บริษัท Head Hunter จะต้องบันทึกเอาไว้ด้วยว่าอาชีพคนตัดขนหมาหรือ Dog Grooming ในตอนนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก ขนาดตั้งเงินเดือนเรือนหมื่นรอไว้ก็ยังหาช่างไม่ได้ แถมยังกลายเป็นหนึ่งในอาชีพยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ไปเสียแล้ว
ตั้งแต่โบราณคนไทยนิยมเลี้ยงหมาไว้เพื่อเฝ้าบ้านเฝ้าสวนเป็นส่วนใหญ่ แถมหมาที่เลี้ยงก็เป็นพันธุ์ไทยขนเกรียนอีกด้วย ดังนั้นคำว่าตัดขนหมาหรือ Dog Grooming จึงแทบจะไม่มีใครรู้จัก จะมีเพียงหมู่คนที่เลี้ยงหมาเพื่อเข้าประกวดเท่านั้นที่จะรู้จักคำนี้ดี เพราะหมาทุกตัวก่อนจะเข้าประกวดจะต้องได้รับการตัดแต่งขนอย่างสวยงามเพื่อเรียกคะแนนจากกรรมการ ซึ่งขั้นตอนการหาช่างเพื่อจะมาตัดแต่งขนหมาที่จะเข้าประกวดนั้นยากมาก ๆ เพราะในเมืองไทยแทบจะนับช่างมีฝีมือได้เลย อย่างขาประจำที่รู้จักกันดีในหมู่คนเลี้ยงหมาเพื่อเข้าประกวดก็มีชาวจีนมาเลย์คนหนึ่งที่ถือหวีและกรรไกรมาหากินประจำอยู่ในสนามประกวด ไม่เช่นนั้นก็ต้องอุ้มหมาไปที่ร้านตัดแต่งขนหมาที่จตุจักรซึ่งจะต้องรอคิวอยู่นานเช่นกัน
แต่ในช่วงหลังมานี้ "หมา" เริ่มเขยิบฐานะจากหน้าที่ "เฝ้าบ้าน" มาเป็น "เพื่อนแท้ " แก้เหงามากขึ้น ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็หันมาเลี้ยงหมาตามแฟชั่นซึ่งจะเห็นได้จากบรรดาทั้งหญิงและชายวัยรุ่นที่นิยมอุ้ม "น้องหมา" ตัวเล็ก ๆ น่ารักเดินอวดตามถนนหรือห้างสรรพสินค้ากันเป็นแถว เพื่อเรียกร้องความสนใจจากบรรดาคนเดินถนนทั่วไปที่เหลียวมองแล้วอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าคนหรือหมาใครน่ารักกว่ากัน??
จนหลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่คนเลี้ยงหมาเพื่อแฟชั่นแล้ว สักวันก็จะทิ้งหมาให้กลายเป็นภาระที่สร้างปัญหาให้กับสังคมในอนาคต
จากเหตุผลข้างต้น ดังนั้นเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจึงมีคนก็เลี้ยงหมาเยอะขึ้นหลายเท่าตัว ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับหมาก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ทั้ง Pet Shop ,สปา , Dog Grooming หรือโรงพยาบาลหมา เป็นต้น
แม้ร้านประเภทตัดแต่งขนหมาที่เปิดกันขึ้นมาในขณะนี้มีหลายแห่งก็ตาม แต่คนที่เชี่ยวชาญเรื่อง Dog Grooming อย่างแท้จริงหลายคนบอกว่าเมืองไทยมีร้านตัดแต่งขนหมาที่มีมาตรฐานแทบจะนับร้านได้เลย
Dog Grooming อาชีพยอดฮิต
มีผู้รู้บอกว่าแต่เดิมการบริการตัดแต่งขนหมาจะแทรกตัวเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในคลินิกรักษาสัตว์ ที่ให้บริการสระ ไดร์ และตกแต่งขนหมาเป็นหลัก
" เมื่อก่อนนี้คนจับกรรไกรตัดขนหมาจริง ๆ จะเป็นหน้าที่ของเด็กรับใช้ที่อยู่ในร้านหมอหมา ส่วนความรู้เรื่องวิธีการตัดแต่งขนหมานั้นบรรดาเจ้าของร้านจะเปิดหนังสือเมืองนอกเพื่อศึกษาดูแบบและแปลมาเป็นภาษาไทยกันเอง หรืออาศัยหาประสบการณ์กันเอง " แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว
ดังนั้นในสายตาผู้รู้และเชี่ยวชาญในเรื่อง Dog Grooming แล้วต่างบอกตรงกันว่า รูปทรงขนหมาตั้งแต่พูเดิ้ลไปจนถึงยอร์กไชร์ของเมืองไทยจึงมีหน้าตาออกมาแปลกประหลาดไม่ตรงตามมาตรฐานสากล
เมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาน่าจะมีคนไทยเพียง 2 คนเท่านั้นที่เดินทางไปเรียน Dog Grooming มาจากเมืองนอก คือ อาจารย์ป้อม - ลดาวัลย์ โชติธาดา และวัชรี ปัญจทรัพย์
อาจารย์ป้อมเป็นอดีตพนักงานธนาคารกรุงเทพมานานถึง 21 ปี ปัจจุบันมาเปิดร้านตัดแต่งขนหมาในชื่อDogs&Cats ย่านเอกมัย 26 ได้กว่า 7 ปีแล้ว ซึ่งแต่เดิมเป็นคนหนึ่งที่เป็นขาประจำส่งพูเดิ้ลเข้าประกวดบอกว่าเมื่อก่อนหาช่างตัดขนแต่งขนหมาลำบากมาก จึงตัดสินใจเดินทางไปเข้าคอร์สเรียนตัดแต่งขนหมาที่ Tara Kara Academy of K-9 Hair Design พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินกิจการโดยชาวเม็กซิกันมา 3 ชั่วอายุคนแล้ว
" ตอนแรกตั้งใจอยากไปเรียนแค่ผูกจุกให้กับยอร์กไชร์ที่เลี้ยงอยู่เท่านั้น เพราะเห็นช่างทำแล้วไม่ถูกใจ " อาจารย์ป้อมกล่าว
แต่ทุกอย่างผิดคาด เพราะจากเดิมที่คิดว่าจะอยู่เรียนสัก 2 - 3 วันกลับต้องเข้าเรียนวิชาชีพการตัดแต่งขนหมาอยู่นานถึง 4 เดือน เพราะในหลักสูตรจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหมาอย่างรู้จริงและอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่วิธีการใช้เครื่องมือ เรื่องสรีระของหมาและแมว สายพันธุ์ต่าง ๆ ของหมา การบริหารธุรกิจ Dog Grooming เป็นต้น และถ้าใครต้องการจะเรียนต่อก็จะมีหลักสูตรเฉพาะของหมาแต่ละสายพันธุ์ให้เรียนรู้กัน
เวลา 4 เดือนกับเงินค่าเล่าเรียนที่สูงถึงเกือบ 5 แสนบาท อาจารย์ป้อมก็เรียนจบพร้อมหอบรางวัลชนะเลิศฝีมือดีเด่นของรุ่นมาอีกด้วย จากนั้นจึงตัดสินใจเปิดร้าน Dog Grooming ที่เป็นมาตรฐานสากลแห่งแรกของเมืองไทย คือนอกจากจะเน้นเรื่องฝีมือและบริการแล้ว รูปโฉมของร้านจะต้องสวยงามและสะอาด ที่แหวกแนวกว่าทุกร้านคือใครจะมาใช้บริการจะต้อง "นัดหมายล่วงหน้าด้วย "
"เปิดร้านในช่วงแรก ๆ ลูกค้าหลายคนรับระบบของเราไม่ได้ เพราะคิดว่าทำไมเงื่อนไขมากมายอย่างนี้ จะมีก็แต่ลูกค้าฝรั่งเท่านั้นถึงจะทำตามเพราะเขาคุ้นเคยกับระบบนี้ในบ้านเขาอยู่แล้ว"
อาจารย์ป้อมให้เหตุผลข้อดีของระบบนัดหมายว่าจะง่ายต่อการทำงานทั้งของลูกค้าและตัวเธอเอง เพราะพี่ป้อมจะเป็นคนลงมือตัดแต่งขนหมาด้วยตัวเองเกือบทุกขั้นตอน โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะต้องทำความสะอาดร้านก่อนที่จะรับลูกค้ารายใหม่ การทำระบบนี้ลูกค้าจะเชื่อมั่นว่าจะไม่มีโรคติดต่อไปถึงหมาที่เขาเลี้ยงได้
นอกจากนี้การได้สัมผัสกับหมาที่มาใช้บริการตัดแต่งขน จะทำให้สามารถสังเกตความผิดปกติของหมาที่บางครั้งเจ้าของอาจจะไม่รู้มาก่อน
ความที่เป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ไปจบด้าน Dog Grooming มาจากเมืองนอก ประกอบกับฝีมือที่เลื่องลือในวงการ ปัจจุบันอาจารย์จึงได้รับเชิญให้เป็นกรรมการคนไทยที่ร่วมตัดสินการประกวดตัดแต่งขนสุนัขแห่งประเทศไทย รวมทั้งเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชา Dog Grooming ให้กับนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป
อาจารย์จ๋า - สาธิต สุรัตพิพิธ อดีตอาจารย์สอนทำผม ที่หันมาเอาดีทางด้านตัดแต่งขนหมาโดยเปิดร้าน Starwood Grooming Center เพราะประจักษ์ด้วยตัวเองว่ารายได้จากการตัดแต่งขนหมานั้นดีกว่าตัดผมคนเสียอีก ดังนั้นอาจารย์จ๋าจึงแขวนกรรไกรตัดผมคนแล้วหันมาเปิดร้านตัดแต่งขนหมาอย่างจริงจัง และด้วยฝีมือที่เฉียบขาดด้วยถ้วยรางวัลชนะเลิศมากมายทำให้ชาวต่างประเทศยอมรับในฝีมือศิลปะในการออกแบบทรงขนหมาของอาจารย์จ๋า
ซึ่งอาจารย์จ๋าให้ความเห็นว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมมาเปิดร้านบริการตัดแต่งขนหมากันมากขึ้น ดังนั้นอาจารย์จ๋าจึงตัดสินใจจะจัดตั้งโรงเรียนสอนการตัดแต่งขนหมาขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองไทยที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ
" ตอนนี้กำลังเสนอหลักสูตรวิชาชีพสอนตัดขนหมาเข้าไปให้กระทรวงฯพิจารณาอยู่ ถ้าได้รับอนุมัติเมื่อไหร่ก็หมายถึงว่า โรงเรียนของผมก็จะยกฐานะเป็นโรงเรียนอาชีวะ ซึ่งผู้เข้าเรียนจะต้องจบม.3 ถึงจะเรียนได้ "
สำหรับหลักสูตรที่จะสอนนั้นก็ได้อาจารย์ป้อม จากร้านDogs&Cats มาช่วยวางหลักสูตรให้เหมือนกับมาตรฐานสากลที่เคยไปเรียนมา
แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่ได้คำตอบจากกระทรวง แต่โรงเรียนสอนตัดแต่งขนหมาของอาจารย์จ๋าก็เดินหน้าไปแล้ว เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาแห่กันมาเรียนมากมาย ซึ่งหลักสูตรเบื้องต้นจะต้องเรียน 2 เดือน ค่าเล่าเรียนประมาณ 2 หมื่นบาท และจะต้องเข้าเรียนทุกวันเพื่อเรียนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ
" คนที่มาเรียนนั้นส่วนมากเป็นเด็กที่จบปริญญาตรีมาเกือบทั้งนั้น บางคนเป็นสัตวแพทย์ด้วย นอกจากนี้ก็มีชาวต่างประเทศมาเรียนด้วยเหมือนกัน "
ซึ่งอาจารย์จ๋าบอกว่าอาชีพ Dog Grooming ในขณะนี้กลายเป็นอาชีพที่มีเกียรติในสังคมไปแล้ว เพราะเมื่อก่อนอาจจะฝึกเด็กรับใช้มาทำ แต่ตอนนี้ยกระดับไปถึงขั้นคนจบปริญญาตรีก็ยังให้ความสนใจมาเรียนกันมาก
งานดี- เงินดี
"ทุกวันนี้จะมีแต่เจ้าของร้าน Dog Grooming โทรศัพท์มาจองนักเรียนที่กำลังจะจบกับเราอยู่เป็นประจำ แต่เราก็ไม่สามารถหาให้ได้ เพราะนักเรียนแต่ละคนที่มาเรียนนั้นถ้าไม่ใช่เจ้าของร้านส่งมาเรียนก็มีแผนจะเรียนเพื่อไปเปิดร้านของตัวเองทั้งนั้น " อาจารย์จ๋ากล่าว
สำหรับค่าตอบแทนสำหรับวิชาชีพตัดแต่งขนหมานั้น ถ้าเป็นช่างประจำร้านจะมีรายได้ตกเดือนละเกือบ 2 หมื่นบาททีเดียว หรือถ้าเปิดร้าน Dog Grooming ในละแวกหมู่บ้านขอให้มีลูกค้าวันละ 3 - 4 ตัว ก็จะมีรายได้เกือบวันละ 2,000 บาท จากค่าตกแต่งขนหมาตัวละ 350 บาท
แต่การจะเดินเข้าสู่วิชาชีพนี้ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะจะต้องลงทุนด้วยต้นทุนที่สูงเช่นกัน เพราะนอกจากค่าเล่าเรียนที่สูงเฉียดแสนบาทแล้ว อุปกรณ์ตกแต่งขนหมายังมีราคาแพงกว่าเครื่องมือตัดผมคนเสียอีก อย่างเช่น ใบมีดหรือปัตตะเลี่ยนราคาหมื่นกว่าบาท แต่ถ้าต้องการเครื่องมือดี ๆ จากเมืองนอกนั้นจะต้องควักเงินถึง 1 แสนบาททีเดียว เพราะช่างมืออาชีพแต่ละคนจะต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้ประจำตัวคนละ 1 ชุดเป็นอย่างน้อย
Dog Grooming เริ่มมาฮิตจริง ๆ เมื่อ 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เริ่มมีร้านให้บริการรับตกแต่งขนหมาเปิดกันเต็มไปหมดพอ ๆ กับร้าน Pet Shop ขณะเดียวกันรูปแบบของร้านก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก่อนถ้าใครอุ้มลูกหมาไปใช้บริการ Dog Grooming จะได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของหมาลอยมาปะทะจมูกทันที ส่วนร้านก็ดูเก่า ๆ อยู่ตามคลินิกรักษาสัตว์ แต่เดี๋ยวนี้ร้าน Dog Grooming โฉมใหม่ทันสมัยพอ ๆ กับร้านทำผมคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้าน อุปกรณ์ที่ทันสมัยรวมถึงความสะอาด และเริ่มจะแยกตัวเข้าไปเปิดตามห้างสรรพสินค้ากันมากขึ้น
อาจารย์จ๋าให้ข้อแนะนำว่าถึงแม้จะมีร้านเปิดกันขึ้นมามาก แต่การแข่งขันก็ยังไม่อิ่มตัว โดยแนะนำให้ลูกศิษย์ที่เรียนนั้นหันไปเปิดบริการเจาะกลุ่มลูกค้าตามหมู่บ้านที่ยังมีกำลังเงินอีกจำนวนมาก รวมทั้งการไปเปิดบริการต่างจังหวัดที่แทบจะยังไม่มีใครไปบุกเบิกเลย แต่ต้องกล้าลงทุนตกแต่งร้านให้ทันสมัยเหมือนกรุงเทพฯ
สุดท้ายอาจารย์ป้อมให้ข้อคิดสำหรับศิษย์รุ่นใหม่ที่อยากจะเข้ามาสู่วิชาชีพนี้ว่า งาน Dog Grooming เป็นงานอิสระที่มีเกียรติ แต่ก็เป็นงานหนัก ใครที่จะมาทำงานนี้จะต้องอดทนมาก ๆ รวมทั้งเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อจากหมา แต่ข้อดีก็คือพวกคนรุ่นใหม่จะเข้ามาช่วยพัฒนาวิชาชีพนี้ให้มีมาตรฐานมากขึ้น