xs
xsm
sm
md
lg

อุทยานสามก๊ก ย่อพงศาวดารจีนในไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามก๊ก พงศาวดารประวัติศาสตร์จีนที่ได้รับการเล่าขานมาหลายต่อหลายรุ่น ผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ และเหนือสิ่งอื่นใดพงศาวดารสามก๊กยังคงความนิยมทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยมาถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มนักธุรกิจ คติต่างๆที่แฝงในเนื้อหาตำรายุทธพิชัยสงครามในอดีตถูกนำมาประยุกต์และยึดถือเป็นตำราในการดำเนินชีวิตและสำหรับการบริหารธุรกิจ

คนส่วนใหญ่รับรู้เรื่องราวแง่มุมต่างๆของพงศาวดารสามก๊กผ่านลายลักษณ์อักษรซึ่งได้รับการแปลและตีพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า รวมไปถึงผ่านภาพเคลื่อนไหวของตัวละครสมมติในจอโทรทัศน์ นอกเหนือจากสื่อดังกล่าวยังมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งนำเสนอเรื่องราวประวัติพงศาวดารสู่สาธารณชน บนเนื้อที่กว่า 36 ไร่ ในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เรียกว่า "อุทยานสามก๊ก"


สถาปัตยกรรมจีนตามหลักฮวงจุ้ย

บนเนื้อที่กว่า 36 ไร่อันเป็นที่ตั้งของ "อุทยานสามก๊ก" ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ได้รับการวางรูปแบบตามหลักฮวงจุ้ย รายล้อมด้วยต้นไม้ ต้นอโศก-อินเดีย ติดภูเขา มีหยินหยางปรัชญาแห่งความสมดุลของจีน จากคำบอกเล่าของหญิงสาวเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยานทำให้ทราบความเป็นมาของอุทยานสามก๊กนั้นสร้างขึ้นตามเจตนารมณ์ของคุณเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง โดยสถาปัตยกรรมแบบจีนได้รับการออกแบบโดย อาจารย์ธีรวัลย์ พัธโนทัย และอาจารย์รณฤทธิ์ ธนโกเศศ 2 สถาปนิกแห่งกรมศิลปากร หลักในการออกแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและจีน

แนวความคิดในการวางผังภูมิสถาปัตยกรรมบริเวณอุทยานสามก๊ก สืบเนื่องจากการกำหนดภูมิจักรวาลศึกษาจากลักษณะภูมิประเทศของที่ตั้งเป็นพื้นที่ลาดต่ำไปทางทิศใต้ โดยมีภูเขาขนาดย่อมทอดตัวอยู่ทางทิศเหนือ จึงกำหนดทิศทางอาคารประธานหรืออาคารกลางบนจุดที่สูงที่สุดของพื้นที่ทั้งหมด ทางทิศเหนือซึ่งมีระดับสูงกว่าอาคารอื่นๆ พร้อมกับหันหน้าไปทางทิศใต้ ทำให้ภูเขากลายเป็นฉากหลังของอาคารประธาน กำหนดระดับของการเข้าถึงตัวอาคารประธานมีลักษณะการยกระดับขึ้นไปเป็นระยะๆจนเชื่อมต่อกับบันไดทางขึ้น บริเวณโดยรอบวางผังแบบรูปทรงเรขาคณิต ตามหลักการวางผังบริเวณที่เป็นมงคลมาแต่โบราณทั้งของไทยและจีน

จากนั้นได้กำหนดแนวแกนหลักตามทิศเหนือ-ใต้ โดยมีซุ้มประตูทางเข้าวางเป็นตัวกั้นแบ่งพื้นที่ส่วนอนุสรณ์สถานซึ่งอยู่ทางทิศเหนือกับส่วนบริการทางทิศใต้ วางแนวแกนตะวันออก-ตะวันตกเพื่อเป็นที่ตั้งของอาคารศาลเจ้าแม่กวนอิมกับอาคารอเนกประสงค์ โดยมีระเบียงโค้งจันทร์เสี้ยวเป็นตัวเชื่อมต่อและโอบล้อมอาคารทั้ง 3 หลังเป็นหนึ่งเดียวกัน

ตึกสร้างแบบสถาปัตยกรรมจีน เรียกว่าเก๋ง มีทั้งหมด 3 อาคาร อาคารกลางหรืออาคารประธานมีความสูงที่สุด มีทั้งหมด 4 ชั้น หลังคาเป็นกระเบื้องสีน้ำเงินเข้มสื่อถึงทะเลและท้องฟ้า ประดับรูปประติมากรรมเพื่อความเป็นมงคลตามความเชื่อดั้งเดิมของจีน อย่างเช่น คนชราขี่สัตว์รูปร่างคล้ายไก่ (เซียนเหญิน) ,มังกรสี่ขาท่านั่ง รูปร่างคล้ายสัตว์จตุบาท เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "จตุบาทพันธุ์มังกร" เป็น 1 ในบุตรชายทั้ง 9 ของพญามังกร ,หงส์ สัตว์จตุบาทรูปลักษณะหงส์ เดิมที่หงส์เป็นส่วนประดับตัวหลัก แต่เนื่องจากฮ่องเต้เทียบกับมังกร หงส์ซึ่งหมายถึงฝ่ายหญิง จึงเป็นรองรูปประดับสัตว์จตุบาท ,สิงห์สัญลักษณ์ความกล้าหาญ ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาอาคาร

ส่วนยอดของสถาปัตยกรรมประยุกต์ระหว่างหัวเม็ดแบบไทย(ส่วนที่สูงที่สุดของสถาปัตยกรรมไทย)และหัวเม็ดแบบจีน คล้ายหยาดน้ำค้างประดับด้วยเซรามิกทอง ทางขึ้นอาคารมีพื้นปูนปั้นรูปมังกรสองตัว ลักษณะเดียวกับมังกรในพระราชวังต้องห้ามของจีน แต่มังกรนี้มี 4 เล็บเนื่องจากว่าถ้ามี 5 เล็บจะเป็นมังกรของกษัตริย์

ภายในอาคารชั้นที่ 1 เป็นรูปปั้น ประวัติ และจดหมายปิดผนึกถึงลูกหลานของคุณเกียรติ ศรีเฟื่องฟุ้ง เบื้องหลังรูปปั้น เป็นจดหมายปิดผนึกถึงลูกหลานเต็มไปด้วยอักษรหลายร้อยถ้อยคำเล่าประสบการณ์เคล็ดลับสู่ความสำเร็จและคติธรรมในการดำเนินชีวิต ฐานของเสาทุกต้นที่อยู่ในอาคารวาดลวดลายแบบไทยแสดงผสมผสานกับรูปปั้นกังไส(ตุ๊กตากระเบื้อง)ตัวเอกจากพงศาวดารสามก๊ก

ชั้นที่ 2 เป็นภาพวาดประวัติศาสตร์สีน้ำมัน บันทึกเรื่องราวชีวิตของขงเบ้งทั้งหมด มีทั้งหมด 8 ตอน ชั้นที่ 3 เป็นภาพเขียนสีน้ำมันเรื่องราวของ ขงเบ้ง ช่วงที่ 2 เป็นภาพเขียนฝาผนังยาว 100 เมตรทั้งหมด 8 ตอน ฝีมือจิตรกรชาวจีนใช้เวลาเขียนภาพฝาผนังนี้นาน 5 ปีเต็ม

ชั้นที่ 4 หอแก้วประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พบที่ถ้ำแห่งหนึ่งในลำพูน ดร.วรภัทร ภู่เจริญ มอบให้อุทยานฯเพื่อเป็นที่สักการบูชา หันหน้าออกทางทะเลตามหลักฮวงจุ้ย พร้อมรูปปั้นพระสังกัจจายน์ และพระถังซำจั๋ง ระเบียงภายนอกเป็นจุดชมวิว จากชั้นนี้หากฟ้าเปิดช่วยให้มองเห็นพระพุทธรูปเลเซอร์ หน้าผาเขาชีจรรย์

ระเบียงจิตรกรรมเล่าตำนานสามก๊ก

จากกึ่งกลางระหวางอาคารกลาง เป็นที่ตั้งของลูกหิน 2 ลูกหมุนไปตามแรงดันของน้ำแทนสัญลักษณ์ของหยินและหยางเคียงคู่ เปรียบเหมือนเมื่อมีความดีย่อมมีความชั่ว เมื่อมีผู้หญิงย่อมมีผู้ชายคู่กัน

และจากตัวอาคารกลางฝั่งขวา เชื่อมด้วยทางเดินไปยังเก๋งอเนกประสงค์ สำหรับจัดกิจกรรม ภายในประดับตกแต่งด้วยตุ๊กตากระเบื้องจีน อาทิ 18 อรหันต์ ตามประวัติเล่าว่าเดิมทั้ง 18 องค์เคยเป็นโจรสลัดปล้นฆ่าอยู่กลางทะเล วันหนึ่งทั้งหมดสำนึกได้ว่าการปล้นฆ่าเป็นการสร้างบาปและทุกข์ให้แก่คนทั่วไป จึงตัดสินใจโยนอาวุธทั้งหมดทิ้งลงทะเล แต่คิดได้ว่าหากมีใครเก็บอาวุธใต้ทะเลได้ อาจจะเอาไปทำร้ายผู้อื่นต่อ ทั้งหมดจึงโดดลงไปในทะเลอีกครั้ง เพื่องมอาวุธขึ้นมาจากทะเล พอขึ้นมาจากทะเลได้ ทุกคนก็กลายเป็นพระอรหันต์ พร้อมทั้งอาวุธก็กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ 18 อย่างประจำแต่ละองค์ จึงมีชื่อเรียกว่า 18 อรหันต์มาจนถึงทุกวันนี้

ฝั่งซ้ายของอาคารกลางเป็นเก๋งประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์พระแม่กวนอิม สลักจากหินอ่อนปางประทับนั่งสูง 4 เมตร นำมาจากประเทศจีน ด้านนอกเป็นลานไม้โบราณ ขนาดใหญ่อยู่ในสภาพแข็งตัวกลายเป็นหินหรือฟอสซิล

นอกจากเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งดูราวกับได้เยี่ยมกรายก้าวข้ามไปยังประเทศจีนอย่างไรอย่างนั้น ภายในอุทยานยังมีระเบียงจิตรกรรมบนกระเบื้องกังไสจีนแสดงฉากจากพงศาวดารจีน สามก๊ก จำนวน 56 ตอน ความยาวรวม 240 เมตร คัดย่อตอนสำคัญตั้งแต่ตอนต้นเรื่องสามวีรบุรุษร่วมสาบานในสวนท้อ กระทั่งถึงตอนสุดท้าย สุมาเอี๋ยนได้รวมแผ่นดินเป็นเอกภาพ รวบรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ

ถือได้ว่านอกจากอุทยานสามก๊กจะย่อตำนานพงศาวดารซึ่งมีความยาวอย่างมากให้ได้รับรู้เรื่องราวของสามก๊กที่นำเสนอผ่านระเบียงจิตรกรรม และตัวละครเอกในรูปแบบของรูปปั้นกังไสกระเบื้อง ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ย่อความเป็นจีนผ่านสถาปัตยกรรมจีนร่วมสมัยมาตั้งไว้ในอุทยาน

***

สามก๊ก อมตะวรรณกรรมจีน

พงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กถือว่าเป็นที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นอย่างมาก เริ่มจากแพร่หลายในประเทศรอบข้างที่มีการติดต่อใกล้ชิดกับจีน อย่าง เกาหลี ญี่ปุ่น ญวน ต่อมาแพร่หลายไปทั่วโลก

วรรณกรรม 3 ก๊ก ฉบับสมบูรณ์เล่มแรกคือ ซานกั๋วจื้อผิงหั้ว เป็นนิทานชาวบ้าน รวบรวมเป็นเล่มครั้งแรกใช้ชื่อว่า "ซานกั๋วจื้อผิวหั้ว" ตีพิมพ์ในยุคราชวงศ์หงวน ช่วงจื้อจื้อศก(ค.ศ.1321-1323) หลัวก้วนจง(หลอกว้านจงหรือล่อก้วนตง)คนยุคราชวงศ์หงวน ต่อเนื่องกับราชวงศ์หมิงได้ปรับปรุงต่อเติม สร้างสรรค์เป็นนิยายเรื่องยาว ดำเนินเรื่องสามก๊กตั้งแต่ต้นจนจบ ใช้ชื่อว่า "ซานกั๋วจื้อทงสูเหยี่ยนอี้"แบ่งเป็น 240 ตอน ฉบับที่ยังคงได้รับความนิยมแพร่หลายในปัจจุบันคือ ฉบับซานกั๋วเหยี๋ยนอี้ที่เหมาจงกังปรับปรุงมีคุณภาพด้านวรรณศิลป์สูงขึ้น จึงได้รับความนิยมสูงสุด

ในประเทศไทย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 มีพระราชดำริให้จัดแปลพงศาวดารจีน เรื่อง 3 ก๊ก ไซฮั่น และพงศาวดารรามัญเรื่องราชาธิราช เพื่อให้คนไทยใช้ศึกษาเป็นตำราพิชัยสงคราม เรื่อง 3 ก๊กแปลโดยเจ้าพระยาพระคลัง(หน)ความยาวทั้งสิ้น 95 เล่ม สันนิษฐานว่าไม่ได้แปลทั้งหมด เนื่องจากสำนวนแปลตอนท้ายเรื่องเป็นคนละสำนวนกับตอนต้นเรื่อง กระทั่งพ.ศ.2408พิมพ์เป็นเล่มหนังสือครั้งแรกโดยโรงพิมพ์หมอบรัดเล ในสมัยรัชกาลที่ 4 พิมพ์เป็น 4 เล่มขายเล่มละ 20 บาท ได้รับความนิยมมาก

ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต โปรดให้ราชบัณฑิตยสภาชำระสอบทานต้นฉบับ แล้วพิมพ์ในงานพระเมรุสมเด็จพระปิตุฉาเจ้าฯ ต่อมาโรงพิมพ์พรรฒธนากรได้ขออนุญาตพิมพ์จำหน่าย ในชื่อ "หนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภา" เมื่อพ.ศ.2471 หนังสือสามก๊กที่แพร่หลายหลังจากนั้น พิมพ์ตามต้นฉบับหนังสือสามก๊ก ฉบับราชบัณฑิตยสภามาตลอด กระทั่งมีการชำระสอบทานต้นฉบับอีกครั้งโดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้าร่วมมือกับหอสมุดแห่งชาติ

เรื่องราวสามก๊กสนุกสนานตรึงใจผู้คน จึงมีนักเขียนไทยยุคต่อๆมานำเรื่องราวสามก๊กมาเขียนตีพิมพ์จำหน่ายอีกหลายๆท่าน อาทิ สามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบ(โชติ แพร่พันธุ์) สามก๊กฉบับนายทุนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ,พิชัยสงครามสามก๊กของสังข์ พัธโนทัย ,ฉบับแปลใหม่ ของวรรณไว พัธโนทัย ,สามก๊กฉบับสมบูรณ์ของวิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์ ซึ่งถือเป็นฉบับแปลสมบูรณ์ที่สุด และที่ได้รับการกล่าวขวัญมากและกลายเป็นหนังสือสามก๊กที่ขายดีที่สุดคือ สามก๊กฉบับคนขายชาติ ของเรืองวิทยาคม








กำลังโหลดความคิดเห็น