xs
xsm
sm
md
lg

พูดจา(เพลงไทย)ภาษาฝรั่ง กับ"ทอดด์ - บรูซ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เวลาที่เห็นคนไทยด้วยกันเองเล่นเครื่องดนตรีไทยเดิม ร้องเพลงลูกทุ่ง เล่นโขน เล่นลิเก คุณรู้สึกอย่างไร?

เก็บเอาความรู้สึกนั้นไว้...

แล้วทีนี้ลองมาดูกันว่าหากคุณเห็นฝรั่งหัวแดงๆ ตาสีฟ้าอย่าง "โจนัส - คริสตี้" มาแหล่เพลงพื้นบ้าน เว้าอีสานเซิ้งหมอลำ หรือเป็น "บรูซ แกสตัน" กับวง "ฟองน้ำ" ของเขาเล่นเพลงเขมรไทรโยค, ลาวดวงเดือน เรื่อยไปกระทั่งการเต้นโขนร้องลิเกด้วยท่าทางแปลกๆ เสียงแปร่งๆ ของหนุ่ม "ทอดด์ ทองดี" แล้ว คุณรู้สึกอย่างไร?

เอาความรู้สึกทั้งสองความรู้สึกมาเปรียบเทียบกันดู

บอกได้มั้ยว่าคุณรู้สึกชื่นชมใครมากกว่ากัน?

"ไทย" หรือ "ฝรั่ง"

เป็นเรื่องแปลกแต่ก็เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะพื้นบ้าน - เพลงพื้นเมืองในเกือบจะทุกสังคมทุกชาติที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยคนในพื้นที่เองมักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไหร่

ผิดกับชาวต่างชาติ แขกบ้านต่างเมือง ที่มักจะเกิดอาการต้องตาต้องใจและศึกษาในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงๆ จังๆ จนมีความรู้แตกฉานชนิดที่เจ้าของพื้นที่เองยังต้องอาย

พูดถึงศิลปินต่างชาติในข่ายดังกล่าวของบ้านเราที่รู้จักกันดีคงจะหนีไม่พ้นสองฝรั่งอเมริกันอย่าง "ทอดด์ ทองดี" และ "บรูซ แกสตัน" กับวง "ฟองน้ำ" ของเขา

นานเป็นหลายสิบปีที่ทั้งคู่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเรียกได้ว่าอยู่จนรู้เรื่องไทยๆ มากกว่าคนไทยอย่างเราๆ เสียอีก

"เขารู้เรา" มามากแล้ว วันนี้ "เรา" ลองไป "รู้เขา" กันดูบ้างจะเป็นไรไป


จากใจฝรั่งเพี้ยน "ทอดด์ ทองดี"
"ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนไทย"


"ผมเป็นคนอเมริกัน ผมเป็นคนของที่นี่มากกว่า..." ทอดด์ ตอบคำถามกับเราที่ว่าอยากจะโอนสัญญชาติเป็นคนไทยหรือไม่? เป็นการเริ่มการสนทนา...ก่อนที่เขาจะให้เหตุผลในสิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นเพราะเขาไม่อยากทรยศกับบ้านเกิดของตนเอง

"บางครั้งผมไม่กล้าออกจากบ้านนะเพราะคิดถึงบ้าน (หยุดคิด) อย่างเช่นคนเล่นหมอลำมาเล่นให้คนกรุงเทพฯดู คนชอบนะ นั่นคือตัวเขาลึกๆ เลย เขาหนีมันไม่พ้น ถึงจะอยู่กรุงเทพฯ ถึงจะทำงานพูดภาษากลาง ถ้าเป็นภาษาบ้านผมเขาเรียกว่า เอาคนออกจากบ้านได้ แต่เอาบ้านออกจากคนไม่ได้"

"ผมเป็นคนรักบ้านมากๆ ก็เลยเจ็บเล็กน้อยเวลาใครพูดว่า คุณทอดด์เขามีหัวใจไทย มันไม่ได้รังเกียจอะไรนะ แต่รู้สึกว่ามันไม่ซื่อสัตย์ ผมคิดว่ามันเป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนกันมากกว่า เน้นคำว่าแลกนะ เราซื่อสัตย์กับบ้านเรา แล้วเรามาแลกกัน ใจเราเปิดให้กัน น่าจะดีกว่า"

ถ้าจะเล่าถึงความเป็นมาของผู้ชายเอากันอย่างสั้นๆ ก็คือเขาเกิดที่เมืองสแครนตั้น รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา มีพี่น้อง 6 คน เขาเป็นลูกชายคนเดียว นิสัยค่อนข้างจะดื้อ เดินทางเข้ามาที่ประเทศไทยขณะที่เป็นนักศึกษาทุนฟูลไบรท์ เพื่อทำโครงการเรื่องสมุนไพรในชนบทไทยเป็นเวลา 1 ปี

หลังจากที่ได้มีโอกาสเข้าไปรู้จักและทำงานกับวงดนตรีของบ้านเราทั้ง คาราวาน ซูซู รวมทั้งคาราบาวชื่อของ "ทอดด์ (ทองดี) ลาเวลล์" ก็เริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นก่อนจะขยายในวงกว้างเมื่อเขาได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคอนเสิร์ต Super Star Tour ปี พ.ศ. 2534 ซึ่งในช่วงนั้นเขาได้ไปออกรายการโทรทัศน์มากขึ้นโดยเฉพาะรายการที่เกี่ยวกับการโต้วาที ก่อนที่จะทำมาเรื่อยทั้งงานเพลง เขียนคอลัมน์ เขียนหนังสือ พิธีกร เล่นหนัง เล่นละคร มากมายก่ายกอง

ล่าสุดที่จะเห็นเขาเป็นประจำก็ในชุดโจงกระเบนกับมาดของการเป็นหนึ่งในพิธีกรของรายการ "คุณพระช่วย"

"อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมอยู่เมืองไทย ก็คือว่า เรารักกันทุกวัน การเรียนรู้ก็มีเยอะ อย่างเมื่อคืนนี้ผมยุ่งมากเพราะเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ที่นิวยอร์กให้กับททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ผมเป็นคนอเมริกันเล่นให้คนอเมริกันดู ผมน่าจะรู้เรื่องอะไรดีนะแต่ว่าพอผมแสดงไปได้สักพักก็มีหัวหน้าของททท. ขึ้นมาบนเวที ผมรู้เลยว่าเขาพูดดีกว่า เข้าใจมากกว่า"

"เราต่างกันสิ้นเชิงเลยนะ ผมก็นั่งคิดแล้วก็เขียนเป็นโน้ตในสมองว่าเราต้องเรียนรู้อีก เขามีความน่ารักกับคนอเมริกันในแบบที่ผมไม่มี บางอย่างเป็นเหมือนกันก็อาจไม่รับ อย่างเช่น การเขย่าสะโพก การเขย่าเป้าเวลาเล่นหมอลำ เขาทำอย่างไรก็น่ารักนะ แต่ผมทำอย่างไรก็ลามก ก็เลยเป็นเรื่องที่ผมต้องเรียนรู้อีก"

ครั้งแรกที่ได้รู้จักเมืองไทยรู้สึกอย่างไรบ้าง?

"ตื่นเต้น! (ตอบเร็ว) ได้รู้ ได้เห็นอะไรใหม่ๆ ดูเหมือนว่าคนไทยกำลังจะตื่น กำลังจะกล้ารู้จักตัวเอง กล้าที่จะใช้ทรัพยากรในตัวเองให้มากขึ้น และเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ผมว่ามีเยอะมากขึ้นนะครับ ทุกวันนี้ผมแปลกใจที่เรารู้จักตัวเอง รู้จักวิธีพูด เข้าใจในภาษามากขึ้น มีการเคลื่อนไหว มีการสร้างสรรค์และคิดอะไรใหม่ รวมทั้งเรื่องเด็กที่อยากเรียนรู้แต่ไม่มีใครตอบสนองความสงสัยของเขา เขาก็เลยเดินทางผิด ที่แน่นอนคือคนไทยมีสีสันมากขึ้น ผมเป็นคนอเมริกันชอบที่จะเห็นคนหลากหลายแบบที่เป็นตัวของตัวเอง"

ถามถึงอุปสรรคของการใช้ชีวิตในเมืองไทยทอดด์บอกว่าไม่ค่อยจะมีมากนักเพราะที่ผ่านมาเขาเรียนรู้มาหลายครั้งแล้วว่าจะอยู่กับความยากลำบากได้อย่างไร

"ผมโตมาโดยเคยชินกับความลำบาก ไม่ได้มีเงินมากมาย ก็เลยกลายเป็นว่าตั้งนิสัยตัวเองให้รับกับสถานการณ์ อย่างการพูดภาษาไทยก็ให้รับกับสถานการณ์ ก็ลำบาก แต่รู้ว่ามันมีผล มีนโยบายในใจว่า โอเค กินอะไรก็ได้ที่ไม่เคยกิน ลองดู ถ้าเรามุ่งความสบายก็เป็นเรื่องผิวเผิน ผมเป็นคนที่ชอบเหงื่อ ชอบคนทำงานเป็น" "เรื่องวีซ่าอะไรไม่มีนะ เพราะผมมีใบอนุญาตทำงาน มีบริษัท เสียภาษีเยอะเหมือนกัน (หัวเราะ) ผมเองอยากอำนวยความสะดวกให้ฝรั่งมากกว่า อยู่เมืองไทยสบายนะ แต่บางคนก็ลำบากกว่าอยู่อเมริกา ผมว่าถ้าคนต่างชาติสามารถทำให้เห็นได้ว่าตัวเองสร้างสรรค์ หรือมีประโยชน์ต่อประเทศไทย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นตัวเลขมหาศาล ก็น่าจะช่วยบ้าง ที่เห็นก็มีหลายคน มีนิสัยที่จะสอน นิสัยที่จะให้ แต่ต้องเดินทางบ่อย ผมเสียดายบุคลากรที่สร้างสรรค์"

"ผมอยู่ที่ไหนก็มีความสุขนะ ผมดีใจมากๆ ที่ตัวเองยังตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อรู้ว่าจะไปไหน (หัวเราะ) ผมเป็นผู้ชายที่ง่ายมากๆ เลย อย่างเมื่อคืนผมขึ้นเครื่องบินมาลงที่ควีน (นิวยอร์ก) ซึ่งผมไม่เคยมาที่นี่ ผมก็เลยเดินคนเดียวกลางถนน ตอนตีสองตีสาม หนาวมากๆ เลย แต่มันก็สวยงามมากๆ เลยนะ ผมไม่อยากนอน ไม่อยากง่วง ผมเป็นคนที่ตื่นเต้นกับชีวิตตลอด จนคนใกล้ตัวเขารำคาญผม (หัวเราะ)"

คนไทยมักชื่นชมชาวต่างชาติที่มาช่วยอนุรักษ์ความเป็นไทยมากกว่าคนไทยที่ทำตรงนี้เหมือนกัน คุณมองตรงนี้อย่างไร?

"ผมสวดมนต์ให้เขานะ คำว่าร่วมมือร่วมใจกันมีความหมายมากๆ ผมไม่สนใจว่าเขามาชมผม ชมคุณหรือว่าอะไร ขอให้เขามีสติ รู้จักเรียนรู้ มีหลายครั้งเลยนะที่ผมรู้ว่าความเป็นฝรั่งเปิดประตูให้ผม ผมไม่อาย ผมคิดแต่ว่าเมื่อเข้าห้องแล้วผมต้องทำอะไร จริงๆ ทุกคนมีกุญแจของเขา ไม่ว่าจะเป็นหน้าอกใหญ่ หน้าตาหล่อ มีชื่อเสียง หรือว่าจะเป็นหน้าฝรั่งของผม อย่างไรก็ช่าง ผมว่าเมื่อมีโอกาสก็ทำเลย แล้วแต่เจตนาของเราเป็นอย่างไร ผมคิดว่าคนต่างชาติมีประโยชน์มากในเมืองไทยนะ เพราะมีวิสัยทัศน์ที่คนไทยไม่มี"

หลายคนมักพูดกันว่า คนไทยมักทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่มีเหตุผล(เท่าฝรั่ง) เท่าที่คุณสัมผัสมาทั้งคนไทยและฝรั่ง คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

"ผมก็เห็นเหมือนคนทั่วโลกนะ บางคนคิดเป็น บางคนรอบคอบ บางคนก็ถืออารมณ์เป็นนาย มันก็แล้วแต่คน ผมไม่ได้รู้สึกว่าคนไทยมีอะไรที่พิเศษ แต่ที่รู้สึกแน่ๆ คือ คนไทยมักพูดก่อนคิดเป็นประจำ เขาเลยถูกมองดูไม่ดี คนไทยยังทักกันเรื่องอ้วนเป็นประจำ ถ้าเป็นฝรั่งเขาคงชกหน้าไปแล้ว มันไม่ค่อยให้กำลังใจกันเท่าไร ควรจะคิดก่อนว่าเขามาอารมณ์ไหน เขาเจออะไรมา เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากๆ ของคนไทยในตอนนี้ บางเรื่องก็แคร์กันมากเกินไป แต่ในเวลาเดียวกันก็พูดบางอย่างที่ผมคิดว่าโหดมากกับคนอื่นนะ"

ในขณะที่หลายๆ คนต่างคิดกันไปต่างๆ นานาถึงนิยามของคำว่า "ความเป็นไทย" ในส่วนตัวของทอดด์เองเขาบอกว่าความเป็นไทยในความรู้สึกของเขาคือการเป็นทูต

"ผมเพิ่งพูดในคอนเสิร์ตเมื่อคืนนี้เอง ความเป็นไทยคือความเป็นทูต มีแขนที่กว้าง รับได้หมด และมีฝีมือมากๆ ในโลกตอนนี้ (หยุดคิด) วัฒนธรรมหรือสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนแผ่นดินไทย เช่น มโนราห์ของภาคใต้ หมอลำของภาคอีสาน มาจากประเทศอื่นทั้งนั้นนะ ไม่น่าจะอวดว่าเป็นของไทย แต่น่าอวดว่าไทยให้บ้าน ให้ที่อยู่ ไทยเป็นแค่เขตเล็กๆ แต่มีหมดทุกอย่าง ศิลปะ ความคิด สามารถอยู่ด้วยกันได้หมด"

หลายคนมักจะบอกว่าคุณเพี้ยน...

"ถ้าใครว่าผมแปลก ผมถือว่าเป็นคำชม ชอบมากๆ เลย ผมกลัวอยู่อย่างเดียวว่าใครจะว่าผมเหมือนคนอื่น ผมกลัวมาตั้งแต่เด็กยันแก่เลย แต่เมื่อผมลงมือทำจริงในหลายๆ อย่าง ผมก็เห็นคนอื่นทำอยู่ แต่อยู่ในรูปแบบของเขา เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้ก็ต้องลองทำ อย่างวันก่อนมีเด็กกับแม่มาทักผมในสนามบิน เด็กบอกว่าดูรายการคุณพระช่วยทุกครั้ง พี่เท่มากครับ ทำไมพี่ไม่คิดทำเพลงร็อกผสมหมอลำครับ เข้าท่านะ ผมทำมาสามชุดแล้ว ผมก็ยืนขำ ตลก ไม่ได้ว่าอะไร"

"สักพักผมสูดหายใจแล้วก็ถามเลย นี่น้อง แล้วถ้าคุณจะทำเพลงร็อกผสมหมอลำ คุณจะทำอย่างไร นี่ผมก็รอคำตอบจากน้องเขาอยู่ (หัวเราะ) ในความคิดของผม ทุกคนทุกเวลามีโอกาสที่จะเรียนรู้ และผมรู้สึกว่าเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้มาอยู่บนโลกนี้ มันไม่ใช่การทรมาน หรือการใช้กรรมอะไรเลย ผมว่ามันเป็นโอกาสนะ"

ดนตรีไทยกับจุดเปลี่ยนชีวิตของ "บรูซ แกสตัน"

ด้วยประสบการณ์ ด้วยการทำงานอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 40 ปี ถึงตอนนี้ถ้าจะบอกว่าหนึ่งในคนที่รู้เรื่องดนตรีไทยมากที่สุดในบ้านเราเป็นฝรั่งที่ชื่อ "บรูซ แกสตัน" คนนี้เชื่อว่าน้อยคนที่จะคัดค้าน

ถ้าจะถามว่าอะไรที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตของผู้ชายคนนี้มากที่สุด คำตอบนั้นมี 2 ข้อด้วยกันหนึ่งคือสงครามเวียดนามและสองคือการได้พบกับครูดนตรีไทยชื่อดัง "บุญยงค์ เกตุคง" ในช่วงปี พ.ศ.2500 ที่ทำให้เกิดวง "ฟองน้ำ" จนส่งผลให้เพลงไทยเดิมได้ถูกบรรเลงผ่านเครื่องดนตรีสากล

"ช่วงแรกที่ผมเข้ามาในประเทศไทยเป็นช่วงสงครามเวียดนามพอดี ผมเป็นคนกินมังสวิรัตินะ ผมจึงไม่ยอมฆ่าคน รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาบอกไว้ว่า ถ้าหากเราไม่เห็นด้วยกับสงคราม ก็มีสิทธิที่จะทำงานช่วยสังคมเป็นเวลา 2 ปีทดแทนการเป็นทหาร ผมจึงมาเมืองไทยเพื่อสอนดนตรี ตามโครงการของรัฐบาลอเมริกัน"

"ตอนนั้นผมสอนดนตรีอยู่ในโรงเรียนเอกชนที่พิษณุโลก ชื่อโรงเรียนผดุงราษ โรงเรียนก็ไม่รวยนัก ไม่มีงบประมาณที่จะส่งเสริมหรือซื้อเครื่องดนตรีดีๆ สวยๆ เหมือนกับโรงเรียนชาย โรงเรียนหญิงของรัฐบาล ซึ่งเขามีวงโยธวาทิตที่สวยงาม มีเครื่องดนตรี เครื่องเป่า ทรัมเป็ต ทรอมโบน ทูบา แต่พวกเครื่องดนตรีต่างๆ เนี่ย เราไม่มีเลยและก็ไม่มีงบประมาณที่จะซื้อด้วย"

"ถ้าจะพูดถึงเรื่องความตั้งใจแรกเริ่มเดิมที ผมอยากเข้ามาส่งเสริมเด็กในโรงเรียนที่ผมสอนให้มีกิจกรรมดนตรีที่สู้กับโรงเรียนอื่นๆ ได้ เพราะว่าในวันสำคัญๆ จะมีกิจกรรมต่างๆ ที่นำมาแข่งขันกัน เช่น การเดินพาเหรดในแต่ละเทศกาล เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราไม่มีงบประมาณที่จะซื้อเครื่องดนตรีดีๆ สวยๆ ผมก็คุยกับเด็กว่า เราสามารถนำศิลปะมาเป็นอาวุธไว้ต่อสู้ได้ เราใช้ความคิดและใช้ปัญญาของเราทำดนตรีที่ดีๆ แทนที่เราจะเดินสวยๆ แบบปกติ เราก็เดินเท้าเปล่าเลย"

"คือผมมาจากมหาวิทยาลัยที่มีวงโยธวาทิตดังที่สุดของอเมริกาในสมัยนั้น (University of Southern California, 2512) ซึ่งผมได้บทเรียนจากครูบาอาจารย์ของมหาวิทยาลัย คือการเดินในความเงียบเป็นเรื่องที่เรียกความสนใจได้ ไม่จำเป็นต้องมาตีกลองตลอด และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจแต่ทำได้ยากเหลือเกิน ทำอย่างไรที่จะให้กลุ่มเด็ก 30 คนเดินพร้อมเพรียงกันในความเงียบ โดยมีสมาธิ เราก็เลยเอาไม้ไผ่กับขลุ่ย ซึ่งเป็นของที่ใช้งบประมาณน้อยมากไม่ได้แพงอะไร"

"ไม้ไผ่ก็ไปหาในทุ่ง ก็เลยเอาไม้ไผ่กับขลุ่ยมาช่วยการเดินเท้าเปล่า โดยมีการทิ้งจังหวะบางครั้ง เราสามารถเดินพร้อมเพรียงกัน 12 จังหวะ 16 จังหวะ 32 จังหวะ โดยไม่มีเสียงอะไรเพราะเราเดินเท้าเปล่า มันยิ่งเงียบไง (หัวเราะ) มันเป็นความภาคภูมิใจของเด็ก แพ้ก็แพ้สิเพราะเราเดินไม่สวย ไม่มาตรฐานเหมือนเขา แต่ว่าเด็กทุกๆ คนภูมิใจว่าเราดีกว่า เราเก่งกว่า เพราะว่าเราทำในสิ่งที่ยากมาก สิ่งที่มีความหมาย และมีคุณภาพทางศิลปะ"

ถือว่าเป็นการสอนที่ประสบความสำเร็จไหม?

"ใครจะถือละ (ตอบเร็ว) เราแพ้เขา เราเป็นปลายแถว คุณคิดว่าผมทำสำเร็จหรือเปล่าละ แต่ถ้าในแง่จิตใจของเด็ก เราก็เข้าใจว่าเราทำได้ดีที่สุดในสิ่งที่เราตั้งใจจะทำ ความสำเร็จมันเป็นคำที่ยังต้องพูดกันอีกนาน สำเร็จในแง่ไหน สำเร็จในแง่สายตาของคนในสังคม หรือสำเร็จในแง่ทะลุเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ คำว่าความสำเร็จผมจะไม่ขอตอบนะ เพราะคำว่าความสำเร็จมันเป็นคำที่เข้าใจยาก สำเร็จอย่างแท้จริงคืออะไร ที่ตอบอย่างนี้เพราะว่าในสังคมนั้น ความสำเร็จมักจะมีความหมายในสายตาของสังคม แต่ศาสนาสอนเราอยู่อย่างเดียวว่าความสำเร็จคือตาย"

หลายสิบปีที่สัมผัสกับดนตรีไทยมาอาจารย์บรูซบอกว่าในความเป็นเพลงไทยเดิมจริงๆ นับวันจะยิ่งถูกลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่วงการเพลงไทยเองก็กำลังทิ้งความเป็นศิลปะเพื่อเดินเข้าไปสู่การค้าอย่างเต็มรูปแบบขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

"ถ้าเราจะพูดถึงดนตรีไทยเดิม สรุปได้ว่าบทบาทของดนตรีไทยเดิมในสังคมไทยมันลดน้อยลงตลอด ดนตรีลูกทุ่งมีแต่เพิ่มขึ้นๆ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ยังไม่มีเพื่อชีวิต ยังไม่มีสตริง ลูกกรุงก็ดังมากๆ ดังมากกว่าลูกทุ่ง ดนตรีลูกทุ่งยังเป็นเรื่องใหม่แต่มันก็มีรากฐานมาจากดนตรีไทยเดิม โดยเฉพาะเพลงที่เกิดจากลิเก และมันก็มีความสำคัญต่อสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ"

"ดนตรีค่อยๆ กลายเป็นพาณิชย์ เป็นธุรกิจ จนมาถึงยุคของแกรมมี่ก็กลายเป็นธุรกิจเต็มตัวเหมือนกับฝรั่ง ลักษณะของดนตรีก็เปลี่ยนแปลงไปตามกติกาของธุรกิจ งานที่เป็นศิลปะก็น้อยลง ดนตรีไทยเดิมก็น้อยลง ก็มีการเปลี่ยนแปลง เพราะสมัยก่อนไม่มีใครคิดที่จะใช้ดนตรีเป็นธุรกิจ มีแต่ทำดนตรีเป็นศิลปะ การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ทำให้ลักษณะและบทบาทของดนตรีในสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป"

ดนตรีไทยและดนตรีสากลเหล่านี้ให้อะไรกับคุณบ้าง

"ไม่รู้นะ (หัวเราะ) ผมเป็นนักดนตรีมาตั้งแต่อายุสามขวบ ผมขาดดนตรีไม่ได้ แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดว่าให้อะไรหรอก ไม่มีไม่ได้ ขาดไม่ได้ สันดานก็เป็นดนตรี โชคชะตาก็เป็นดนตรี อะไรก็เป็นดนตรีไปหมด ไม่เคยคิดที่จะเป็นอย่างอื่น รักทางนี้ ขาดไม่ได้ ผมชอบอยู่กับดนตรีที่เป็นศิลปะ ที่มีคุณค่า ไม่ใช่ของโหลๆ ที่อาจจะขายดีหรือพบความสำเร็จในสังคม หรือด้านการค้า ด้านพาณิชย์ ผมชอบที่จะอยู่กับสิ่งที่เลี้ยงจิตใจให้เป็นคนดี ให้จิตใจมีสติปัญญา ครูบาอาจารย์ผมสอนมาอย่างนั้น ผมก็เลยติดพันกับดนตรีที่มีคุณภาพทางศิลปะ"

มีหลายคนเข้าใจว่าการนำดนตรีสากลมาผสมกับดนตรีไทย คือวิธีที่ช่วยลบข้อด้อยของดนตรีไทยให้น้อยลงและทำให้เพลงไทย "ดูดี" ขึ้น...

"ไม่ใช่ (ตอบเร็ว) มันคือทางเลือกทางหนึ่ง สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาแบบไทยๆ โดยโลกทัศน์ ภูมิปัญญาแบบไทย วิธีที่จะมองโลก วิธีที่จะดำเนินชีวิตแบบไทยๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่คนไทยต้องแสวงหาอีก เพราะว่ามันกำลังถูกดูดออกจากมือเรา ผมไม่ได้หมายความว่าต้องนุ่งโจงกระเบน หรือว่าอย่าเคี้ยวหมาก แต่ว่าในจิตวิญญาณของไทย มีอะไรบ้างที่สามารถแก้ปัญหาปัจจุบันของเราได้ คลองเราก็ไม่มี เราถมไปหมดแล้ว ทำเป็นถนน ทำตัวเหมือนฝรั่ง ฝรั่งไม่มีคลอง เราก็ยิ่งถมไปใหญ่"

"เรามีรถยนต์เหมือนเขา เรามีบีทีเอสเหมือนเขา มีรถใต้ดินเหมือนเขา ซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุผลในการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ แต่บางทีเราก็ลืมที่จะมองเห็นถึงวิธีที่จะดำเนินชีวิตโดยใช้ภูมิปัญญาแบบไทยๆ ผมว่าการนำดนตรีไทยมาผสมกับสิ่งใหม่ๆ จะเป็นคำตอบไหม ไม่ใช่ คำตอบจะเป็นรูปธรรมมากๆ ก็ไม่ได้ ปัญหาของวัฒนธรรม ศิลปะไทย ในสมัยปัจจุบันคือว่าทำอย่างไรถึงจะมองตัวเองและสร้างชีวิตที่ใช้ภูมิปัญญาของไทยเป็นเครื่องช่วยให้ดำเนินชีวิตต่อไป"

"แล้วภูมิปัญญาของไทยที่ว่านั้นคืออะไร คือสิ่งที่เรามองไม่เห็น หลายๆ คนแสวงหา พบความสำเร็จบ้าง สำเร็จในแง่ไหนบ้างนั้นก็ต้องค่อยๆ คลานไป ชีวิตมันลึกซึ้งกว่าที่เราสามารถจะมองเห็นและให้คำตอบง่ายๆ เป็นประโยคสั้นๆ ว่าควรไปทางนั้น ควรไปทางนี้ สังคมไทยในปัจจุบันคงต้องเดินแบบตาบอดเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นเราก็เดินแบบสบายใจ เดินเลียนแบบฝรั่ง ซึ่งสามารถแก้ปัญหาของเราได้บางอย่าง แต่อาจพาให้เรายุ่งยากได้ เพราะที่นี่ไม่ใช่อเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ หรืออิตาลี นี่คือประเทศไทย ปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน ผมว่าบางทีเราลืมภูมิปัญญาไทยไป"

ระหว่างดนตรีไทยกับดนตรีฝรั่ง คุณชอบแบบไหนมากกว่า?

"ผมรักหมด (ตอบเร็ว) ดนตรีไทย เพลงไทยที่อยู่ระดับสูงสุดก็มีเยอะคนไทยอาจไม่รู้จักหรือว่าห่างจากดนตรีไทยที่เป็นศิลปะมากๆ ผมรักบีโธเฟนหรือว่าครูโรงเรียนไพเราะ ครูโบราณของไทย เท่ากัน ดนตรีมันมีคุณค่ามากมหาศาล"

********

ทอดด์

ถาม : อะไรคือสิ่งที่ทำให้วงการเพลงไทย ศิลปินไทย ไม่ค่อยจะถูกยอมรับในตลาดสากลมากนัก?
ตอบ : ก็มันไม่ค่อยดีไง ไม่ไปไหนสักที ก็อยู่ของเขา มันไม่น่าพูดถึงด้วยซ้ำ
ถาม : ในเมื่อปัญหาเป็นเช่นนี้เพราะฉะนั้นควรจะแก้ตรงจุดไหนก่อนให้มันพัฒนาต่อ?
ตอบ : มันต้องมีกฎหมายในประเทศไทยว่าค่ายเทปห้ามซื้อเวลาทีวีกับวิทยุ เพราะนี่คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ บริษัทอาร์เอสขาดทุน 800 ล้านบาท มันเป็นธุรกิจที่โง่มาก แต่อยู่ได้เพราะการผูกขาดสัมปทาน แกรมมี่ขาดทุนเก้าในสิบชุด ถามว่าเก่งไหม ไม่เก่งหรอก แต่ว่ามันมีกฎหมายช่วย
ผมแนะนำวิธีที่จะช่วยได้นะ หนึ่งเอาจริงกับกฎหมาย ออกกฎหมายว่าวงที่เล่นเพลงของคนอื่นในผับจะต้องเสียเงิน มันจะบังคับให้เกิดการสร้างสรรค์ ให้วงต้องเล่นเพลงของตัวเอง สองผู้บริโภคไทยต้องเลิกไหว้เปลือก บอกว่าตัวเองนับถือคนนี้คนนั้น แต่ไม่ซื้อ กลับไปซื้อของที่ไม่ถูกต้อง สามอยู่ที่ระบบการศึกษา ผู้ใหญ่ต้องนิยมใช้หูแทนปาก ฟังเด็กพูด เพราะถ้าเด็กมีโอกาสได้พูดเยอะ ความคิดมันแตกหน่อ แล้วจะเริ่มเห็นการสร้างสรรค์ มีโอกาสเป็นต้นกล้าที่ค่อยๆ โตและควรเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใหญ่คุยกับเยาวชน
ส่วนใหญ่ผมเห็นว่าเด็กเป็นเจ้าของโลก เขารู้ว่าเขากำลังไปไหน เขารู้ว่าเขาอยากทำอะไร ผู้ใหญ่ควรเป็นเพื่อน ขอไปด้วย ตอนนี้ผมก็ชื่นชมมากกับคนไทยรุ่นใหม่หลายคนที่เดินทางร่วมกับลูก เป็นเพื่อนเขา อย่างครูชลบุรีที่ผมเจอตอนไปพูดที่นั้น ผมเห็นว่าครูเริ่มให้เด็กสอนเขาบ้าง อาจมีใครหลายคนที่ชอบดูถูก แต่ผมชอบดูเขา (หัวเราะ) ผมมั่นใจว่าเขาทำอะไรได้อีกเยอะเลย ดูได้จากงานแต่ละงานที่เราร่วมกันสร้างสรรค์ ผมว่าคนไทยใจกว้างจึงน่าจะเป็นไปได้สูงที่จะเปลี่ยน

*******

อ.บรูซ

ถาม : จุดเด่นและจุดด้อยของวงการเพลงไทย ในมุมมองของคุณคืออะไร?
ตอบ : จุดเด่นของดนตรีไทยตอนนี้เหรอ ผมคิดว่าไม่มี ผมคิดว่ามันตามลักษณะของฝรั่ง แค่นี้แหละ
ถาม : อะไรคือสิ่งที่ทำให้วงการเพลงไทย ศิลปินไทย ไม่ค่อยจะถูกยอมรับในตลาดสากลมากนัก?
ตอบ : คนไทยยังเป็นคนไทยอยู่ พยายามจะเป็นคนฝรั่ง แต่ยังไม่เป็น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีนะ (หัวเราะ) อย่างญี่ปุ่นพยายามมากกว่าเราอีก พยายามล้างความญี่ปุ่น ล้างเท่าไรก็ล้างไม่ออก ไทยก็เหมือนกัน เรายังล้างความเป็นไทยออกไม่หมดจด ก็เลยไม่ได้เข้าไปในระบบสากล ไม่ได้ประสบความสำเร็จ มีนักร้องดังๆ เป็นสากลเท่าไรนัก ยังมีความเป็นไทยอยู่
แต่ผมขอให้ขีดเส้นโตๆ แดงๆ เลยนะว่า มันเป็นเรื่องที่ดี (หัวเราะ) อย่าให้ถึงวันที่ล้างความเป็นไทยหมดจนกลายเป็นฝรั่ง พบความสำเร็จในตลาดโลกนะครับ ไม่คุ้ม และไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวนะครับที่เป็นอย่างนี้ หลายประเทศก็เป็นอย่างนี้ มีวัฒนธรรม มีมรดกอันล้ำค่า มีอดีตที่สมบูรณ์ยิ่งใหญ่เหมือนไทย เหมือนญี่ปุ่น เหมือนแขก เหมือนอินเดีย ก็ไม่สามารถเข้าไปในตลาดที่ใหญ่ได้
มันเป็นเรื่องดีนะ ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ผมเห็นว่าครูบาอาจารย์ของเรายังมีอิทธิพลอยู่ มรดกของไทยยังมีชีวิตอยู่ เมื่อใดที่เราประสบความสำเร็จในเวทีสากล ขึ้นบนเวทีเอ็มทีวีทั่วโลกเมื่อไร แสดงว่าความเป็นไทยมันลดลงเต็มที่แล้ว



กำลังโหลดความคิดเห็น