้าของประโยคอมตะของลูกแม่โดมที่ว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" ที่บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทั้งจริงและปลอมรุ่นหลัง นำมากล่าวอ้างอุดมการณ์ของตนโดยไม่เคยสนใจว่ามีต้นตอและที่มาอย่างไร จากใคร และเหตุการณ์ใดเป็นตัวกำเนิดคำๆ นี้ขึ้น และ ฯลฯ ที่สังคมไทยยังไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับ "สุภาพบุรุษ" นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ผู้นี้
กุหลาบ สายประดิษฐ์ เจ้าของนามปากกา "ศรีบูรพา" มีประวัติชีวิตที่เล่าสามวันสามคืน ก็คงไม่สามารถจาระไนสิ่งที่เขาทำได้หมด แต่โดยสังเขปคือเขาเกิดที่หัวลำโพง กรุงเทพฯ เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนเทพศิรินทร์ ช่วงมัธยมได้เรียนร่วมสำนักกับหม่อมเจ้าอากาศดำเกิงฯ นักเขียนอีกท่านที่มีชีวิตโลดโผนไม่ต่างกัน
ม.จ.อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ เป็นโอรสองค์ที่ 6 ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ฯ ซึ่งคนเรียนนิติศาสตร์รู้จักกันดีว่าเป็น "บิดา" แห่งกฎหมายไทย ท่านศึกษาขั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่ออายุ 13 ปี ก็เกิดสภาวะ
"บ้านแตก" เพราะพระบิดาสมรสใหม่ และมารดาของท่านถูกส่งกลับไปอยู่บ้านสวนที่ตำบลบางจากริมน้ำเจ้าพระยาอยู่พักหนึ่ง หลังจากพระบิดาไปสวรรคตที่ปารีส ม.จ.อากาศดำเกิง จึงได้กลับมาอยู่ที่วังราชบุรีและศึกษาต่อที่โรงเรียนเทพศิรินทร์
ที่นี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของสองนักเขียนซึ่งเริ่มทำหนังสือด้วยกันตั้งแต่มัธยม 4-7 แปลบทความลงหนังสือพิมพ์กันเป็นว่าเล่น สำหรับศรีบูรพา พูดง่ายๆ ว่าเขาอ่านภาษาอังกฤษแตกกระจุยมาตั้งแต่เข้าเทพศิรินทร์ ขณะที่ท่านอากาศฯ การแปลเรื่องจากภาษาฝรั่งเศสเป็นขนมกรุบ ดังตัวอย่างที่ปรากฏเรื่องแปลจากต่างประเทศคือ "เอนีวา ซองครัวต์" ในหนังสือ "แถลงการณ์ศึกษาเทพศิรินทร์" ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2466
น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ คนรุ่นปัจจุบันรู้จัก "ศรีบูรพา" ในฐานะนักเขียน ผ่านนวนิยายเรื่อง "ข้างหลังภาพ" ขณะที่อาจจะไม่รู้จักเลยว่า "หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง" เป็นใคร
แต่สำหรับคนรุ่นเก่าเขาไม่ได้รู้จัก "ศรีบูรพา" ด้วยนิยาย "ข้างหลังภาพ" เรื่องเดียว หากยังมีบทความ "มนุษยภาพ" (2472) ที่ทำให้พวกเขารู้จักคนชื่อ "กุหลาบ สายประดิษฐ์" ในแง่นักเรียกร้องประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ด้วย เช่นเดียวกับ "ละครแห่งชีวิต" (2472) ที่ทำให้พวกเขารู้จักหม่อมเจ้าอากาศดำเกิงในแง่ของชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตในรั้วในวัง และอาชีพนักหนังสือพิมพ์ที่เปิดโลกให้กับหม่อมเจ้าคนนี้
สองเรื่องนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และโด่งดังเป็นพลุแตก เพราะ "มนุษยภาพ" เป็นบทความที่กล่าวถึงความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ และประชาธิปไตย แสดงจุดอ่อนของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งแน่นอนว่าไปทิ่มผู้ปกครองเข้าอย่างจัง ทำให้ "ศรีกรุง" หนังสือพิมพ์ที่กุหลาบเป็นบรรณาธิการถูกสั่งปิด ขณะที่ "ละครแห่งชีวิต" ของท่านอากาศ ฯ ถูกวิจารณ์ว่านำเรื่องส่วนตัวออกมาตีแผ่ แต่คนส่วนมากก็ติดกันงอมแงมทีเดียว
หากเราจะขออนุญาตเรียกตามภาษาปัจจุบันว่าสองเรื่องนี้เป็นการ "แจ้งเกิด" ของสองนักเขียนสุภาพบุรุษก็คงได้กระมัง
"ศรีบูรพา" สำหรับทัศนะของนักเขียนปัจจุบันหลายท่าน ถือว่ามาจากชนชั้นกลางระดับล่าง ขณะที่หม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ มาจากชนชั้นกลางระดับสูง ทั้งสองเรียนร่วมสำนักเดียวกันในระดับมัธยม หากแต่โชคชะตาก็ทำให้ต่างคนต้องไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ศรีบูรพา เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2486 โดยทำงานหนังสือพิมพ์ไปด้วย ขณะที่ ม.จ.อากาศฯ ไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ไม่จบ ด้วยไม่มีพระทัยใส่ทางกฎหมาย โชคท่านยังดีเมื่อได้เป็นนักเรียนทุนส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ 7 ไปศึกษาต่อสหรัฐอเมริกา แต่เคราะห์ก็กระหน่ำชีวิตอีกครั้ง ต้องล้มเจ็บถึงขั้นผ่าตัดพระเนตร ต้องออกจากการเรียนกลางคันและกลับบ้านมือเปล่า โดยมารับราชการในกองบุราภิบาล กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
นักเขียนบางคนกลั่นงานออกมาจากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์เกือบทั้งชีวิตของเขา ศรีบูรพากับหม่อมเจ้าอากาศฯ ก็คงไม่ต่างกัน คนหนึ่งเขียนงานจากจิตสำนึกที่ถูกหล่อหลอมให้ "รักประชาชน" ขณะที่อีกคนกลั่นงานออกมาจากประสบการณ์ชีวิตตนเองตั้งแต่วัยเด็กที่ลุ่มๆ ดอนๆ ประสบความอยุติธรรมตั้งแต่เยาว์วัย ขาดความรัก ความอบอุ่นจากครอบครัวที่แตกฉาน ด้วยกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ทรงสมรสใหม่ และหม่อมอ่อนมารดากับตัวท่าน ถูกส่งไปบ้านสวนที่สมุทรสงครามจวบจนวัยหนุ่มที่พบภาวะขาลงของชีวิตการศึกษา
หากถามว่างานของสุภาพบุรุษสองท่านนี้สำคัญอย่างไร ก็คงจะต้องบอกว่าหากใช้ภาษาของสมัยนี้คือการ "สั่นสะเทือน" วงการวรรณกรรม
ลองคิดดูว่า งานเขียนของศรีบูรพาที่มีเรื่องของเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ก้าวล้ำยุคสมัยนั้นไปกี่ปี ขณะที่งานของ ม.จ.อากาศฯ ถือว่าเป็นการนำเรื่องของชนชั้นเจ้านายออกมาเขียนด้วยทัศนะของเจ้าด้วยกันผ่านประสบการณ์ชีวิตของตนเองเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะช่วงไปอยู่ต่างประเทศ จึงมีความชัดเจนในรายละเอียด และมีความต้องการขจัดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นออกไป นิยายของท่านได้กลายเป็นตัวจุดประกายให้เกิดนักหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ทั้งสองท่านยังถือเป็นนักเขียนในกลุ่ม "สุภาพบุรุษ" ที่สุชาติ สวัสดิ์ศรี สันนิษฐานว่าศรีบูรพาคงจะแปลคำนี้มาจากคำว่า Gentlemen เพื่อมาใช้เป็นคู่ตรงข้ามกับคำว่า "ผู้ดี" ของเหล่าเจ้าขุนมูลนายก็เป็นได้ และได้ใช้มาโดยตลอดในการทำงานของท่าน
เป็นเรื่องน่าแปลก ที่เมืองไทยคนดีๆ มักจะอยู่ไม่ได้หรือต้องไปพบบั้นปลายชีวิตยังต่างประเทศ ศรีบูรพาเอง ก็ต้องไปจบบทสุดท้ายของชีวิตที่เมืองจีน ขณะที่ท่านอากาศเลือกที่จะไปปิดฉากชีวิตที่ฮ่องกงในปี 2475 ด้วยการเปิดแก๊สฆ่าตัวตาย
ศรีบูรพา ไปอยู่ที่จีนด้วยความจำใจ ขณะกำลังเดินทางเยือนตามคำเชิญของคณะกรรมการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะถ้ากลับมาจอมพลสฤษดิ์ที่เพิ่งทำการปฏิวัติใหม่ๆ (พ.ศ. 2500) ย่อมไม่เอาท่านไว้
สุรพันธ์ สายประดิษฐ์ ลูกชายของเขารำลึกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "ตอนนั้นไม่คิดเลยว่าคุณพ่อท่านจะไม่ได้กลับมา ตอนนั้นคุณพ่อได้รับเชิญจากสมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมระหว่างประเทศของจีนให้ไปเยือน กะว่าจะไปศึกษาดูงานราวๆ เดือนหนึ่ง ระหว่างไปจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ หลังจากนั้นคนไหนกลับจากจีน สฤษดิ์จะถือว่าเป็นคอมมิวนิสต์หมดเลย ผิดกับสมัยนี้ที่ไปจีนกันได้เป็นธรรมดา" ขณะที่ช่วงนั้นตัวเขาเองก็ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในโซเวียต
ในช่วงที่ศรีบูรพาลี้ภัยการเมืองโดยรัฐบาลจีนรับรองอย่างสมเกียรตินั้น ลูกชายคนนี้ก็ติดต่อกับคุณพ่อทางจดหมายและไปมาหาสู่กัน จนกุหลาบจากโลกนี้ไป สุรพันธ์จึงได้กลับมาเมืองไทย "คุณพ่อท่านได้รับการต้อนรับอย่างดี มีคิดถึงบ้านบ้างแต่ท่านก็ไม่บ่น แต่เวลาบันทึกท่านจะเขียนว่าจากบ้านไป แล้ว 1,100 วัน เขียนไปเรื่อยๆ คุณพ่อผมถือว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์เต็มที่ อย่างสมัยที่ถูกขังในเมืองไทยท่านเพิ่งจบธรรมศาสตร์ เป็นทนายให้ตัวเองและเพื่อนๆ ร่วมคดี อยู่ในบางขวางก็เขียนหนังสือหลายเรื่อง"
สุรพันธ์เล่าชีวิตช่วงสุดท้ายของคุณพ่อก่อนเสียชีวิต (16 มิ.ย. 2517) ว่า "ท่านไม่ได้สั่งเสียอะไรมากมาย แต่มีความยินดีกับชัยชนะของประชาชนใน 14 ตุลาคม 2516 เพราะคุณพ่อท่านเรียกร้องมาตลอดชีวิตของท่าน ผมภูมิใจที่พ่อเป็นคนดี มีความซื่อตรงยืนหยัดข้างประชาชน ในการเขียนงานท่านก็ทำอย่างมีศิลป์จะมีการตรวจทานงานละเอียดมาก"
"สมัยผมเด็ก ท่านจะมีการสอนอ้อมๆ พ่อไม่สอนโดยตรง คำสอนจะแทรกในการคุยกัน เวลานี้หนังสือของพ่อยังคงมีการตีพิมพ์ ผมหวังว่าในโอกาสที่ยูเนสโกยกย่องคุณพ่อ จะทำให้มีคนอ่านหนังสือของศรีบูรพามากขึ้น มีคนรุ่นใหม่สืบทอดสิ่งที่คุณพ่อทำต่อไป มีนักเขียนหนังสือดีๆ มีนักหนังสือพิมพ์ที่ยืนเคียงข้างประชาชน"
ขณะที่ท่านอากาศฯ ตัดสินใจไปเกาะฮ่องกงก่อนหน้านั้น (2475) ด้วยมรสุมชีวิตส่วนตัวโดยเฉพาะเรื่องรักประกอบกับปัจจัยภายนอกอีกหลายๆ อย่าง (มีหลายคนบอกว่าชีวิตท่านเหมือนนิยาย เป็นเจ้าตกยาก)
งานของกุหลาบ สายประดิษฐ์ และหม่อมเจ้าอากาศฯ ทั้งหมดไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ถือว่าเป็นการบุกเบิกแผ้วถางทางให้กับนักเขียนไทยรุ่นหลัง ทั้งแนวคิด อุดมการณ์ ฯลฯ
"ไม้ เมืองเดิม" - ด้วยชีวิตและวิญญาณ
หากถามถึงนิยายแนว "ลูกทุ่ง" นวนิยายแนว "อิงประวัติศาสตร์" ของเมืองไทยแล้ว หนึ่งในต้นธารที่สำคัญย่อมหนีไม่พ้นชายชื่อก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา คนนี้
ชีวิตของเขาเรียกได้ว่าถอดแบบนักเขียนระดับคลาสสิกมาอย่างเต็มรูปแบบ ช่วงเล่าเรียนที่วัดราชบพิธนั้นก็เกขนาดหนัก หนีโรงเรียนกันจนไม่กล้าเจอหน้าครู แต่พอสมัยหนุ่มก็กลับรักการอ่านหนังสืออย่างหนักจนเพื่อนๆ กลัว โดยเฉพาะความแตกฉานในเรื่องประวัติศาสตร์ โคลงกลอน รวมถึงพระราชนิพนธ์ทุกเล่ม
เหม เวชกร ถึงกับกล่าวเอาไว้ว่า "...หนังสือที่มนุษย์อื่นวางทิ้งเบื่อหน่ายชืดชา ท่านผู้นี้ก็อ่านได้..." และพื้นฐานตรงนี้แหละ ที่ทำให้ ไม้ เมืองเดิม เขียนงานแนวลูกทุ่งอิงประวัติศาสตร์ออกมาอย่างไหลลื่นไม่ติดขัด ลองไปอ่าน "ขุนศึก" นวนิยายเรื่องเอกของเขาในตอนที่ อ้ายเสมาท่องตำรับพิชัยสงครามนั่นแล จึงจะเข้าใจในความปราดเปรื่องเรื่องประวัติศาสตร์และพงศาวดารของท่านผู้นี้
แม้กระทั่งนามปากกา "ไม้ เมืองเดิม" ก็ยังถูกตั้งขึ้นมาในปี 2478 อย่างแยบคาย เพราะคำว่า "ไม้" แปลงไปจาก "ก้าน" อีกคำก็แทบไม่ต้องเดา เพราะ "เมืองเดิม" ก็คืออยุธยานั่นเองซึ่งมาจากนามสกุล งานเล่มแรกๆ ของเขาคือ "เรือโยงเหนือ" กับ "ห้องเช่าเบอร์ 13" ขายไม่ออก ไม่มีผู้พิมพ์คนไหนซื้อ แต่ก็โชคดีที่เขาแนวแน่ และมั่นใจในความสามารถของตนเองผลิตงานเขียนต่อมาอย่างไม่ย่อท้อ
ผู้เขียนเคยอ่านเจอข้อเขียนของเหม เวชกร ที่เล่าเอาไว้อย่างสังเขปว่าถึงกับเปิดโรงพิมพ์เพื่อสนับสนุนการทำงานเขียนของไม้เมืองเดิมด้วยความรักเพื่อนและงานเรื่องแรกๆ ก็โดนต่อว่ามากมายจนในที่สุดไม้ถึงกับคิดจะหนีเข้าป่า
เย็นวันหนึ่งขณะที่เพื่อนรักสองคนนั่งปรับทุกข์และปลอบใจกันกลางทุ่ง ไม้ เมืองเดิม เหม่อมองออกไปแล้วก็ตบขาตัวเองฉาดใหญ่แล้วพูดทั้งร้องไห้ "กูไม่ตายแล้วมึงเอ๋ย กูพบทางแล้ว" หลังจากนั้นไม่นาน "ไม้ เมืองเดิม" ก็แจ้งเกิดอย่างยิ่งใหญ่กับนิยายเรื่อง "แผลเก่า"
สิงห์สนามหลวง บอกว่า ความมหัศจรรย์ของ ไม้ เมืองเดิม นักเขียนผู้ซึ่งเขาติดงอมแงมสมัยเด็กก็คือช่วงอายุและเวลาที่เขาทำงานเขียนอยู่บนโลกใบนี้ "ไม้ เป็นคนมหัศจรรย์มาก มีอายุแค่ 37 ผลิตงานมากมาย เรื่องนี้ต้องถามคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ผมรู้จักไม้ เมืองเดิมในฐานะที่ว่าพอพูดถึงมึง กู การละเล่นชาวบ้าน มันรู้สึกใกล้ตัว ถ้าผมอ่านงานของกุหลาบ ช่วงอายุ 12-13 ก็คงจะไม่เข้าใจเท่ากับอ่าน ไม้ เมืองเดิม โดยสำนวนภาษา ถ้าพูดแง่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ไปอ่านที่สุจิตต์เขียนเขาจะบอกว่าไม้รู้ประวัติศาสตร์ รู้พงศาวดารสมัยพม่าตีไทย ไม่ว่าคุณจะอ่านเพื่ออะไร มันคงให้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยในแง่สำนวนภาษาและสิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีจริงและสูญหายไปแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับสภาพคลองแสนแสบที่น้ำใส อ้ายขวัญกับอีเรียมมาจีบกัน เมื่อคนพูดถึงไม้เมืองเดิมก็จะถวิลหาสิ่งที่ผ่านมาแล้ว"
พื้นที่ตรงนี้อาจจะไม่เพียงพอเล่าเรื่องราวของเขาได้ทั้งหมด แต่อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงความเป็นนักเขียนอย่างแท้จริงในตัวไม้ เมืองเดิม คือคำของเหม เวชกร "...ท่านผู้นี้มีชีวิตถ่ายแบบนักเขียนโบราณไว้เป็นพิมพ์เดียว...การเงินมักขาดๆ แคลนๆ จะเอาตัวไม่รอดอยู่เสมอ ทั้งนี้เป็นด้วยเจ้าตัวใจใหญ่ รักเพื่อนฝูงเป็นนิสัยเดิมมาแต่อายุน้อย แววอันนี้เป็นแววนักเลง..." ดังนั้นชีวิตเขาจึงลุ่มๆดอนๆ เสมอมาจนในที่สุดการติดสุราก็ทำให้สุขภาพทรุด
แต่ถึงแม้จะล้มเจ็บอย่างไรก็ตาม ไม้ เมืองเดิม เขาก็นอนซมอยู่บนเตียงเขียนงานออกมาจนได้ แม้จะต้องใช้ผ้าพันนิ้วระงับอาการเจ็บก็ตาม "จนมาตอนหลังโรคหนักผ่ายผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก จะนั่งเขียนก็ไม่ไหว จึงมีเพื่อนฝูงบางคนที่รักใคร่มาสมัครเขียนให้ โดยเจ้าตัวเป็นผู้นอนบอกด้วยปาก...ทั้งๆ ที่นอนแบบอย่างนั้น ก็ต้องดื่มสุราเป็นยาหล่อเลี้ยงโรค ด้วยว่าโลหิตในร่างกายจะหยุดสูบฉีดอยู่แล้ว หากใช้สุราพอเป็นกำลังสูบฉีดเลี้ยงประสาท ...ทุกๆ คำทุกๆ เรื่องของเขานั้นได้กลั่นกรองออกมาจากคนพิการที่คล้ายซากศพ...ในยุคสงคราม(โลก)..ได้ไปเยี่ยมรู้สึกตื้นตัน ร่างแห้งๆ นอนอยู่กับที่นอนพูดพล่อยๆ ด้วยสำนวนดุเดือดตามเค้าเรื่องของเขา"
หลังจากนั้นเหมไปเยี่ยมเขาอีกครั้งภาพที่ติดตรึงใจเขาที่สุดก็คือ ท่ามกลางลูกระเบิด "เจ้าตัวมิได้ขยับขยายหรือย้ายหนีไปไหนเลย คงทำงานอยู่อย่างนั้นกับภรรยาคู่ยาก จนถึงวันสิ้นลมสงบบนที่นอนทำงานมาตั้งแต่ล้มเจ็บ (4 มี.ค. 2485) ภาพนี้ติดตาผู้เขียนยิ่งนัก...เป็นภาพที่เจ้าตัวกำลังนอนบอกเรื่องแก่ภรรยาบนที่นอนผืนที่สิ้นชีวิตกับสมบัติข้างๆ ตัวเขา คือทั้งหมดที่มีอยู่ พร้อมด้วยในเงามืดทางเบื้องหลังเขาคือบุตรีน้อย (ศรีสุพา) อายุ 12 ปี นอนหลับอยู่ใกล้"
เขียนจนตัวตายเช่นนี้ใครจะกล้าปฏิเสธว่าไม้ เมืองเดิม ไม่ใช่นักเขียนทั้งหัวใจและวิญญาณ...
ดอกไม้สด - ภาพสะท้อนของผู้หญิง
"ดอกไม้สด" เป็นนามปากกาของ ม.ล.บุปผา นิมมานเหมินท์ ท่านจบการศึกษาระดับมัธยม 8 ด้านภาษาฝรั่งเศสจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ เริ่มเส้นทางการประพันธ์จากบทละครเรื่อง "ดีฝ่อ" ตีพิมพ์ในหนังสือ "ไทยเขษม" จากนั้นเขียนนวนิยายเรื่องแรก "ศัตรูของเจ้าหล่อน" ซึ่งได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี
ในงานของดอกไม้สด ได้ให้ภาพของมารดาชนชั้นสูงซึ่งมีหน้าที่อบรมเลี้ยงดูลูกจนแต่งงานออกเรือนไป และยังให้ภาพของมารดาที่มีลักษณะเป็นเพื่อนของลูกด้วย โดยสามารถรับฟังลูกได้ทุกเรื่อง นอกจากนี้ในงานบางเล่มของเธอยังให้ภาพของภรรยาที่แหวกกฎเกณฑ์ประเพณีเดิมโดยไม่อยู่ภายใต้สามี สิ่งเหล่านี้ในสมัยนั้นล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น
ความสำคัญของงานประพันธ์ที่ดอกไม้สดสร้างขึ้นนั้นคือ การที่ตัวเธอเป็นนักเขียนรุ่นแรกที่ให้ความสำคัญกับตัวละครฝ่ายหญิงมาก ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าลึกๆ แฝงไปด้วยความตั้งใจเรียกร้องเสรีภาพของสตรีผ่านงานเขียน ในยุคที่สังคมยังไม่มีองค์กรสิทธิสตรีใดๆ เกิดขึ้นเลย
ดอกไม้สดถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวาย ณ บ้านพักสถานทูตไทยประจำกรุงนิวเดลี เมื่อ 17 ม.ค. 2506
สังคมแห่งการเรียนรู้
รัฐบาลบอกว่าสังคมไทย ต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ แต่ตัวรัฐบาลเองก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
และเมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจ รัฐบาลไทยก็บิดเบือน เลอะเลือนขนาดหนัก ถึงขั้นให้งบประมาณกับกิจกรรมการประกวดนางงามไร้สาระถึง 260 ล้าน
ขณะที่อีกด้าน ก็เขี่ยงบประมาณเรื่องการฉลอง และทำกิจกรรมทางปัญญาซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทยในเรื่องการฉลอง 100 ปี 4 นักเขียน เพียง 5 ล้าน!!!
ขอยืนยันในที่นี้ว่า เราต้องสร้างชาติด้วย "ปัญญา" ไม่ใช่ "ขาอ่อน"
และเหตุการณ์ข้างต้นแสดงถึงระดับสติปัญญาของชนชั้นนำบ้านเราขณะนี้ได้ดี...
* สุชาติ สวัสดิ์ศรี ฝากข่าวประชาสัมพันธ์งานชุมนุมช่างวรรณกรรมประจำปีที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ วันเสาร์ ที่ 30 เมษายน ตั้งแต่ 12.00 - 20.00 น.ขอเชิญประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานดังกล่าว ในงานจะมีการจัดกิจกรรม "ร้อยปีกุหลาบ สายประดิษฐ์ ร้อยปี '4 นักเขียนไทย' " ผ่านการอ่านกลอน และกิจกรรมต่างๆ มากมาย