"ถนนสายไฮโซ"หรือย่านโครงการ 3 ของตลาดนัดจตุจักร กำลังกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตของบรรดาคนมีเงินทั้งหลายที่จะใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อไปเดินหาซื้อของประเภท Used Brand Name กันอย่างสนุกสนาน อ๊ะ!!!อย่าแปลกใจที่คนมีเงินกลับใจมาใช้ "ของมือสอง" กันเป็นเหมือนกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ชิดชนก จันทรารัตน์ หรือ "นก" เจ้าของร้าน "ของแท้" ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการ 3 ของสวนจตุจักร เปิดร้านขายของมือสองประเภทแบรนด์เนมในย่านนี้มาได้ 2 ปีแล้ว เขาบอกว่าทุกวันเสาร์และอาทิตย์ถนนแคบ ๆ ของโครงการ 3 ภายในสวนจตุจักรจะคลาคล่ำไปด้วยบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักทุกวงการที่แวะเวียนมาซื้อหาของแบรนด์เนมมือสองไปใช้กัน แทบทุกร้านค้าที่ตั้งอยู่ 2 ฟากฝั่งของถนนแคบ ๆ แห่งนี้จะแน่นไปด้วยลูกค้าที่เบียดเสียดกัน เพราะที่นี่ได้ชื่อว่า " แหล่งขายของแบรนด์เนมมือสองที่ใหญ่ที่สุด"
นก เป็นคนหาดใหญ่ที่มีชีวิตผูกพันกับของแบรนด์เนมมือสองมาตั้งแต่เล็ก ๆ
"ตั้งแต่เด็ก ๆ ผมก็รู้จักของแบรนด์เนมมือสองเพราะตลาดที่หาดใหญ่จะมีคนเอาของพวกนี้มาขายเยอะแยะในราคาถูกมาก ๆ"
นกเล่าว่าย้อนเวลากลับไปเมื่อ 30 ปีกว่านั้น ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่เป็นของมียี่ห้อดัง ๆ แต่ใช้แล้วทั้งหลายจะถูกลำเลียงจากประเทศสหรัฐอเมริกามายังมาเลเซียโดย UNเพื่อนำมาบริจาคให้แก่ประเทศยากจนแล้วก็กระจายเข้ามาถึงเมืองไทยแถว ๆ ปัตตานีจนมาถึงหาดใหญ่ที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตั้งแต่เด็ก ๆ ครอบครัวฐานะปานกลางอย่างนกจะใส่เสื้อยืดลาคอสต์ ,กางเกงยีนส์ Levi’s , เสื้อเวอร์ซาเช่ หรือกางเกงผ้าลินิน made in Italy เพราะของพวกนี้มาขายกันตัวละ 5 – 10 บาทเท่านั้น จากนั้นชีวิตของนกก็จะใช้แต่ของแบรนด์เนมมือสองตลอดมาไม่ว่าจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯก็จะต้องแวะเดินสนามหลวงที่เป็นแหล่งขายของแบรนด์เนมมือสองในยุคนั้น
ชีวิตของนกนั้นต้องกลับเข้ามาเกี่ยวข้องกับของแบรนด์เนมมือสองอีกครั้งเมื่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของเขาที่กำลังไปได้ดีเกิดเจ๊งขึ้นมาเพราะความอ่อนหัดในชั้นเชิงธุรกิจ เขาจึงตัดสินใจมาเปิดร้านขายรองเท้าแตะดีไซน์เก๋ ๆ อยู่ที่สวนจตุจักร
" ผมมาเดินเล่นที่สวนจตุจักรไปเห็นร้านรองเท้าหลายแห่งขายดี ก็เลยคิดจะทำบ้าง จึงทำเป็นรองเท้าแฮนด์เมดแบบอาร์ต ซึ่งก็ขายดีมาก ๆ "
ขณะที่เปิดร้านขายรองเท้าอยู่นั้น นกก็ลองนำของแบรนด์เนมที่ใช้แล้วของเขามาวางขายประมาณ 5 ชิ้น ปรากฏว่ามีลูกค้าสนใจซื้อไปจนหมด ทำให้เขาเริ่มจับทางตลาดออกว่าลูกค้าที่เดินสวนจตุจักรนั้นไม่ใช่มีแต่คนรายได้น้อยเท่านั้น แต่พวกเศรษฐีหลายคนก็ชื่นชอบมาชอปปิ้งที่นี่ด้วยเช่นกัน เขาจึงตั้งใจที่จะจับลูกค้าเศรษฐีมีเงินกระเป๋าหนักเท่านั้นเพราะเขาคิดว่าคนมีเงินนั้นไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นหรือลง คนพวกนี้ก็ยังมีเงินใช้ไม่ขาดมือ
บุกซื้อ "ขยะ"บ้านเศรษฐี
เมื่อเห็นลู่ทางเช่นนี้ นกจึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวจากขายรองเท้ามาเปิดร้านชื่อ "ของแท้" เพื่อขายของแบรนด์เนมแบบมือสอง โดยนำของใช้แล้วของตัวเองมาขายจนหมดแล้ว จากนั้นนกก็ต้องเริ่มเสาะหาของแบรนด์เนมมือสองจากแหล่งอื่น ๆมาขายบ้าง ซึ่งนกจะใช้กลยุทธ์ "ปากต่อปาก" ฝากบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ดังนั้นลูกค้าที่มาเดินซื้อของมือสองจากเขาหลายคนก็จะแนะนำลูกค้าให้แก่เขา ขณะเดียวกันก็มีลูกค้าระดับเศรษฐีหลายคนที่เอาของที่ตัวเองไม่ใช้แล้วกลายเป็น "ขยะ"เต็มบ้านที่เกะกะบ้าน มาขายต่อให้กับร้านของเขา
นกเล่าประสบการณ์ที่เขาพบมาให้ฟังว่า
" มีเด็กสาวคนหนึ่งมาเดินเล่นที่สวนจตุจักร บังเอิญมาเจอร้านของผม เขาก็มาทักว่าผมขายของแท้หรือเปล่า ผมบอกว่าของแท้ เขาเลยบอกว่าที่บ้านเขามีของพวกนี้ตั้งเยอะแยะเต็มบ้านไปหมด บางอันยังไม่ได้แกะกล่องใช้เลย แล้วก็เรียกให้ผมแวะไปเหมาหน่อย"
คืนนั้นหลังจากปิดร้านแล้ว นกก็เดินทางไปบ้านของเด็กสาวคนนั้นทันที ซึ่งอยู่ที่ย่านอ่อนนุช
" พอผมเดินผ่านประตูบ้านเข้าไปก็ต้องตะลึงเลย เพราะมีรถเบนซ์จอดเรียงรายเป็นสิบ ๆ คัน ผมเดินเข้าไปถึงเรือนรับรอง เขาก็เอาทั้งกระเป๋า รองเท้า ทุกอย่างที่เป็นยี่ห้อกุชชี่ มากองเต็มโต๊ะ ขนาดว่าแมกกาซีนที่เคยลงไฮโซบางคนที่มีของแบรนด์เนมเต็มตู้ ผมว่ายังน้อง ๆ ของบ้านนี้ "
หรืออีกรายหนึ่งแค่เห็นนามสกุลจากนามบัตรก็รู้แล้วว่ามีอิทธิพลขนาดไหน รายนี้ไม่ได้ให้นกไปที่บ้าน แต่ทุกครั้งจะนำของที่ใช้แล้วยัดใส่แน่นถุงแล้วให้เด็กมอเตอร์ไซน์มาส่ง ตกลงราคากันทางโทรศัพท์ก็โอนเงินกันเลย
นอกจากนี้นกยังมีเอเย่นต์ที่ช่วยมองหาสินค้ามือสองมาป้อนให้ร้านของเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน รวมทั้งตัวเขาเองก็จะต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งเพื่อไปดูตลาดสินค้ามือสอง
ปัจจุบันนี้ร้าน "ของแท้"จะมีสินค้าแบรนด์เนมมือสองทุกประเภทให้ลูกค้าได้เลือกซื้อหา ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า รองเท้า แว่นตา นาฬิกา เสื้อผ้า ฯลฯ มีทุกรุ่นทุกแบรนด์แม้กระทั่งกระเป๋าแอร์เมส ไปจนถึงกระเป๋ารุ่นลิมิตเต็ด
สมบัติผลัดกันชม
แม้จะมีร้านขายของแบรนด์เนมมือสองแข่งกันเปิดหลายร้านที่จตุจักร แต่สำหรับร้านของนกแล้วเขาบอกว่า" ผมไม่กลัวว่าจะขายไม่ได้ ผมกลัวไม่มีของขายมากกว่า"ทั้งนี้เพราะร้านของเขาจะขายสินค้ามือสองที่มีคุณภาพเท่านั้น สินค้าทุกชิ้นที่นกได้มานั้นบางชิ้นยังไม่ได้แกะกล่องใช้ด้วยซ้ำไป แต่ในทางการตลาดถือว่าซื้อออกจากร้านแล้วก็ต้องเป็นของมือสองไปโดยปริยาย เมื่อได้ของมาแล้ว นกจะสำรวจสภาพของที่ซื้อมาทันที ถ้าชิ้นไหนยังอยู่ในสภาพดีเขาก็เพียงแต่ทำความสะอาดแล้วก็นำออกโชว์ได้เลย แต่ถ้าของชิ้นไหนชำรุดเขาจะส่งซ่อมที่ศูนย์ทันที
" อย่างกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ใบหนึ่งผมซื้อมาในสภาพชำรุด ผมก็ส่งไปซ่อมที่ศูนย์ของหลุยส์ วิตตองที่ศูนย์การค้าเกษร แล้วที่ศูนย์การค้าเกษรจะส่งต่อไปที่ฮ่องกงอีกที กระเป๋าใบนั้นผมซื้อมา 2 หมื่นกว่าบาท เอาไปซ่อมต้องเสียค่าซ่อมอีกหลายหมื่นบาทแถมต้องรออีกตั้ง 6 เดือนกว่าจะซ่อมเสร็จ "
เมื่อถามถึงลูกค้าที่นิยมใช้ของแบรนด์เนมมือสองเป็นคนระดับไหนนั้น คำตอบของนกคงทำให้อีกหลาย ๆ คนตะลึง
"ลูกค้าประจำของผมบางคนเดินเข้ามาแล้วชี้..ชี้..ชี้..หมดไป 8 หมื่นบาทแล้วให้ผมส่งของไปให้ที่บ้าน บางคนมาซื้อของได้ทุกอาทิตย์ "
ลูกค้าประจำอีกคนหนึ่งเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของค่ายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง ซึ่งมาร้านนี้แต่ละครั้งแทบจะเหมาหมดทั้งร้านทีเดียว อีกคนเป็นน้องชายเจ้าของรายการโทรทัศน์ชื่อดัง เป็นคนชอบนาฬิกามาก ๆ จะแวะมาหาซื้อนาฬิกามือสองรุ่นแปลก ๆ ที่ร้านนี้อยู่เป็นประจำ
" ผมมีลูกค้าคนหนึ่งน่ารักมาก เป็นลูกค้าใหม่ เขาเดินเข้ามาที่ร้านแล้วบอกให้ผมจัดของขวัญให้เขาหน่อยเพราะเขาจะเอาไปให้น้องชาย พอผมสอบถามข้อมูลน้องชายเขาเสร็จแล้วผมก็เลือกเนกไททั้งแอร์เมส กุชชี่ ชาแนล ทั้งหมด 10 เส้น ๆ ละพันกว่าถึง 2 พันบาท ซึ่งก็ถูกกว่าที่เขาไปซื้อของใหม่เสียอีก ตอนหลังลูกค้าคนนี้กลายมาเป็นลูกค้าประจำของผมเลย ทุกอาทิตย์เขาจะโทรศัพท์มาสั่งว่าของชิ้นไหนที่ผมเห็นว่าเหมาะกับเขาก็เก็บแล้วส่งมาให้เขาได้เลย "
เรียกได้ว่าของแบรนด์เนมมือสองทุกชิ้นที่นก "จับ"มานั้น เขาจะรู้แล้วว่าควรจะมาปล่อยให้กับลูกค้าคนไหนดี เรียกว่ารู้ใจรสนิยมลูกค้าขาประจำทุกคนก็ว่าได้ เพราะบางคนซื้อมาไว้ใช้ บางคนซื้อเพราะต้องการสะสม ขณะที่บางคนซื้อเพื่อความสะใจของชีวิต ดังนั้นสินค้าในร้านของเขาจึงซื้อไวปล่อยไวเพื่อไม่ให้เงินทุนจมเพราะของแต่ละชิ้นราคาค่อนข้างสูงมาก ๆ อย่างนาฬิกาโรเล็กซ์หรือกระเป๋ารุ่นลิมิตเต็ดราคาเหยียบแสนทีเดียว
"ผมขายของมือสองอย่างนี้มีศักดิ์ศรีมากเลย "นกกล่าวสรุปกับชีวิตที่เขาค้นพบสิ่งที่ดีที่สุดแล้วหลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานมาหลายปี
หนุ่ม- Shoes Story
"เจ้าพ่อ"รองเท้าของเมืองไทย
ใครที่มาเดินถนนไฮโซจตุจักรแห่งนี้บ่อย ๆ ไม่มีใครไม่รู้จัก "หนุ่ม" เจ้าของร้านรองเท้าแบรนด์เนมมือสองชื่อ "Shoes Story" เพราะหนุ่มถือได้ว่าเป็นคนแรกที่บุกเบิกของแบรนด์เนมมือสองให้กับโครงการ 3 ที่เคยเป็นแหล่งขายต้นไม้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขณะที่โครงการ 5 เป็นแหล่งขายของเก่าแห่งแรกที่ใคร ๆ รู้จักกันหมดแล้ว
ด้วยวัยเพียงสามสิบกว่า ๆ เท่านั้น แต่ หนุ่ม- Shoes Story นั้นไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะที่ตลาดโรงเกลือติดกับด่านปอยเปตนั้นทุกคนจะรู้จักหนุ่มว่าเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดของโรงเกลือทีเดียว
หนุ่มเป็นเด็กที่มีความคิดและรักดี แม้ครอบครัวจะพอมีฐานะแต่เขาก็หาเงินด้วยการขายของเพื่อเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่วัยรุ่น จนเมื่อเรียนจบคณะนิเทศน์ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เขาก็ไปหันไปค้าขายรองเท้าแบรนด์เนมมือสอง ทั้งนี้เพราะเขาเป็นคนชอบซื้อรองเท้าแบรนด์เนมมือสองมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาบ้าขนาดเจ้าของร้านแถวสนามหลวงไม่ยอมขายให้เลย
หนุ่มเริ่มต้นชีวิตพ่อค้าขายรองเท้าด้วยการรับซื้อรองเท้าแบรนด์เนมมือสองจากเพื่อนมาแล้วนำไปขายต่อ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นเอาของมาจากตลาดโรงเกลือ แต่เขาก็ไม่กล้าไปเพราะคิดว่าเขมรยังรบกันอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้พลิกผัน เมื่อเขาโชคดีที่มีคนแนะนำให้รู้จักผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งและได้รับอนุญาติให้เข้าไปเลือกรองเท้ามือสองที่ส่งมาที่ตลาดโรงเกลือได้
"ตลาดโรงเกลือ" ถือเป็นแหล่งรองเท้าแบรนด์เนมมือสองที่ใหญ่ที่สุด โดยเส้นทางเริ่มจากรองเท้าแบรนด์เนมมือสองจากทั่วโลกจะมารวมกันที่ฮ่องกง แล้วพ่อค้าฮ่องกงจะส่งมาให้กับผู้มีอิทธิพลของเขมร 2 คน รองเท้าเก่า ๆ เหล่านี้จะถูกส่งกันมาครั้งละ 5 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อสัปดาห์ทีเดียว คอนเทนเนอร์หนึ่งหนักถึง 13 ตัน ถ้านับรวมแล้วแต่ละคอนเทนเนอร์จะมีรองเท้าเก่า ๆ อัดแน่นอยู่เกือบหมื่นคู่ทีเดียว
เพราะผู้ใหญ่เมตตา หนุ่ม จึงเป็นคนแรกที่ได้รับอภิสทิธิ์ให้เข้าเปิดและเลือกรองเท้าในตู้คอนเทนเนอร์ทั้ง 5 ตู้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ศัพท์ที่โรงเกลือจะเรียกว่า " น้ำหนึ่ง" คือคนแรกที่เลือกจนกว่าจะพอใจซึ่งต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงจะ "กลั่น" ของดีจริง ๆออกมาได้เพียง 20 – 30 คู่เท่านั้น เมื่อหนุ่มเลือกเสร็จแล้วจึงจะปล่อยให้ "น้ำสอง" เลือกต่อไปจนถึง " น้ำห้า"ซึ่งเป็นพวกรองเท้าที่เยินไปแล้ว
พ่อค้าหลายคนเมื่อเลือกรองเท้าเสร็จแล้วก็จะจ้างชาวเขมรที่ข้ามจากปอยเปตมารับจ้างล้างรองเท้าในราคาค่าแรงคู่ละ 1 บาท แต่สำหรับหนุ่มนั้น เขาบอกว่ารองเท้าทุกคู่ที่เขาเลือกมานั้นเขาจะลงมือล้างเองหมด
"รองเท้าเก่า ๆ ที่ซื้อมาส่วนมากจะจ้างคนเขมรทำความสะอาดคู่ละ 1 บาท เขาจะใช้กาละมังเพียงใบเดียวล้างรองเท้าเป็นพัน ๆ คู่ แต่สำหรับของผมจะซักเองทุกคู่ เพราะรองเท้ามียี่ห้อที่เลือกมาจะต้องมีเทคนิคในการล้างไม่อย่างนั้นจะเสียของหมด บางคู่ใช้สบู่ไม่ได้ ผมจะลางเองทุกคู่จนสะอาดไม่มีกลิ่นเจ้าของเดิมติดมาเลย"
บางครั้งรองเท้าที่หนุ่มเลือกมานั้นยังอยู่ในสภาพดีเยี่ยมเหมื่อยของใหม่ทีเดียว แต่รองเท้าบางคู่ที่ชำรุด หนุ่มจะลงมือซ่อมเอง และร้านของหนุ่มยังมีบริการซ่อมรองเท้าให้ลูกค้าด้วยถือเป็นAfter Service ให้แก่ลูกค้า
ลูกค้าทุกระดับประทับใจ
ทุกวันนี้ร้านของหนุ่มมีลูกค้าขาประจำเป็นจำนวนมาก เขาบอกว่า ทัศนคติของคนเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมซื้อสินค้าแบรนด์เนมจากห้างใหญ่ ๆ กว่า 80 % หันมาใช้แบรนด์เนมมือสองกันเป็นแถวไม่เว้นแม้กระทั่งเศรษฐี เพราะนอกจากจะเป็นของแท้แล้วราคาถูกกว่าตั้งหลายเท่าตัว เรียกว่าคนซื้อไปใช้แล้วHappy ทุกคน
ลูกค้าขาประจำของร้าน Shoes Story มีตั้งแต่ดีไซเนอร์ , ผู้จัดละคร , ดารา , นักศึกษา , สาวออฟฟิศ ไปจนถึงร้านขายรองเท้าใหญ่ ๆ ที่มาซื้อเพื่อเอาไปเป็นแบบก๊อบปี้ และร้านค้าในสยามที่มารับรองเท้าของหนุ่มไปเพื่อขายต่อ
ความโด่งดังของร้านหนุ่ม- Shoes Story ทำเอาลูกค้าญี่ปุ่นรายหนึ่งบินมาเพื่อเหมารองเท้าที่ร้านเขาไปเปิดร้านขายของมือสอง ซึ่งว่ากันว่าคนญี่ปุ่นนั้นบ้าแบรนด์เนมมากแต่มักไปซื้อแบรนด์เนมจากร้านค้า พอลูกค้าคนนี้ไปเปิดตลาดของมือสองที่โตเกียวและโอซาก้าทำให้ขายดิบขายดีจนต้องบินมารับสินค้าจากหนุ่มอยู่เป็นประจำ
หนุ่ม จับรองเท้าแบรนด์เนมมาเป็นแสน ๆคู่จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญสุดยอดเรื่องรองเท้าผู้หญิงอันดับหนึ่งของเมืองไทยทีเดียว เรียกได้ว่าผู้หญิงคนไหนที่ใส่รองเท้าแบรนด์เนมผ่านมาหนุ่มจะรู้ทันทีว่ายี่ห้ออะไร รุ่นไหนบ้าง สุดยอดจริง ๆ
ทั้งนี้หนุ่มเปิดเผยว่า เรื่องรองเท้าแฟชั่นนั้นปราบเซียนทีเดียว เพราะเป็นแฟชั่นที่เปลี่ยนเร็วมาก ไม่เกิน 3 เดือนก็เปลี่ยนแบบใหม่กันแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องติดตามแฟชั่นโลกอย่างใกล้ชิด โชคดีที่เขามีเพื่อนเป็นดีไซเนอร์ทั้งญี่ปุ่นและคนไทย ซึ่งเพื่อนเหล่านี้มักจะส่งข่าวอยู่เสมอเมื่อแฟชั่นกำลังจะเร่มเปลี่ยนแปลง
10 ปีกับชีวิตขายรองเท้าแบรนด์เนมมือสองจนกลายเป็นระดับเจ้าพ่อไปแล้ว ทุกวันนี้หนุ่มภูมิใจกับอาชีพของเขามากเพราะเขากลายเป็นที่รู้จักของผู้คนทุกวงการตั้งแต่ในเมืองไทยไปจนถึงระดับโลก จนเขายอมรับว่า "รองเท้าให้คุณแก่ผมจริง ๆ "
****
จากปารีสสู่เมืองไทย
คนไทยเพิ่งจะมาฮิตสินค้าแบรนด์เนมมือสอง แต่ที่ฝรั่งเศสถือได้ว่าเป็นแหล่งขายของมือสองที่เก่าแก่มานานแล้ว ที่ย่านปอร์คต์ เดอ กลิญ็องกูร์คต์ ย่านที่ขายของเก่าอันเลื่องชื่อซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงปารีส หรือที่อังกฤษก็มีย่านชานเมือง Camden Town
แม้ฝรั่งเศสจะได้ชื่อว่าผลิตของแบรนด์เนมที่มีชื่อก้องโลก แต่ระดับคนมีรายได้น้อยแต่รสนิยมสูงก็แทบจะไม่มีปัญญาหาซื้อมาใช้ได้ คนประเภทนี้จะต้องรอให้มีเทศกาลลดประจำปี 2 ครั้งคือช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนธันวาคมเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อใครไม่ต้องการจะรอช่วงเทศกาลลดราคาก็จะต้องแวะไปย่านขายของมือสองที่เอ่ยนามมาข้างต้น
ธุรกิจขายของแบรนด์เนมมือสองนั้นถือว่าเฟื่องฟูทีเดียว บรรดาพ่อค้าที่ขายของจะมีหน้าที่ไปเสาะแสวงหาของแบรนด์เนมที่ใช้แล้วมาเข้าร้าน แหล่งที่จะได้ของเหล่านี้ส่วนหนึ่งคือบรรดาบ้านของเศรษฐีที่โละของที่มีมากมายในบ้านจนกลายเป็นของเกะกะทิ้งไปเพื่อหาซื้อของใหม่มาแทน
นอกจากนี้ก็ยังไปหาของมือสองได้จากการเข้าประมูลตามโบสถ์ต่าง ๆ ที่มักจะมีคนใจบุญนำสิ่งของมาทำบุญปีละเป็นจำนวนมาก เมื่อไม่สามารถแจกจ่ายได้หมด ก็เลยต้องนำออกมาประมูลเพื่อผันของเก่ามาเป็นเงิน
สำหรับเมืองไทยนั้น ธุรกิจขายของแบรนด์เนมมือสองก็มีมานานหลายปีแล้ว มีตั้งแต่ตลาดขายของเก่าไปจนถึงบรรดาสาวไฮโซที่หันมาจับเป็นอาชีพ
พิมพ์พา เกียรตินิยม อดีตสาวสวยแอร์โฮสเตสของการบินไทยที่เป็นสาวไฮโซชื่อดังในยุคเมื่อ 20ปีที่ผ่านมา ก็หันมาเปิดร้านชื่อ Big Bee เพื่อขายของแบรนด์เนมมือสองที่บรรดาเพื่อนแอร์ด้วยกันไม่ใช้แล้วมาฝากขาย หรือแม้แต่คุณหญิงต้น – ม.ร.ว.ปิยาภัสร์ภิรมย์ภักดี ก็หันมาเปิดร้านขายของมือสองกับเขาด้วยเหมือนกัน
********
ผู้จัดการปริทรรศน์ รับสมัครเพื่อนร่วมงาน
-ถ้าคุณจบปริญญาตรี มีความมุ่งมั่นในอาชีพสื่อมวลชน
-พร้อมทำงานหนัก ซื่อสัตย์ ต่อตัวเอง และองค์กร
-มีมนุษย์สัมพันธ์ ทำงานเป็นทีมได้
เขียนใบสมัครด่วน ที่ฝ่ายบุคคล บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กทม.