xs
xsm
sm
md
lg

เพลงบ้า - คนเพี้ยน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คนหนึ่งชื่อ "ปฐมพร ปฐมพร" ผู้ชายที่ประกาศตนเองว่าเขาตายไปแล้ว ตายเพื่อเกิดเป็น "พราย"

อีกคนชื่อ "ริค วชิรปิลันธ์ โชคเจริญรัตน์" ผู้หญิงที่ใครๆ หลายคนมองว่าเธอคือเจ้าแม่กาลีเป็นผู้ทำลาย

ไม่ใช่เพียงแค่งานเพลงที่เธอและเขาทำเท่านั้นที่ถูกวิจารณ์ว่าบ้าบอ

หากแต่เป็นตัวตนและการกระทำของทั้งคู่ก็ถูกสังคมตัดสินว่าเพี้ยนด้วยเช่นกัน

บทสัมภาษณ์ถึง "แนวความคิด" และ "ความรู้สึก" ของทั้งคู่ต่อไปจากนี้คงจะไม่สามารถลบภาพของการเป็น "คนเพี้ยน" ออกไปจากสายตาคนทั่วไปได้(เพราะนั่นไม่ใช่จุดประสงค์)แต่อย่างน้อยๆ ก็คงจะทำให้ใครหลายคนเห็นและเข้าใจถึงความ "เป็นจริง" ในบางสิ่งบางอย่างที่ทั้งคู่ทำมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่วงการเพลงของบ้านเราเต็มไปด้วย "การค้า" การโฆษณา การขาย "แบบฟอร์ม" มากกว่าเนื้องานที่แท้จริงยิ่งขึ้นไปทุกวันๆ เช่นนี้


ตัวตนและหนทางของ "ริค วัชรปิลันธ์"

ต่อให้เอาเนื้อเพลงของผู้หญิงคนนี้มาออกกาง แต่เชื่อเถอะว่ายากยิ่งหลือเกินที่จะหาใครจะมาร้องเพลงของเธอได้

หรือถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเรียกกันว่าเป็นการสวดกันซะมากกว่า

"ถ้าถามว่าเริ่มที่จะชอบเรื่องของศาสนาอะไรตอนไหนก็น่าจะประมาณ ป.5 - ป.6 คือ มันเริ่มจากที่ว่าตนเองเกิดราศีพิจิกเนี่ยก็อยากจะรู้ว่าตัวตนเองเป็นอย่างไร แล้วก็สงสัยว่าทำไมต้องมีธาตุต่างๆ ด้วย เช่นพิจิกเป็นธาตุน้ำแต่ทำไมไม่เห็นใจเย็นเลย ทำไมตัวเองเหมือนไฟ"

"ทำให้สงสัย ก็อยากจะรู้ จากนั้นก็เริ่มที่จะสนใจเรื่องดวงดาว พัฒนาไปเรื่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เลื้อยไปอันอื่นมากขึ้นเหมือนเชือก เหมือนสิ่งเหล่านี้มันเชื่อมโยงกันเองจนไปถึงเรื่องของศาสนาก็อยากจะรู้ว่าศาสนาคริสต์คืออะไร ทำไมวงนูโวเขาถึงห้อยไม้กางเขน มันดีอย่างไร แล้วเพื่อนๆ บางคนก็ใส่ด้วยความเท่ห์ ซึ่งริคจะเป็นคนที่แบบว่าก่อนจะเท่ห์หรือจะหยิบอะไรมาใส่ก็ต้องรู้จักมันก่อนว่ามันคืออะไร ริคเป็นคนที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรลงไปโดยที่เราไม่รู้จักได้ แบบว่าไม่รู้แต่ก็ทำอย่างนี้มันไม่ใช่นิสัยของเรา"

ย้อนกลับไปในอดีต จากที่เริ่มชอบการร้องเพลงแบบจริงๆ จังๆ ระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำที่จังหวัดราชบุรี(ไปเรียนเพราะอยากรู้เรื่องศาสนาคริสต์)ต่อมาเจ้าตัวก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประกวดดนตรีในโครงการ "เป็ปซี่ มิวสิค เฟสติวัล" ก่อนจะได้รับการชักชวนจาก "สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์" จากค่ายเบเกอรี่ มิวสิคให้เข้าร่วมในสังกัด

หลังจากนั้นอัลบั้มชุดที่ชื่อว่า "ปฐม" ของเธอก็ออกมาชนิดที่ทำเอาวงการเพลงต้องอึ้ง

ทั้งในเรื่องของปก เนื้อหาของเพลง ที่สำคัญด้วยการร้องราวกับการท่องคาถาหรือบทสวด บวกกับสิ่งที่เธอเป็นทั้งในเรื่องของการนับถือเจ้าแม่กาลี การแต่งตัวที่เหมือนกับแม่มด การสักตามร่างกาย การเจาะจมูก การสนใจหมกมุ่นในเรื่องของศาสนา เรื่องของโลก การค้นหาตัวตนภายใน ต่างๆ เหล่านี้ทำให้หลายคนพร้อมใจกันฟันธงว่าผู้หญิงคนนี้เพี้ยน

"ตอนนี้เป็นพุทธ แต่เป็นพุทธเหมือนมหายาน จริงๆ แล้วก็ยังนับถือฮินดูอยู่ด้วย แต่ริคว่า ริคก็นับถือพระพุทธเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นที่อยู่ตรงกลางก็น่าจะเป็นมหายาน ก็คือในวัชรญาณ เหมือนในเนปลเหมือนในธิเบตก็คือจะนับถือพระผู้เป็นเจ้าด้วย แล้วก็นับถือพระอวโลกิเตศวรด้วย"

"คือเพราะว่าจริงๆ ที่เข้าไปเพราะว่าส่วนใหญ่ริคจะเน้นถึงเรื่องของการใช้เสียง คือการกำเนิดพยางค์ ตัวอักษรเทวนาตีอย่างคำว่าโอมอย่างนี้ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับการใช้เสียงที่ริคร้อง การสวดมนต์ด้วย อย่างเวลาพระทิเบตมาเมืองไทยก็จะได้รับจากตรงนั้น ริคสนใจในพยางค์ ในเรื่องของเสียงซึ่งในตรงนั้นก็มีวิธีของคนที่ใช้เสียงได้ด้วยเหมือนกัน คือเหมือนกับใช้เสียง จนวันนึงเสียงนั้นจะไม่มี กลายเป็นความเงียบสงบ สุดท้ายก็กลายเป็นไร้รูป"

ว่างเว้นจากงานเพลงชุดแรกมานานกว่า 7 ปี ล่าสุดในตอนนี้นักร้องสาวคนนี้ก็มีงานใหม่ออกมาแล้วในชื่อ "ราสมาลัย" ที่จะแบ่งออกเป็นสองภาค คือ "Dark" และ "Light" ซึ่งถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทสวดแต่อย่างไร ทว่าหลายคนก็ยังรู้สึกว่าฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี

"ชุดแรกริคอยากทำให้คนศรัทธากอ่น แต่พอมาชุดนี้ริคก็อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองจะทำไม่เกี่ยวข้องกับตรงนั้น เหมือนกับแบบจบไปแล้ว นี่คือเริ่มต้นใหม่ ชุดนี้มันเป็นการสื่อเรื่องออารมณ์มากกว่าที่จะใช้ในการสวดมนต์อันที่แล้วก็ไม่เล่นแล้ว"

"ริคอยากให้คนฟังเพลงริคที่เมโลดี้ที่ไม่เกี่ยวกับนื้อเพลง ก็คือฟังวิธีที่ริคใช้เสียง ใช้อารมณ์ มาฟังเรื่องอารมณ์ในการสื่อมากกว่าที่จะฟังเนื้อหา เพราะเนื้อหามันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของริคอยู่แล้ว"

"เพลงของริค ริคอยากให้ทุกคนใช้หัวใจฟัง เพราะว่าริคใช้ในหัวใจในการร้อง คือริคเปิดให้ลูกริคฟัง ก็ฟังได้ เปิดให้นักเรียนโรงเรียนอนุบาลก็ฟังแล้วก็เต้นได้ หมายความว่าไงก็หมายความว่าต้องไม่มีอคติ แสดงว่าเด็กยังไม่มีการรู้จักอคติ แต่ทีนี้พอโตขึ้นมาคนเราจะมีอคติคติ พอมองเห็นจะไม่ชอบแล้ว พอฟังไม่รู้เรื่องก็อคติแล้วไม่ฟังเมโลดี้แล้ว ไม่ฟังวิธีการร้องแล้ว ไม่มองว่าเป็นนักร้องแล้วจะมองว่าเป็นอะไรที่ประหลาด เพี้ยนหรือบ้าก็แล้วแต่เขา..."

เวลาถูกคนมองว่าเพี้ยน?

"นั่นปัญหาทางสมองคนอื่น ริคก็ไปห้ามคนอื่นคิดว่าริคเพี้ยนไม่ได้ แต่นั่นมันคือการที่เขาแค่มอง เขาไม่เคยคุยกับริคไงคะ ขนาดคนที่รู้จัก พ่อแม่พี่น้องในบางมุมเขายังไม่รู้จักเราเลย เพราะฉะนั้นริครู้สึกว่าริคไม่เอาเรื่องนี้มาให้รกสมอง เพราะริคคิดไปแล้วริคไม่รู้ว่าจะได้อะไรขึ้นมา เพื่ออะไร เพื่อรู้สึกว่าเราเท่ห์หรือ"

"ริคคิดว่าตอนนี้ริคเจอหนทางที่ริคพอใจคือเรื่องของการใช้เสียง แต่ไม่ได้แบบว่าริคตรัสรู้ ริคไม่ได้แปลว่าริคสิ้นสุดแล้วในชาตินี้ไม่ได้หมายความว่างั้น ริคยังคงต้องดำเนินต่อไปเพราะว่าริครู้สึกว่ามันยังมีอะไรมากมายที่ริคอยากจะเรียนรู้ จากสิ่งที่ต้องการอีกมากมายแต่นี่เป็นสิ่งนึงที่มันเป็นตัวริค อย่างอื่นริคก็ยังเป็นแม่คน ริคก็ยังไปอัดเพลงโฆษณาเพื่อที่จะทำมาหากิน คืออย่าได้มองว่าริคต้องเพี้ยนขนาดไม่ทำอะไร"

หลายคนนึกภาพไม่ค่อยออกมาว่า "ริค วชิรปิลันธ์" จะเป็นแม่คนแบบไหน?

"แม่ของริคไม่ได้แปลว่าต้องเสียสละแบบว่าทุกอย่างในความเป็นตัวเองทิ้งไปให้เขาหมดนะ เพราะว่าริคถือว่าริคมีหน้าที่เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเขาก็คือส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้แปลว่าลูกจะต้องมาทำให้ริคอดทำในบางอย่างที่ริคเป็นตัวเอง"

"เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องให้เกียรติริคในสิ่งที่ริคเป็น เช่น จะมาสั่งเหมือนกับว่าริคมีลูกต้องอดเล่นดนตรีทำอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ได้เลย ไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าคุณกับชั้นวันนึงมาเจอกัน แล้ววันนึงก็ต้องจาก ชั้นก็มีหน้าที่ส่งให้คุณเติบโตขึ้น แต่คุณก็ต้องใช้ชีวิตของคุณ เป็นตัวของคุณแล้วก็สามารถดำเนินชีวิตของตัวเองได้โดยที่วันหนึ่งชั้นเป็นแค่คนอื่นไป แล้วก็ดูแลคุณไปตลอดชีวิตไม่ได้"

ทำไมถึงทำเพลงแบบธรรมดาไม่ได้?

"ร้องแบบธรรมดาก็ร้องได้ เพียงแต่ริครู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องให้คนรู้ก็ได้เพราะว่ามันง่าย มันไม่ท้าทาย แต่แบบนี้ริคสนุกกับการใช้เสียงของริคมากกว่า"

"คนฟังไม่เยอะบั่นทอนมั้ย มันไม่ถึงกับใช้คำนี้ มันเหมือนกับว่าเออ คนมันไม่ฟังว่ะ มันไม่เก็ตว่ะ ก็จะมาคิดแค่นี้ แต่ไม่เสียใจอะไร เพราะมันก็จริง เนื่องจากมันมีเหตุผลปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่มันไม่ใช่ความผิดเรา มันไม่ใช่ความผิดของคนฟังมันก็แค่รสนิยมที่มันไม่ตรงกันเท่านั้นเอง"

พูดถึงวงการเพลงบ้านเราหน่อย?

"พูดรวมทั้งหมดก็คือมันเป็นเรื่องของธุรกิจ คือถ้าภาพไม่ออกมาก่อนก็คนก็จะไม่จดจำมันไม่ได้เพราะว่าเสียมันก็คล้ายกันหมด มันจะต่างกันไม่มากนิดๆ หน่อยๆ"

"มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งริครู้ว่าที่เขาพูดเขาคงไม่ได้คิดแบบว่าไม่ดีหรือว่าอะไรหรอก คือท่านบอกริคว่า ริคน่าจะทำอะไรที่มันเป็นแบบว่าเปลือกๆ บ้าง แค่แบบว่าผิวเผินก็พอ เพราะว่าบ้านเราไม่มีใครเข้าใจถึงสปริตที่ริคทำ ไม่เข้าใจว่าทำไมริคถึงรู้สึกแบบนี้ ทำไมคนเราถึงไม่ยอมที่จะลองฟังดนตรีที่แตกต่างบ้าง ไม่ต้องอยู่แบบเดิมๆ ความรู้สึกแบบเก่าๆ คือสิ่งที่ริคทำมันไม่ได้ประโยชน์อะไรกับที่นี่"

"แต่ริคก็บอกว่า ชุดต่อไปหนูอาจจะอีกแบบนึงก็ได้ แต่ตอนนี้หนูพอใจกับที่มันเป็นแบบนี้ แล้วหนูก็รู้สึกว่าหนูได้เจอสิ่งที่หนูเป็น หนูภูมิใจกับมันมาก เคยมีน้องบางคนมาบอกว่าชอบริคมาก ก็มาบอกว่าหนูอยากจะมาเป็นนักร้องมาก แต่หนูไม่มีลุกน่ะค่ะ"

"อือ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากนะ คิดดูสิขาอยากเป็นนักร้องแต่เขาห่วงเรื่องภาพ เขาไม่ได้บอกว่าหนูจะทำอย่างไรจะร้องได้ดี หนูควรจะทำอย่างไรกับเสียงหนู หนูควรจะรู้จักเสียงและความเป็นตัวเองในเสียงของหนูได้อย่างไร เขาไม่พูดเลย"

คิดว่าตัวเองมีพลังวิเศษมั้ย?

"ไม่คิดเลย ริคคิดว่าทุกคนมีหมดแต่ช่วยไม่ได้ถ้ายังต้องอยู่ในสังคมลักษณะแบบนี้ ถ้ายังอยู่ในระบบของทุนยิยมหรือว่าอะไรอย่างนี้ก็ไม่มีใครเจอพลังวิเศษอะไรหรอก"

"จริงริคว่ามันก็มีทุกคนเรานั่นแต่เราลืมมันไป ก็คือความสมถะ คือไอ้พลังพิเศษก็คือความสมถะ ืที่ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น แบบพอเพียงนั่นแหละคือพลังวิเศษ พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็น พัฒนาในสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตในวันต่อไปๆ ได้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานแต่เกี่ยวข้องกับตัวเองทั้งอารมณ์และความรู้สึก"

จักรวาล ของ 'ปฐมพร ปฐมพร'

ด้วยเนื้อหาและคำร้องของบทเพลงที่เขาแต่ง ทำให้เขาถูกตราหน้าว่า ลามก,ถ่อย

จากถ้อยคำและความคิดที่อยู่ในบทเพลง ทำให้คนอื่นมองเขาว่าเป็นคน โรคจิต,บ้า

และจากอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างที่เขาทำ ทำให้หลายคนมองว่า เขาสร้างภาพ

กับนักร้องที่ชื่อ พราย ปฐมพร ปฐมพร ผู้ชายที่ใช้สีคาดหน้าเดินเข้าไปในบริษัทเทปเพื่อขอทำงานเพลงโดยไม่แคร์สายตาว่าใครจะมอง ผู้ชายที่แก้ผ้าเพื่อทำโปสการ์ดจนกลายเป็นข่าวครึกโครม ผู้ชายที่ถ่มน้ำลายรดหน้าตนเอง ฯ และผู้ชายที่เคยประกาศออกมาว่า "ผมตายไปแล้ว ผมตายเป็นพราย"

"เรื่องเกิด ...ถ้ากับคนอื่นจะบอกว่าเป็น..คนชลบุรี เกิดที่ชลบุรีนะ เพราะว่าย้ายตามพ่อตามแม่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว คุณแม่เป็นคนพิจิตร พ่อเป็นคนอยุธยา แต่ในความเป็นจริง จริงๆแล้วผมเกิดที่เวียงจันทร์ พอดีพ่อเขาไปทำงานที่นั่นเกี่ยวกับแคมป์จีไอ ทำอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยไปเกิดที่นั่นกับหมอชาวฝรั่งเศส ตอนที่ทหารฝรั่งเศสจะถอนออกไปก็มีแนวโน้มว่าจะได้ไปฝรั่งเศสเหมือนกันแล้วก็ไม่ได้ไป ย้ายกลับมาเมืองไทย ก็กลายเป็นว่าเฮ้ยเราเป็นคนลาวนี่หว่า"

"ตอนแรกๆ ไม่อยากจะบอกใคร คือกลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นปมด้อย แต่ตอนนี้มันน่าภูมิใจ ผมมีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เรียนประถมอยู่ที่อุดร ป 1. เข้าพร้อมกันแต่บังเอิญผมเรียนเก่งกว่าก็เลยเลื่อนขึ้นชั้น ป.2 ก่อน จากอุดรธานีก็ย้ายไปที่นครพนม คือมันย้ายไปมาบ่อยๆ มากๆ แล้วก็มาสัตหีบที่ชลบุรี มาเรียนชั้นมัธยมที่สัตหีบ แล้วก็เข้ามาเรียนที่ ม.กรุงเทพฯ"

เจ้าตัวเล่าความเป็นมาของตนเองก่อนจะแสดงถึงความเป็นตัวของตนเองว่า...

"วันนี้ก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์ผมขออย่างหนึ่งนะ ผมอยากคุยเรื่องปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ลืมอดีตไปซะ..."

พราเริ่มเล่าเรื่องชีวิตของเขาทีละเล็กทีละน้อยนับตั้งแต่ออกอัลบั้มล่าสุดเมื่อหลายปีแล้วนั้น เขาก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม อยู่กับบ้าน ใช้เวลาว่างในการกวาดบ้าน ล้างจาน และใช้ชีวิตตามแนวความคิดของ "กฏจักรวาล" ทุกอย่างยืนพื้นอยู่บนความเรียบง่าย

"ทุกวันนี้ผมตื่นตีสี่เกือบทุกวัน ตั้งแต่ผมพบตัวเองผมก็เลยเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่เรื่องการนอน การพูดคุย เมื่อก่อนนี้หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมเป็นคนรุนแรง ร้องเพลงและแสดงออกก้าวร้าว หลายคนเคลมว่าผมต้องเป็นคนจิตใจเข้มแข็ง แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นสักนิดเดียว ผมสาบานได้ว่าที่จริงแล้วผมอ่อนแอมาก ใจผมอ่อนแอที่สุด อ่อนแอต่อความไวของจิตใจ เพราะใจมันไวยิ่งกว่าแสงเสียอีก เพราะฉะนั้นทุกเช้าที่ตื่นมาผมจะมานั่งฝึกจิตใจของผมให้ช้าลง แต่มีทิศทางที่แน่นอน ผมฝึกจิตเหมือนฝึกฝนร่างกาย เหมือนออกกำลังกายอยากมีกล้ามเนื้อก็ไปเล่นเพาะกาย"

"ฝึกจิตตอนเช้าเสร็จ อาบน้ำกินข้าวเช้าบ้าง สายบ้าง เที่ยงบ้าง ผมไม่ได้ทำงานอะไร ตั้งแต่ออกอัลบั้มล่าสุดมา ก็อยู่อย่างนี้ อยู่ได้ด้วยธรรมชาติของมัน ใช้ชีวิตกับครอบครัว แม่ น้องสาว มีคนรักเราและเข้าใจเรา หลายคนชอบถามผมว่าแล้วเอาเงินที่ไหนกิน ผมก็ได้จากน้องสาว ได้จากเพื่อน จากคนที่รักเรา แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจผม แต่เขาก็จะเอามาให้ อย่างวันนี้ผมมีเงิน 1,000 บาท เติมน้ำมันไป 200 บาทเหลือ 800 บาท แต่ก่อนผมเคยใช้เงินมากกว่านี้นะแต่ตอนนี้น้อยลงใช้ชีวิตธรรมดาขึ้นเพราะเราไม่ได้ดูแลเรื่องเงินเอง"

"ผมไม่กลัวนะว่าใครจะประณามว่าผมไม่ได้ทำงาน แล้วผมก็ไม่ได้ต่อต้านทุนนิยมอะไร ผมแค่เดินทวนโลกแต่ทำตามกฏของจักรวาล"

เมื่อถูกถามว่าเคยคิดเรื่องการมีครอบครัวหรือไม่ พรายบอกกับเราว่าแต่ก่อนเขาเคยสร้างภาพว่าเขาอยากจะมีชีวิตเดียว ตายคนเดียว แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ครั้นพอคิดว่าตนเองจะต้องเข้าพิธีแต่งงาน มีครอบครัว สิ่งนั้นนั้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน?

"ผมเคยสร้างภาพเอาไว้ว่าผมอยากมีชีวิตคนเดียว ตายคนเดียว แต่จริงๆ แล้วมันมีจุดหนึ่งที่คนมารายล้อมเราอยู่ เราก็ต้องเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง แต่สังคมเขาบอกกับเราว่าถ้ามีคนๆ นั้นเข้ามาก็ต้องแต่งงาน มีพิธีกรรมอะไรพวกนี้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่อย่างที่เราต้องการอีก แล้วอย่างสังคมไทยผู้หญิงที่ไหนจะมายอม พ่อแม่เขาก็ไม่ยอมหรอก"

"เราก็คงเป็นของเรา ชาตินี้เราก็คงจะไม่แต่งงาน...เออ เมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงาน จริงๆ เราจะมีสัมพันธ์กับผู้หญิงคนเดียวไหม"

พรายตั้งคำถามกับเราทำให้เราต้องถามไปว่าว่าเขาผูกเอาเรื่องการแต่งงานไว้กับเรื่องเซ็กซ์หรือเปล่า?

"คนที่มีเซ็กซ์กับคุณ คุณเรียกว่าภรรยาไหมล่ะ?...ผมว่ามันแล้วแต่คุณตีความ คือผมเนี่ยอยากจะจริงใจต่อตัวเองมากที่สุด ผมอยากตรงไปตรงมามากที่สุด ผมไม่ได้อยากจะให้สัมภาษณ์เพราะให้ตัวเองดูดีขึ้นหรือว่าเก่งอะไร แต่ผมอยากให้เป็นไปตามความเป็นจริง ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเข้าใจไหม แต่คุณต้องเข้าใจ เพราะบทสัมภาษณ์นี้มันจะสื่อสารกับผู้อ่านได้มันไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ แต่เป็นเรื่องของใจด้วย"

เรื่องเซ็กซ์ ใครอยากจะมีก็มีไปสิ อย่างผมเมื่อก่อนเซ็กซ์คือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขแต่ตอนนี้เราทำแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่ แล้วอีกหน่อยผมอาจจะไม่ได้มีเซ็กซ์อีกก็ได้ เพราะปัจจุบันผมจะใช้ชีวิตทวนโลกแต่ตามกฏของจักรวาล"

คำก็ "กฎจักรวาล" สองคำก็ "กฎจักรวาล" จนเราต้องถามออกไปว่าการดำเนินชีวิตแบบทวนโลกแต่ตามกฎของจักรวาลนั้นมันมีรูปแบบของการดำเนินชีวิตอย่างไรกันแน่?

กฏจักรวาลที่จริงง่าย แต่อธิบายในหน้ากระดาษหรือทางเว็บไซต์ออนไลน์ลำบาก มันเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาว คือทุกวันนี้ผมแค่ใช้ชีวิตอย่างถ่อมตัวอ่อนน้อมกับธรรมชาติ ปฎิบัติกับโลกอย่างคนที่เรารัก ฟังอาจจะน้ำเน่านะ บางคนก็เถียงว่าที่บ้านผมมีกิจการ น้องสาวและแม่ผมมีเงินทองและรวย ก็เลยไม่ต้องสนใจอะไร ผมขอบอกว่าไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องรวยหรือไม่รวย ผมถามคุณหน่อยว่าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งเมื่อพระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย พระองค์ก็รวยใช่ไหม แล้วตอนที่บวช พระองค์อยู่ได้อย่างไร ก็เพราะพระองค์มีธรรมะ ก็เพราะท่านอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งผมก็คิดว่ามันคือกฏจักรวาล ผมอธิบายให้คุณเข้าใจสั้นๆ ได้เท่านี้"

พรายบอกว่าเมื่อก่อนนี้เขาคิดว่ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเองแต่หลังจากที่เวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องไปซะทั้งหมด

"ตอนออกเทปชุดแรกเราจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าการรู้จักตนเองเป็นสิ่งสำคัญมากถ้าเรารู้จักตนเองทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องเป็นราวหมด เราก็เลยพยายามใส่ตัวตนของเราเข้าไปในงาน เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนรุนแรง คนด่ามาเราก็ด่าแรงๆ กลับไป เราเป็นแบบนั้น แต่มาตอนนี้เหมือนกับมองกระจก ผมเพิ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมาเราเข้าใจตัวเองแค่หยาบๆ เราเข้าใจตัวเองแค่ภายนอกเท่านั้น"

"ตอนทำเพลงบางทีเราก็มาคิดว่าเอคุณภาพเพลงของเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร คุณภาพที่ไม่ดีกว่าเราก็มีนี่ แต่ทำไมทุกคนปฎิเสธงานเรา มันต้องมีอะไรแอบแฝง อย่างเช่นเราแต่งเพลงไม่ดัง ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วอยู่ดีๆ โมเดิร์นด็อกร้องเพลง "...ก่อน" ดังระเบิดเถิดเทิงใช่ไหม เราก็เริ่มรู้สึกว่านี่มันหมายความว่าไง เขาร้องดีกว่าเรา ใช่ แต่มันไม่ใช่แค่ร้องเดียวอย่างเดียว แน่นอนอะไรหลายๆ อย่างมาประกอบกันมันถึงดังขนาดนั้น หรือว่าอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ไปยุ่งกับมัน มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ มันไม่มีจิตใจของเราเข้าไปเกี่ยวข้อง จิตใจเรามันไม่มีตรงนั้น นี่วิเคราะเห์เอาเองนะว่ามันอาจจะเป็นอย่างนั้น"

"สรุปได้ว่าตอนนั้นเรายังไม่รู้จักตัวเราเองจริงๆ เราไม่รู้เลย และไม่ใช่ตัวเราคนเดียว หลายๆ คนก็ยังไม่รู้ว่าจะรู้จักตัวเราเองจริงๆ ได้อย่างไร"

พรายยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ค่อนข้างจะพูดอะไรวกวนและเข้าใจได้ยาก (ซึ่งเราเห็นจริงเป็นที่สุด) แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกดีมากๆ ก็คือการที่มีคนพยายามจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเสมอ

"ตอนนี้คุณกำลังสัมภาษณ์ผมอยู่ ผมคิดว่าผมก็สัมภาษณ์คุณได้เหมือนกัน คุณกับผมมันมีอะไรมาสื่อกัน ถึงมาเจอกัน บทสัมภาษณ์นี้น่ะเหมือนผมกับคุณคุยกันสองคน แล้วมีคนอื่นมาดูด้วย ซึ่งเขาอ่านแป๊บเดียวเดี๋ยวเขาก็โยนมันทิ้งเป็นเศษกระดาษไปแล้ว ดังนั้นมันต้องสื่อกันด้วยใจ แต่มันจะมีบางคนที่สื่อสารกับเราได้ ซึ่งคนๆ นั้นเขาอาจจะไปเจอบทความนี้บนถุงกล้วยแขก แล้วก็อ่านแล้วพบว่ามีประโยชน์กับเขา ไม่ต้องไปเมคอะไรเลย ถ้าคุณเข้าใจก็เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ"

เหมือนกับว่าตอนนี้คนที่ชื่อพรายเข้าใจแล้วในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน?

"ไม่ใช่อย่างนั้น เรากำลังเดินตามหลังพระองค์อยู่ เราไม่เข้าใจพระองค์ดีพอหรอก พระพุทธเจ้าก็เคยเป็นคนธรรมดาๆ แบบเรานี่แหละ แต่พระองค์ทรงเป็นอภิมหาบุรุษที่สามารถรู้เรื่องบางเรื่อง เหมือนการที่วิทยาศาสตร์ค้นพบว่าน้ำคือไฮโดรเจนบวกออกซิเจน นักวิทยาศาสตร์ถ้าไม่ทดลองก็ไม่รู้ คงได้แต่นั่งอ่านและเขียน คนที่จะเข้าใจมันและไปแยกมันออกมาใช้จริงๆ เนี่ยมีกี่คน น้อยนัก เหมือนไอสไตน์ e=mc2 รู้ว่าระเบิดปรามาณู แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจมันจริงๆ มีกี่คน ไม่งั้นก็มีนิวเคลียร์ทั่วโลกแล้วสิ"

"ผมใช้ชีวิตเพื่อจะได้ตายอย่างมีความสุข ตายพร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อก่อนนี้ผมเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่ไม่ตาย ตอนนี้เวลาใครอยากตายผมจะบอกว่าไปฆ่าตัวตายเลย แต่อย่าตาย เข้าใจไหม หมายความว่าในวินาทีสุดท้ายที่เขากำลังจะตายเขาจะพบว่าชีวิตเขามีค่ามาก เพราะจิตเขามันตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว"

"ก็เคยมีคนทางบ้านโทร.มาบอกว่าผมนะว่าผมน่ะมันเป็นบัวใต้น้ำ ผมก็ถามเขากลับว่าแล้วคุณมันบัวอะไร เขาบอกว่าไม่สนใจหรอกว่าตัวเองเป็นบัวอะไร แต่ที่พูดออกอากาศเมื่อกี้คือบัวใต้น้ำ ผมก็งงเลยเถียงทางโทรศัพท์ เขาก็บอกผมว่าผมเนี่ยไม่ได้รู้อะไรจริง ซึ่งผมก็กลับมาคิดว่าเรารู้อะไรจริงบ้าง ก็บอกเขาไปว่าผมน่ะไม่ใช่บัวใต้น้ำ แต่เป็นบัวใต้ตมยิ่งกว่าน้ำอีก! ลงไปในดินลึกๆ เลย แล้วเขาก็วาง และผมก็พูดออกอากาศว่าผมหนาวอย่างไม่มีสาเหตุ"

"แล้วผมก็พบว่าผมจริงใจกับตัวเองนะ คือยอมรับไปเลยว่าเราเนี่ยมันไม่ได้ถูกจัดอยู่ในไหนเลย ไม่ใช่บัวสี่เหล่าหรอกแต่ต่ำกว่านั้นอีก เป็นเหล่าที่ 5 ด้วยซ้ำไป"




กำลังโหลดความคิดเห็น