"มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง" คือคำเปรียบเปรยให้เห็นภาพลักษณ์ของหญิงไทยสมัยก่อน ที่สามารถออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชาย โดยยังทำหน้าที่บทบาทของความเป็นแม่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
หลายศตวรรษถัดมา อาวุธในมือผู้หญิงก็มีหลากหลายขึ้น นับตั้งแต่ เข็มฉีดยา , ปากกา ,ค้อนบนบัลลังก์ผู้พิพากษา ฯลฯ ไปจนกระทั่งค้อนและเคียวของผู้ใช้แรงงาน และเปลี่ยนสมรภูมิรบมาสู่สนามชีวิตจริงที่ต้องฟาดฟันแข่งขันกันในโลกของทุนนิยม โดยไม่เกี่ยงว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะในสนามรบของโลกใบใหม่นี้ทุกเพศล้วนเท่าเทียม
แต่ไม่ว่าโลกจะหมุนไปเร็วเพียงใดก็ตาม ความเป็น "แม่" ของเพศหญิงคือสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผู้หญิงเก่งเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนก็ยังเต็มใจรับบทบาทนี้ เพียงแต่อาจปรับสถานภาพควบบทบาทเป็นทั้งพ่อและแม่ยุคใหม่ ที่ผู้หญิงสามารถเลี้ยงดูลูกได้โดยลำพังโดยไม่ต้องพึ่งพาเพศชาย หรือเป็น "ครอบครัวสุขสันต์" ตามกรอบอนุรักษ์ของสังคม
นี่คือเรื่องราวของ "Single Mom" คุณแม่เดี่ยวที่อ้อมแขนและสองมือมีความรักอยู่เต็มเปี่ยม พร้อมจะเติมเต็มให้ชีวิตของลูกไม่ขาดหายความอบอุ่นอาทรจากครอบครัว
เรื่องของประไพ
"เชื่อว่าเราตัดสินใจดีแล้ว ทุกอย่างที่ตัดสินใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตพี่ ทุกอย่างที่พี่ตัดสินใจพี่เชื่อว่าสิ่งดีๆ เกิดจากการวางแผน ไม่ว่าเรื่องอะไรของชีวิต เราก็ไม่ได้ปรึกษาใคร เพราะปรึกษาคนเยอะๆ จะทำให้เขว กับญาติพี่น้องก็ไม่ได้ปรึกษา การตัดสินใจของใครคนนั้นก็รับผิดชอบ เพราะเราต้องอยู่กับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจตลอดไปจนกว่าจะเปลี่ยน เราต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง"
คำกล่าวของประไพ ยั่งยืน สะท้อนให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ในตัวผู้หญิงคนนี้ ซึ่ง "การตัดสินใจ" เรื่องหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของเธอนั้น ก็คือ การทำ "กิฟต์" เพื่อตั้งครรภ์และมีลูก... ตามลำพัง
แม้ในบ้านเราจะมีคุณแม่เดี่ยวที่มีลูกจากวิธีการนี้พอสมควร หากแต่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคมไทย เมื่อเราติดต่อขอพูดคุยกับประไพไป เธอจึงขอร้องไม่ให้เราโฟกัสไปที่ลูกๆ เพื่อความสุขในอนาคตของเด็กๆ
และเราก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ
จากเด็กสาวในครอบครัวใหญ่ที่จ.พัทลุง ประไพเดินทางมาศึกษาต่อที่คณะรัฐศาสตร์ รามคำแหง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอเริ่มสนใจในการเมือง และวรรณกรรม แต่แม่แบบสำคัญที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเธอในทุกวันนี้ก็คือ "แม่"
"ถึงแม่เราจะไม่ได้มีการศึกษาสูงเท่าไร แต่แม่ก็จะบอกว่าในสังคมมีแบบอย่างให้เลือกเยอะแยะ เราอยากเป็นแบบไหนก็เลือกเอา คำนี้จำติดปากเลย ลูกต้องรู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี ไม่ต้องบอกต้องอธิบายมาก แม้แม่จะไม่รู้หรอกว่ามหาวิทยาลัยเป็นยังไง แต่แม่พี่บอกเสมอว่าการศึกษาเท่านั้นที่จะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น และทำให้ลูกของแม่ปลอดภัย"
ประไพเริ่มมีงานเขียนไปลงหนังสือพิมพ์ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จากนั้นเส้นทางชีวิตของเธอก็อยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชนมาตลอด 21 ปี
"ตอนแรกที่เรียนรัฐศาสตร์ก็ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ว่าฯ หญิงคนแรก แต่พอจบมาก็รู้สึกว่าเราไม่ถนัดทางด้านนี้เลย แล้วคิดว่ามันคงยากมั้ง เราไม่ได้เป็นคนที่ชอบระบบการแข่งขัน ก็เลยมาทำงานด้านสื่อตลอด"
ประไพผ่านงานสื่อมาหลายแห่ง ทั้ง ข่าวพิเศษ เนชั่น การประปานครหลวง ฯลฯ ล่าสุดคือที่ไอทีวีซึ่งเธอทำงานมานานเกือบ 10 ปี ปัจจุบันประไพมีตำแหน่งเป็น ผู้ควบคุมรายการข่าวเช้าไอทีวี น่าสนใจว่าเพราะอะไรผู้หญิงที่มีหน้าที่การงานระดับเธอ จึงทำในสิ่งที่เสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการไปทำกิฟต์ โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน
"เคยคิดว่าถ้าอายุสัก 35 ถ้ายังไม่แต่งงานหรือมีครอบครัวก็คิดจะทำ แต่ถ้าอายุเกิน 35 ไปแล้วตามหลักแพทย์มันจะยากขึ้น เราก็เลยคิดว่าถ้าไม่ตัดสินใจแต่งงาน หรือไม่อยากแต่งงาน ณ โอกาสนั้นเราก็จะทำ
เคยคิดตั้งแต่เด็กๆ ว่า เอ๊ะ..ทำไมทีสัตว์ยังผสมเทียมได้ มนุษย์คงไม่ยาก คิดมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วว่ามนุษย์คือสัตว์สังคมชนิดหนึ่ง เพียงแต่เจริญกว่าเขา ประเสริฐกว่าเขาตรงที่เรียนรู้ มีพัฒนาการ คิดได้เองและมีวัฒนธรรมภาษาถึงสื่อกันได้ พอเราอายุ 35 พอจังหวะที่เราแข็งแรงพอดีก็ไปทำ ไม่คิดว่าจะติดเหมือนกัน พอแข็งแรงก็โอเค"
ในการดำเนินชีวิตทุกอย่างประไพจะต้องมีการวางแผนทุกครั้ง ดังนั้น ก่อนหน้าที่จะไปทำกิฟต์ ประไพจึงมีการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุกอย่าง รวมทั้งได้ปรึกษานักกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาในอนาคต
"เราก็ปรึกษาว่าถ้าทำอย่างนี้จะมีปัญหาในเรื่องของกฎหมายไหม ตรงจุดนี้ๆ ตามกฎหมายเราสามารถทำได้ไหม เพราะในแง่กฎหมายถ้ามีปัญหาตามมาเราก็ไม่อยากมานั่งแก้ ที่สำคัญคือ สังคมบ้านเรา ตอนนั้นที่ตัดสินใจทำก็คือเปลี่ยนสังคมแวดล้อม เปลี่ยนบ้านที่เราอยู่เลย คือตามหลักของมนุษย์ทุกคนน่ะนะ ไม่ว่าใจใครจะเข้มแข็งขนาดไหน ถ้าต้องเดินผ่านทุกวัน เพื่อนบ้านว่าไปท้องไม่มีพ่อมาเหรอ ซึ่งเราได้รับการยอมรับถือคนในย่านที่เราอยู่ ว่าเราเก่ง เป็นคนมีความสามารถนะ มีอะไรเขาก็ขอคำแนะนำจากเรา วันดีคืนดีลองนึกดูว่าเราไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์เราที่เขาคงพูดกัน ถามว่าถ้าทุกวันจะทำให้จิตใจเราห่อเหี่ยวท้อแท้ไหม ก็ท้อแท้ เราก็คิดว่าอย่างน้อยที่สุดถ้าเราเปลี่ยนสังคมตรงนั้น เราก็ไม่มายด์"
ส่วนสังคมที่ทำงานนั้นประไพไม่เป็นกังวล เพราะเพื่อนร่วมงานทราบว่าเธอไปทำกิฟต์มา และยังไปฟังผลจากแพทย์กับเธอด้วย ประไพทำงานอยู่จนกระทั่งคลอด เธอได้ลูกฝาแฝดชายหญิงจากการทำกิฟต์ในครั้งนั้น
"ณ วันหนึ่งที่ตัวเองเป็นแม่ เข้าใจว่าผู้หญิงที่เป็นแม่นั้นหนักมาก ทำไมถึงเข้าใจตรงจุดนี้ แม่พี่มีลูกตั้ง 8 คน โดยที่เราเป็นคนโต พ่อก็เป็นข้าราชการธรรมดา แม่ก็เป็นแม่ค้าขายของและก็ทำสวน ทำนาบ้าง พอมาเป็นแม่แล้วถึงรู้ว่าแม่ของคนต่างจังหวัดกับแม่ของคนในสังคมเมืองต่างกันมากเลย แม่ของคนในสังคมต่างจังหวัดสามารถวางลูกให้วิ่งเล่นอยู่ได้ เขาทำทุกอย่างเสร็จหมด แม่ของคนสังคมเมืองนี่ไม่ได้ กลัวแต่ลูกจะล้ม เป็นห่วงไปทุกอย่าง เด็กในสังคมต่างจังหวัดจะแกร่งกว่า
เวลาพี่ไปเที่ยวไหนพี่ไม่ได้อุ้มลูก เราปล่อยให้เขาเดิน บางทีคนยังมองว่าทำไมเราไม่สนใจลูกเลย แม้แต่เขาจะใส่เข็มขัด เขาก็ใส่อยู่นั่นล่ะ 5 นาที คนก็มองว่าทำไมยายนี่ปล่อยให้ลูกทำอยู่ได้ แต่เราก็อดทนยืนคอยให้เขาทำเอง ยกเว้นถ้าว่าเขาขอความช่วยเหลือ เราถึงจะช่วยเขา"
ประไพใช้วิธีคุยกับลูกๆ ด้วยเหตุผล ทำให้เด็กๆ เห็นเธอเป็นทั้งเพื่อนและแม่ และแม้ว่างานจะยุ่งรัดตัวสักเพียงใด เธอจะหาเวลากลับมากินข้าวเย็นและพาลูกเข้านอนด้วยตัวเองทุกวัน และหากวันหยุด สามแม่ลูกก็จะยกขบวนไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยมีลุง ป้า น้า อา เพื่อนของแม่มากมายเป็นครอบครัวใหญ่ตามไปด้วย
"พี่คิดว่าการปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัวนั้นสำคัญ ถ้าคุณไม่เคยคุยกับคนในบ้าน กลับมาที่บ้านคนรอบข้างไม่รัก ไม่ยกย่องคุณ แต่คนในสังคมยกย่องคุณ มันจะมีความหมายอะไร... พี่เป็นคนมีเพื่อนเยอะ เด็กๆ เขาก็จะมีพ่อ มีน้า มีอา มีลุงเต็มไปหมด ถามว่ามีปมด้อยไหม...พี่ไม่รู้ เพราะเขายังเด็กอยู่ พี่ไม่ตอบแทนความคิดของเขา แต่รู้ว่าเขาไม่เคยรู้สึกขาดความอบอุ่น"
ส่วนในอนาคตประไพบอกว่าเธอยังตอบไม่ได้ ว่าจะตัดสินใจบอกลูกหรือไหม เธอจึงพยายามฝึกลูกๆ ให้เป็นคนเข้มแข็งเพื่อเตรียมพร้อมให้เขาไปเผชิญโลกเมื่อโตขึ้น
"พูดในฐานะผู้หญิงนะ ถ้าเกิดลูกเราสบายเกินไป ไม่แกร่ง การต่อสู้ในสังคมในอนาคตเป็นยังไงเราไม่รู้ เขาต้องเรียนรู้อะไรบ้างตรงจุดนี้ ถ้าเราสปอยล์ลูกจนเกินไปเขาจะกลายเป็นคนอ่อนแอในสังคม แล้วยิ่งอ่อนแอมากเท่าไร ยิ่งถูกกดขี่โดยสังคมมากเท่านั้น กดขี่โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ทำไมเด็กผู้หญิงในยุคนี้ทำไมถึงเปลี่ยนไปจากที่ยุคที่เราโตมาตอนเด็กๆ ทำไมถึงกล้าขนาดนั้น เพราะว่าสังคมปลูกฝังว่าต้องกล้าเท่านั้นนะถึงจะเป็นผู้หญิงยุคใหม่ หรือทำไมเป็นคนมั่นใจเขาก็ยังให้เพศตรงข้ามเป็นคนเลือก เขาอาจจะลืมไปว่าถูกเลือกเมื่อวันนี้ แต่ว่าอาจจะถูกทิ้งในอีก 2 เดือนข้างหน้าก็ได้ เขาไม่เข้าใจตรงนี้ คือรับบางส่วนมาจากสังคมตะวันตกแต่ไม่ได้รับมาทั้งหมด ไม่รับส่วนแกนมา รับแค่เปลือกนอกมา เพราะฉะนั้น ตรงจุดนี้พ่อแม่สำคัญที่สุด พ่อแม่ต้องเรียนรู้ทุกๆ อย่าง"
ด้วยทัศนคติ และการใช้ชีวิตทำให้มีหลายคนมองประไพเป็นเฟมินิสต์ เธอคิดอย่างไร
"พี่ก็ยอมรับในการเรียกร้องในสิทธิสตรีนะ แต่ตรงนั้นต้องเข้าใจเหมือนกันนะว่าเรียกร้องไปเพื่ออะไร เรื่องสิทธิสตรีพี่ก็ไม่ยอมรับเหมือนกันนะถ้าผู้ชายกดขี่ผู้หญิง ในสังคมนี้ถามว่าทำไมกฎเกณฑ์อะไรออกมาอำนวยผู้ชาย ก็เพราะผู้ชายเป็นคนร่าง พี่พูดประจำ ตั้งแต่อดีตคนร่างกฎหมายหรือประวัติศาสตร์ก็ผู้ชายทั้งนั้น พี่ไม่เชื่อว่าผู้ชายที่ร่างตรงนั้นเขาจะคิดถึงผู้หญิง 100% ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ทุกวันนี้เราเรียกร้องเพื่อที่จะให้เรามีจุดยืนเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งพี่เป็นคนรวยที่สุด พี่ก็ต้องให้คนจนยืนอยู่ได้ด้วย ถ้าสักวันหนึ่งพี่เป็นคนเก่งที่สุดในนั้นพี่ก็ต้องให้คนโง่ที่สุดยืนอยู่ได้ด้วย ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าเราเก่งแล้วเราเหยียบพวกเขาติดดิน แต่ผู้หญิงทุกวันนี้หลายๆ คนก็เริ่มเรียกร้องสิทธิของตัวเอง แต่ก็เรียกร้องผิดบ้าง ถูกบ้าง บางคนก็เรียกร้องเกินความเป็นจริงไป พี่ว่าทุกคนควรจะเข้มแข็ง ค้นหาสิ่งดีๆในชีวิตที่เป็นอยู่ของตัวเองแล้วขอบคุณมัน"
นี่ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงที่เรียกร้องสิ่งใด แต่ก็ยินดีหากสังคมเคารพในการตัดสินใจในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิเลือกและดำรงชีวิตตามวิถีทางที่เธอเลือกนั้น
ก้าวที่กล้า ของ "ต้นกล้า นัยนา"
นามปากกา "ต้นกล้า นัยนา" คงเป็นที่คุ้นหูของนักอ่านที่ชื่นชอบเรื่องราวแนว "Positive Thinking" ที่มีแง่มุมดีๆ ให้กำลังใจต่อชีวิต
แต่เธอยังมีอีกนามปากกาว่า "กูก้อย" และ "แม่กูก้อย" ซึ่งมีที่มาจากนามจอที่ชาวไซเบอร์เสปซคุ้นเคย ทั้งจากเว็บพันทิป บุ๊คไซเบอร์ ฯลฯ โดยเฉพาะที่เว็บไซต์ www.maama.com ที่ทำให้เรื่องราวของเธอเป็นที่รู้จักและกล่าวขานในหมู่นักท่องเว็บ เมื่อต้นกล้าลงมือเขียนไดอารี่ออนไลน์บันทึกถึงลูกของเธอ อาจจะดูไม่แปลกอะไรถ้าหากเธอไม่ได้อุ้มท้องตามลำพัง
เมื่อสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งมาอ่านเจอเรื่องราวของเธอเข้า ทำให้ต้นกล้ามีหนังสือที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์แม่และลูกชายตามออกมา พร้อมด้วยหนังสืออีกหลายเล่ม "เกื้อ" ลูกชายของเธอจึงนับเป็นแรงใจคนสำคัญของซิงเกิ้ลมัมนักเขียนผู้นี้
แต่ต้นกล้าบอกกับเราว่าเธอกำลังเป็น "ซิงเกิ้ลมัมที่ใกล้จะหมดอายุแล้ว" เพราะอีกไม่นานเธอกำลังจะเริ่มต้นชีวิตคู่ครั้งใหม่ หลังจากรับบทบาทแม่เดี่ยวมากว่า 5 ปี
ต้นกล้าเล่าถึงความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อของลูกให้ฟังว่า ทั้งสองพบกันที่เสม็ด ช่วงนี้เธอเพิ่งเปลี่ยนงานจึงไปพักผ่อน ขณะที่ฝ่ายชายมาท่องเที่ยว จากความสนิทสนมทำให้จึงทั้งคู่ตัดสินใจคบกันระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ก็ต้องยุติลง
"เราตัดสินใจเร็วไปด้วย พออยู่ไปสักพักได้รู้จักความเป็นตัวตนของเขาเยอะขึ้น ก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ เขาบอกว่าเขารักเรา แต่เขาไม่อยากมีลูก อาจจะเป็นคำพูดนั้นที่ทำให้เราตัดสินใจเลิก คือเราไม่ใช่คนตะวันตกที่มาคบกับใคร มีอะไรกันแล้วคบเล่นๆ ก็เลยเลิก ผู้หญิงทุกคนถ้าคบกับใครก็อยากจะแต่งงานมีครอบครัว เวลาตัวเองคบกับใครก็ฝากความหวังว่าอยากใช้ชีวิตอยู่กับเขา ไม่เคยมีความคิดเลยว่าคบๆ กันไปก่อน เพราะว่าตอนนี้ไม่มีแฟน ก็ค่อนข้างจริงจัง แล้วด้วยนิสัยเราก็เลยตัดไปเลย ยอมเจ็บทีเดียว"
แต่ในตอนนั้นต้นกล้าไม่รู้เลยว่าเธอกำลังตั้งท้อง
"ตอนนั้นรู้สึกว่าจะบอกกับแม่ยังไง เพราะเราเป็นลูกสาวคนเดียวด้วย ทำให้เขาผิดหวัง ก็หาวิธีการบอกยังไงให้เบาที่สุด จนท้อง 4 เดือนกว่าแล้วถึงเริ่มบอก แต่ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าไปท้องกับพ่อน้องเกื้อมา ก็บอกเขาว่าเราไปทำกิฟต์มา จนเกื้อ 3 เดือนถึงได้บอกความจริงเขา เพราะคิดว่าโตขึ้นจะบอกลูกยังไงว่าพ่อเป็นใคร ก็เลยตัดสินใจบอกพ่อน้องเกื้อ แล้วก็บอกแม่พี่ด้วย คือบอกพร้อมๆ กัน"
"แม่พี่ไม่เชื่อหรอกค่ะ แต่ว่าเขาก็ไม่ถาม ตอนที่บอกเขาเขาก็ยังบอกเลยว่า เขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำกิฟต์ไม่ได้ทำกันง่ายๆ"
ช่วงเวลาก่อนจะบอกความจริงคนรอบข้างนั้น เป็นช่วงที่เธอเองต้องตั้งสติและตัดสินใจอย่างระมัดระวัง
"มันมีอยู่ 2 ทางเลือก พูดกันตรงๆ คือ จะมีเขาหรือไม่มีเขา (ลูก) ไอ้ความไม่มีเขามันไม่ได้อยู่ในความคิด เราทำไม่ได้อยู่แล้ว เวลาที่จะทำอะไรพี่จะเลือกทางเลือกก่อน พอเลือกทางเลือกได้แล้วพี่ก็ปักธงแล้วเดินไปเลย ระหว่างทางเดินก็จะไม่แบบว่าลังเลอีกแล้ว ระหว่างทางไปจนถึง 9 เดือน พี่จะไม่คิดไม่วอกแวกอะไรเลย เราจะมีเขาก็ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด"
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์นั้น ต้นกล้าใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่ฉะเชิงเทรา และขาดการติดต่อกับเพื่อนและสังคมไปพักใหญ่
"จนกระทั่งพี่มีเกื้อ พี่มีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย เกื้อเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก เขาเป็นคนที่ทำให้พี่มีความสุขน่ะ อยากอวด อยากโชว์ ไม่อยากหลบใครเลย แต่ตอนท้องไม่ใช่ ตอนท้องจะมีความรู้สึกว่ามันน่าอาย ตอนนั้นมันเหมือนมี 2 ตัวอยู่ในร่างเดียว ตัวหนึ่ง ก็คือตัวทุกข์ จะทำยังไงดี อีกตัวหนึ่งก็คือ ตัวเอ็นจอยไลฟ์ มีเรื่องตลกก็หัวเราะได้ ก็คือทุกข์มันก็อยู่ฝั่งหนึ่ง สุขก็จะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ก็ทำไปให้ดีที่สุด"
สิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้เธอเข้มแข็งเผชิญหน้ากับความจริงมาได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะ คุณแม่และน้องเกื้อ
"พี่มีทั้งช่วงอ่อนแอแล้วก็ฟุ้งซ่าน ความเข้มแข็งตอนที่ท้องน้องเกื้อแทบจะไม่มีเลย มีอยู่อย่างเดียวคือแม่ที่คอยเป็นกำลังใจ มีแม่ที่ไม่เคยทำให้เสียใจเลย จนกระทั่งเกื้อเขาออกมาแล้ว ตอนที่เห็นเขา จริงๆ พี่ก็รักเกื้อเขาตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วล่ะ แต่พอเห็นเขาแล้วทำให้พี่คิดว่าอยากอยู่ต่อ อยากทำอะไรเพื่อเขา เขาจะได้เรียนโรงเรียนดีๆ อยากขยันทำงาน คือจะบอกว่าเขาเป็นกำลังใจมันก็ใช่ แต่บอกว่าเราทำทุกอย่างเพื่อเขามันก็คงไม่ใช่หรอก พี่ทำเพื่อตัวพี่เองเพื่อพี่จะได้มั่นคงพอที่จะดูแลเขาได้"
และแม้จะทุกข์เพียงใด ความคิดเรื่องทำร้ายตัวเองก็ไม่เคยมีอยู่ในหัวของเธอเลย
"มีความรู้สึกว่าเกิดมันยาก กว่าจะโตขนาดนี้ แล้วพอเรามีลูกแล้วเรารู้สึกว่าชีวิตเรามีค่ามากนะ ไม่ใช่กับตัวเองนะ มีค่ากับแม่ของเรา พี่ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย เพราะว่าลูกพี่น่ะยุงกัดพี่ยังโกรธยุงเลย แล้วถ้าเกิดเราทำร้ายตัวเองล่ะ แม่พี่เขาคงรู้สึกแย่มาก"
"แม่คร้าบ.." น้องเกื้อตะโกนเสียงใสมาจากสนามเด็กเล่น ไม่ไกลจากม้านั่งที่เราสนทนากันอยู่ ก่อนจะขอ "แม่ก้อย" ไปเอาการ์ดสะสมพลังซูเปอร์ฮีโร่บนห้องพักในคอนโดฯ
"ห้ามพูดกับใคร ห้ามไปกับใครใช่ไหมแม่ก้อย" เกื้อหันมาถามก่อนไปอย่างนึกขึ้นได้ ต้นกล้าบอกว่าเมื่อวันก่อนเธอพาเด็กชายไปเที่ยวที่ศูนย์การค้า ขณะที่เธอทำธุระอยู่นั้น น้องเกื้อก็เดินเล่นเพลินจนหลง
"เขาอยากอยู่คนเดียวก็เลยไปเดินเล่นลงบันไดเลื่อน พอนึกขึ้นได้เขาก็เดินกลับมาหาพี่ พี่ก็ตามหาเขา ก็เลยพลาดกัน พอเจออีกทีเดินร้องไห้อยู่คนเดียว พี่ตกใจมากนึกว่าใครเอาไปแล้ว ก็เลยบอกเขาว่าอย่าไปกับใครห้ามพูดกับใคร ขนาดขับรถกลับบ้านพี่ยังสั่นอยู่เลย จนเกือบรถชนน่ะ ถ้าหายไปจริงๆ น่ะแย่เลย น้าเขาก็ถามว่านิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร เขาก็ตอบว่า 'แม่ก้อยต้องให้เวลาเกื้อมากกว่านี้' " ต้นกล้าเล่าถึงความฉลาดของลูกชาย ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะในวงสนทนาได้เป็นระยะ
ว่ากันว่ารักของแม่ที่มีต่อลูก เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ไม่หวังอะไรตอบแทน และคงเป็นเช่นเดียวกับความรักที่แม่กูก้อยมีต่อลูกเกื้อ แม้ในสังคมจะตั้งเงื่อนไขมากมายต่อผู้หญิงที่เป็นซิงเกิ้ลมัมก็ตาม
"...รัก
ที่แท้แล้วมันก็คือรัก
ไม่มีเงื่อนไขอันใดสำคัญ"
กูก้อย