บนภูเขาสูงในเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี บริเวณเขตแนวกันชนมรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่ซึ่งป่าไม้และธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ในท่ามกลางความสมบูรณ์นั้น มีหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งยังคงดำรงประเพณีเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าของตนมายาวนานกว่า 200 ปีเลยทีเดียว
ชื่อของชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ อาจจะเป็นชื่อที่หลายคนไม่คุ้นหู หรือไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ วันนี้ "ผู้จัดการปริทรรศน์" จะพาไปรู้จักกับพวกเขาชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านตะเพินคี่ ในอุทยานแห่งชาติพุเตย
ครูมานัส เมืองช้าง ครูประจำโรงเรียนบ้านกล้วย สาขาตะเพินคี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนแห่งเดียวในหมู่บ้านกะเหรี่ยงแห่งนี้ เล่าถึงเรื่องราวของชาวกะเหรี่ยงให้ฟังว่า พวกเขาอยู่ที่นี่กันมากว่า 200 ปีแล้ว ซึ่งในแถบจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี อุทัยธานี และจังหวัดตากบางส่วน จะมีกะเหรี่ยงอยู่ 3 พวก คือ กะเหรี่ยงด้ายเหลือง ด้ายขาว และด้ายแดง สำหรับชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านตะเพินคี่นั้น เป็นกะเหรี่ยงพุทธด้ายเหลือง
ชาวกะเหรี่ยงที่นี่ก็มีวิถีชีวิตเรียบง่ายตามแบบชาวบ้านทั่วๆ ไป ทำอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ข้าวโพด ไร่กระวานเพื่อไปค้าขายเป็นรายได้ของครอบครัว เป็นธรรมดาของหมู่บ้านที่อยู่บนภูเขาอันห่างไกล สาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำ ไฟ จึงยังเข้าไม่ถึง แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะที่นี่มีตาน้ำผุดซึ่งมีน้ำบริสุทธิ์สะอาดกว่าน้ำประปาไว้ใช้ตลอดทั้งปี และมีไฟฟ้าใช้จากแผงเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ แม้จะยังไม่พอเพียง แต่ก็พออยู่พอกินไม่ลำบาก
ที่หมู่บ้านแห่งนี้เรียกว่าเป็นหมู่บ้านปลอดอบายมุข จะไม่มีการดื่มเหล้า สุรา ของมึนเมาทุกชนิด ไม่มียาเสพติด และไม่มีการเล่นการพนัน เพราะจะถือว่าเป็นการผิดผี และสิ่งที่น่าสนใจในหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือประเพณีอย่างหนึ่ง ซึ่งกว่า 200 ปีที่ผ่านมาชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ยังคงสืบทอดประเพณีสำคัญนี้อย่างต่อเนื่องกันมาไม่มีขาดตอน....
วันเพ็ญเดือนห้า กับการไหว้จุฬามณี
หลังจากงานทำบุญข้าวใหม่เดือน 3 เสร็จสิ้นลง อีกสองเดือนถัดมาก็จะมีประเพณีที่สำคัญที่สุดของชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ซึ่งก็คือประเพณีไหว้จุฬามณี โดยจะมีขึ้นในวันเพ็ญเดือน 5 สำหรับในปีนี้ก็จะตรงกับวันที่ 23 เมษายน
จุฬามณีที่ว่า ก็คือเจดีย์จุฬามณี เป็นเจดีย์ปูนเล็กๆ ที่จำลองมาจากเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เจดีย์นี้สร้างขึ้นพร้อมๆ กับหมู่บ้าน และถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน รวมทั้งของชาวกะเหรี่ยงในบริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
"พิธีไหว้จุฬามณี ก็เหมือนเป็นเทศกาลปีใหม่ของชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ซึ่งชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้านอื่นๆ ก็จะมาร่วมพิธีด้วย จะเริ่มขึ้นด้วยการทำความสะอาดบ้านของแต่ละคนให้สะอาด เป็นการกวาดสิ่งที่ไม่เป็นมงคลออกไป ฝ่ายหัวหน้าครอบครัวจะต้องกราบเจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ตรงหัวนอน เพื่อขอสิ่งดีๆ ทั้งหลายให้แก่ครอบครัว จากนั้นภรรยาจะต้องล้างเท้าให้สามีเหมือนกับเป็นการแสดงความเคารพ แล้วทั้งครอบครัวก็จะพากันไปขอพรจากญาติผู้ใหญ่ของแต่ละฝ่าย และสุดท้าย ก็ต้องไปขอพรจากผู้ที่สำคัญที่สุดในหมู่ชาวกะเหรี่ยง นั่นก็คือเจ้าวัด หรือผู้นำชาวกะเหรี่ยงด้ายเหลือง ซึ่งปัจจุบันมีอายุเกือบจะ 104 ปีแล้ว ลูกหลานเหล่านั้นก็จะไปล้างขาให้เจ้าวัด และขอพรจากท่าน" ครูมานัสเล่า
ในช่วงก่อนที่จะถึงวันเพ็ญเดือน 5 นั้น แต่ละบ้านจะมาเตรียมทำอุปกรณ์สำคัญที่จะต้องใช้ในพิธีไหว้จุฬามณี อุปกรณ์นี้มีชื่อว่า "สะเดอร์" ซึ่งมีหน้าตาคล้ายฉัตร แต่ทำด้วยไม้ไผ่มาสานกันเป็นชั้นๆ 3 ชั้น เมื่อสานสะเดอร์เสร็จแล้วก็จะต้องหาดอกไม้สวยๆ มาเสียบประดับที่ปลายสะเดอร์ในแต่ละชั้น แล้วแต่ละบ้านก็จะมาชมสะเดอร์ของบ้านอื่นๆ ว่าสวยงามอย่างไรบ้าง สะเดอร์ที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจะถูกเก็บไว้ เพื่อเตรียมทำพิธีต่อในตอนกลางคืน
เมื่อถึงเวลา เจ้าวัดจะเป็นตัวแทนของทุกคนในหมู่บ้านไปจุดเทียนเพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเจดีย์จุฬามณี ขอสิ่งดีงามทั้งหลายให้แก่คนในหมู่บ้านและคนที่มาร่วมงาน และทำความสะอาดสะเดอร์ด้วยการทาข้าวสารที่แช่น้ำไว้จนนิ่มแล้วตำกับขมิ้น นัยว่าเพื่อไล่สิ่งสกปรกชั่วร้ายทั้งหลายออกไป
"ดึกขึ้นมาอีกหน่อย จะมีการตีฆ้องประกาศเรียกทุกๆ คนในหมู่บ้านรวมทั้งลูกเล็กเด็กแดงมาชุมนุมกันจนครบ เพราะถึงเวลาแล้วที่จะไหว้จุฬามณี แต่ละบ้านจะไปจุดเทียนที่เจดีย์ และไหว้สะเดอร์โดยใช้น้ำขมิ้น น้ำดอกไม้และธูปเทียน และแห่สะเดอร์ไปรอบๆ เจดีย์จุฬามณี และร้องเพลงเป็นภาษากะเหรี่ยงพร้อมกับเสียงจากเครื่องดนตรีต่างๆ ทั้งฆ้อง กลอง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ" ครูมานัสอธิบายถึงพิธีไหว้จุฬามณีให้ฟังอย่างละเอียด
เมื่อแห่ครบ 3 รอบแล้ว ก็จะนำสะเดอร์ทั้งหมดนั้นไปปักไว้รอบๆ เจดีย์จุฬามณี จากนั้นผู้นำก็จะเข้าไปจุดเทียนซึ่งแต่ละหมู่บ้านเตรียมมา อาจจะมีการเสี่ยงทายด้วยว่า หากเทียนลุกไหม้ดี ก็แสดงว่าจะเกิดเรื่องดีๆ ในหมู่บ้าน เป็นต้น หลังจากนั้นก็จะมีการแห่วนรอบเจดีย์อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้จะมีการร่ายรำด้วย เป็นการรำถวายจุฬามณีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในหมู่บ้านทั้งหมด ทั้งเทวดาผู้รักษาภูเขา แม่น้ำ ผืนดิน ตลอดจนเจ้าป่าเจ้าเขาที่เคารพนับถือกันในหมู่บ้าน โดยจะมีการจุดธูปอัญเชิญ และรำถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น แล้วทุกคนก็จะได้เข้าไปจุดเทียนขอพรจากจุฬามณี
"ตลอดเวลาในการทำพิธีนั้น เราจะเอาด้ายสีเหลืองที่เตรียมไว้ไปใส่ในเจดีย์จุฬามณี และด้ายนั้นก็จะถูกปลุกเสกโดยเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตลอดพิธี แล้ววันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีเสร็จก็จะเอาด้ายมาแจกให้กับลูกหลานและญาติที่มาร่วมงานทุกคน" ครูมานัสบอก และยกแขนให้ดูด้ายสีเหลืองที่ผูกอยู่ที่ข้อมือ
โรงเรียนของหนู...เด็กกะเหรี่ยง
ถนนดินลูกรังกว่า 13 กิโลเมตร ที่ลัดเลาะขึ้นไปบนภูเขา คือเส้นทางที่ไปสู่หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ในช่วงหน้าร้อนและหน้าหนาวก็ดูจะไม่มีปัญหาในการเดินทาง แต่หากเป็นหน้าฝน ทางลูกรังจะแปรสภาพกลายเป็นโคลนลื่นๆ ยากต่อการเดินทาง แต่เด็กๆ บนหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ก็ไม่ต้องเดินลงจากเขาเพื่อไปเรียน เพราะในหมู่บ้านมีโรงเรียนบ้านกล้วย สาขาตะเพินคี่ ไว้สำหรับสอนวิชาความรู้ต่างๆ ให้กับเด็กๆ ชาวกะเหรี่ยง
ปัจจุบันนี้ในโรงเรียนมีครูอยู่ 2 คนด้วยกัน แต่ก่อนหน้านี้ ครูมานัสเพียงคนเดียวรับหน้าที่เป็นทั้งครูใหญ่ ครูน้อย และภารโรงในเวลาเดียวกัน แต่เด็กๆ ชาวกะเหรี่ยงที่ในโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลเช่นนี้ ก็ทำให้ครูมานัสภูมิใจได้ด้วยการที่สามารถสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนในตัวอำเภอได้มาหลายคนแล้ว
การเรียนการสอนเด็กๆ ที่นี่นอกจากจะสอนด้านวิชาการแล้ว ก็ยังเป็นการสอนความรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งวิชาการขยายพันธุ์พืช ทั้งตอนกิ่ง เพาะต้นไม้ และวิชาคหกรรม ทำขนม ทำอาหาร ซึ่งนอกจากเด็กๆ จะได้เรียนรู้วิธีปรุงอาหารแล้ว ก็ยังได้อิ่มกับอาหารกลางวันหรืออิ่มกับของหวานฝีมือตัวเองอีกด้วย
"ตั้งแต่ 2 โมงเช้าถึง 5 โมงเช้า จะเป็นการเรียนแบบวิชาการ แล้วจากนั้นก็จะเป็นการเรียนรู้ที่ได้ทั้งความอิ่มไปด้วย อย่างที่โรงเรียนจะปลูกกล้วยกินเอง ซึ่งถ้าเอามาแปรรูปเป็นขนมกล้วยหรือกล้วยแขก เด็กๆ จะชอบมากกว่ากินกล้วยเป็นลูกๆ ก็จะสอนให้ทำกินกันเองเลย บอกวิธีก่อนว่าทำยังไง แล้วก็จะให้ลงมือกันเอง" ครูมานัสบอก
เนื่องจากงบอาหารกลางวันของโรงเรียนไม่เพียงพอ อาหารที่เด็กๆ จะได้กินในโรงเรียนนั้น ก็จะมาจากวัตถุดิบที่ปลูกและเลี้ยงเอง และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นอาหารแห้งที่ผู้ที่มาเที่ยวนำมาให้ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวสาร หรือน้ำตาล แต่ถ้าอาหารเหล่านี้หมดเมื่อไหร่ เด็กแต่ละคนก็จะต้องแยกย้ายไปกินข้าวบ้านใครบ้านมัน
พักตะเพินคี่ 1 คืน อายุยืน 1 ปี
นอกจากครูมานัสจะสอนเรื่องวิชาการ วิชาชีพให้แก่เด็กๆ แล้ว การหัดให้เด็กๆ เป็นมัคคุเทศก์น้อยคอยพาชมสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้าน ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เด็กๆ กำลังเรียนรู้ เนื่องจากหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่กำลังเริ่มจะเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นสบาย และสภาพภูมิประเทศที่สวยงาม มีจุดชมวิวที่เรียกได้ว่า "ไปที่เดียวเที่ยวสามจังหวัด" คือสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของจังหวัดอุทัยธานี และกาญจนบุรีได้ขณะที่ยืนอยู่ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี และในช่วงฤดูหนาว บริเวณจุดชมวิวนี้จะมองเห็นทะเลหมอกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ทำให้ความสวยงามนั้นติดตาติดใจผู้มาเยือนหลายๆ คน
นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น ถ้ำเพชร ถ้ำพระ ถ้ำตะเพินไทร เป็นถ้ำซึ่งมีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก รวมทั้งยังมีน้ำตกตะเพินคี่น้อยและตะเพินคี่ใหญ่ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากตาน้ำผุดในหมู่บ้านตะเพินคี่นี่เอง
น้ำจากตาน้ำนี้จะผุดขึ้นมาตลอดทั้งปีให้คนในหมู่บ้านได้กินได้ใช้ น้ำจากธรรมชาตินี้จะไหลมารวมกันจนกลายเป็นลำธารเล็กๆ กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ กลายเป็นแม่น้ำถึง 13 สาย และกลายเป็นแหล่งน้ำหลักของจังหวัดสุพรรณบุรีเลยทีเดียว
ใครที่ต้องการจะมาเที่ยวก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่พัก เพราะสามารถนำเต็นท์มาตั้งแคมป์กันได้ในบริเวณโรงเรียน ซึ่งมีห้องน้ำไว้บริการพร้อม หรือใครอยากจะพักแบบโฮมสเตย์กับชาวกะเหรี่ยงก็สามารถทำได้เช่นกัน และในสวนกล้วยไม้ของเอกชนซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ กับหมู่บ้านก็มีที่พักที่ค่อนข้างสะดวกสบายไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วย
บริเวณหน้าหมู่บ้านของชาวตะเพินคี่จะมีแผ่นไม้แผ่นใหญ่เขียนไว้ว่า "พักตะเพินคี่หนึ่งคืน อายุยืนขึ้นหนึ่งปี" ครูมานัสขยายความให้ฟังว่า
"เพราะที่ตะเพินคี่นี้ธรรมชาติค่อนข้างจะสมบูรณ์ ต้นไม้ยังเขียวขจี อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ถ้ามานอนค้างที่นี่หนึ่งคืนก็จะได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ ไม่มีมลพิษ ก็ต่ออายุขึ้นได้อีกหนึ่งปี นี่ก็เพิ่งมีคณะจากทางภาคใต้มาเที่ยวกัน เขาก็ว่าจะกลับมาอีก จะกลับมาในช่วงที่ไหว้จุฬามณีพอดี"
สำหรับหน้าร้อนที่กำลังเวียนมาถึง ใครที่อยากจะสัมผัสกับอากาศดีๆ อยากจะอายุยืนขึ้นอีกหลายๆ ปี หรืออยากจะมาเห็นประเพณีไหว้จุฬามณีรวมทั้งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ก็ลองขึ้นมาพักและเยี่ยมชมหมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ได้ และอย่าลืมเอาอาหารแห้งต่างๆ หรืออุปกรณ์การเรียน การกีฬามาฝากเด็กๆ ในหมู่บ้านด้วย จะได้มีความสุขกันถ้วนหน้า
**********
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 340 (บางบัวทอง-สุพรรณบุรี) จนกระทั่งถึงทางแยกเข้าสู่อำเภอเดิมบางนางบวช ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายผ่านอำเภอเดิมบางนางบวช แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 733 มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองอำเภอด่านช้าง จากอำเภอด่านช้างใช้เส้นทางสาย 333 (ด่านช้าง-บ้านไร่) ไปอีก 15 กิโลเมตรก็จะพบทางแยกเข้าบ้านวังคันเข้าไปที่บ้านป่าขีอีก 15 กิโลเมตร (ทางลาดยาง) แล้วต่อด้วยทางลูกรัง จากบ้านป่าขีเข้าสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติพุเตย อีก 3 กิโลเมตร
หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ อยู่ห่างจากอำเภอด่านช้างประมาณ 120 กิโลเมตร และห่างจากที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติพุเตยที่ 2 (พุกระทิง) ประมาณ 70 กิโลเมตร การเดินทางไปทางบ้านวังยาว บ้านกล้วยป่าผาก แล้วเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 13 กม. ตามทางลูกรังไปบ้านตะเพินคี่ รถที่ใช้ควรเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
สอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติพุเตย โทร.0-1934-2240 และสำนักงาน ททท. ภาคกลางเขต 6 โทร. 0-3524-6076-7