"การผลิตรายการสารคดีเป็นเรื่องยาก และสารคดีที่ยังคงอยู่ในความนิยมนานๆ ยิ่งยากกว่าหลายสิบเท่า..." ประโยคนี้ไม่กล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตสารคดีทางโทรทัศน์ในเมืองไทย ที่ผู้ชมส่วนใหญ่นิยมดูละครหรือเกมโชว์ แต่ทว่ายังมีสารคดีโทรทัศน์รายการหนึ่งที่ถึงวันนี้มีอายุนานกว่า 2 ทศวรรษแล้ว และที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ คุณภาพของรายการนับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น มิได้เสื่อมถอยตามกาลเวลาเลย
เอ่ยชื่อรายการ "กระจกหกด้าน" เด็กๆ และหนุ่มสาวไปจนกระทั่งผู้เฒ่าผู้แก่ส่วนใหญ่ต่างคุ้นเคยกันดี ช่วงเวลายามเย็นก่อนเคารพธงชาติ เสียงดนตรีประจำรายการเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่า รายการสารคดียอดนิยมกำลังเริ่มออกอากาศ ณ บัดนี้
1
วันที่ 1 สิงหาคม เมื่อ 21 ปีก่อน รายการกระจกหกด้านได้ถือกำเนิดขึ้น จากคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่เตือนให้ทุกคนรู้จักส่องกระจกรอบด้านไม่ใช่ส่องกระจกด้านหน้าเพียงด้านเดียว เพื่อชี้ให้เห็นความจริงของชีวิตที่ว่า ควรปฏิบัติอย่างเหมาะสมต่อบุคคลรอบข้างรวมทั้งตนอย่างไร
ในช่วงเวลานั้นรายการโทรทัศน์ในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีรายการเชิงสาระมากนัก ส่วนใหญ่เป็นประเภทบันเทิงเสียมาก จะมีก็แต่เพียงรายการสารคดีต่างประเทศที่นำมาแปล ส่วนที่ทำโดยคนไทยเองก็ยังอยู่ในมาตรฐานที่ค่อนข้างต่ำ คณะผู้ทำงานกระจกหกด้าน ที่มีความตั้งใจดีและปรารถนาสร้างสรรค์งานสารคดีคุณภาพจึงรวบรวมแรงกายแรงใจจัดทำสารคดีฝีมือคนไทยขึ้นด้วยใจรัก ถึงแม้ว่าจะมีพลังอุดหนุนอยู่น้อยนิดก็ตาม
บุคคลหนึ่งในคณะผู้จัดทำรายการที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้นั้น คือคุณสุชาดี มณีวงศ์ เพราะบทบาทสำคัญในฐานะผู้ก่อตั้งรายการกระจกหกด้าน และเป็นผู้ที่คอยดูแลการผลิตรายการอย่างใกล้ชิด จนอาจกล่าวได้ว่ารายการสารคดีกระจกหกด้านนั้นเปรียบได้ดั่งลูกของเธอเอง
ถึงบรรทัดนี้ผู้อ่านอาจจะนึกภาพหน้าตาของเธอไม่ออก แต่ถ้าหากว่าเป็น "เสียง" แล้วนั้น ผู้ได้ฟังเป็นต้องร้องอ๋อ เพราะคุณสุชาดีคือผู้บรรยายในรายการกระจกหกด้านนั่นเอง
2
"กระจกหกด้านเหมือนไม่มีอะไร แต่ท่ามกลางความไม่มีอะไรมันมีอะไร..." คุณสุชาดี มณีวงศ์กล่าวถึงรายการของเธอ ก่อนจะขยายความต่อว่ากระจกหกด้านไม่เหมือนกับรายการสารคดีทั่วไป ที่เสนอเฉพาะข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆ ในแง่มุมตามธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมประเพณีเท่านั้น หากแต่กระจกหกด้านยังต้องการสะท้อนมุมที่หลากหลาย ซึ่งสารคดีอื่นไม่ได้นำเสนอในอีก 5 ด้าน ตามข้อคิดของหลวงปู่โตที่ให้ไว้แก่ศิษยานุศิษย์นั่นเอง
กระจกหกด้านจึงเป็นรายการ "สาระคติ" ที่ให้ทั้ง "สาระ" เป็นประโยชน์เชิงความรู้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และในเวลาเดียวกันก็ให้ "คติ" ที่เป็นประโยชน์เชิงความคิด แม้ผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจดูรายการก็ยังถูกสะกิดใจโดยไม่รู้ตัว
"เราต้องให้ข้อคิดกับประชาชน อย่างเช่นบทสรุปของรายการ หลายคนบอกรอดูวันนี้จะออกอะไร มีธรรมะข้อไหน เพื่อให้คนประพฤติดีประพฤติชอบ เราก็จะสอดใส่เข้าไปในรายการ นอกจากภาพสวย บทบรรยายเราก็ต้องไม่สะดุด บทบรรยายนั้นจะต้องถูกต้อง และมีหลักฐานยืนยันไม่ต่ำกว่า 3 แห่ง อย่างเช่นเป็นเอนไซโคพิเดีย แล้วก็มุขปาฐะ จะไปสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือเป็นเอกสารหลักฐานอ้างอิงต่างๆ ตามหอสมุด ศาสตร์ของการทำรายการโทรทัศน์ ไม่เฉพาะว่าจะต้องเป็นสารคดี เราจะพลาดไม่ได้ คือผิดแล้วผิดเลย ไม่มีโอกาสแก้ตัว" คุณสุชาดีย้ำถึงสิ่งสำคัญคือความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งถือเป็นหลักการทำงานของรายการ
ด้วยเหตุนี้เอง รายการกระจกหกด้านจึงถือเป็นได้ดั่ง "สถาบัน" ที่ให้ความรู้แก่ทั้งผู้ชมรายการ และบุคคลที่สนใจเรื่องราวต่างๆ มาขอข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางความรู้ต่อไป
"เด็กมาขอข้อมูลทำวิทยานิพนธ์เราก็จะให้ เกือบทุกมหาวิทยาลัยหรือสถาบันก็จะมาขอเทปรายการเราตลอด ล่าสุดที่มหิดลก็มาขอเทปเรื่องพิษวิทยาไปทำการสอน เราได้แรงบันดาลใจจากเมื่อตอนที่มีข่าวเรื่องไวน์เป็นพิษ ก็ได้ข้อมูลว่าคนที่พิสูจน์ไวน์ไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุข แต่เป็นหน่วยพิษวิทยา เราก็เลยไปทำเรื่องนี้ออกมา อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในสารคดีหลายๆ เรื่องที่นำไปใช้สอนในมหาวิทยาลัย เราก็เลยเป็นครูประสิทธิ์ประสาทความรู้ทั่วประเทศไปโดยปริยาย"
นอกจากนี้รายการกระจกหกด้านยังเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรนักผลิตรายการสารคดีโทรทัศน์ที่มีคุณภาพจำนวนหนึ่งสู่สังคมอีกด้วย
"พนักงานออกค่อนข้างสูง เราต้องปั้นคนทุกปีเลย มีคนถามว่าที่นี่หินไหม บอกหิน เพราะถ้าไม่หินแล้วปล่อยรายการออกอากาศไปไม่ดี เราก็อยู่ไม่ได้ ส่วนรวมก็อยู่ไม่ได้นะคะ เพราะฉะนั้นหินแน่นอน เราก็ไม่ได้นึกว่าเราเป็นบันได เราเตรียมใจไว้ตั้งแต่สมัยแรกๆ เลย เพราะเรารู้ว่าเราเป็นเหมือนรันเวย์ลานบินแถวบ่อฝ้ายที่หากเครื่องบินลำโตจะลงไม่ได้ เด็กของเราเวลาเราสอนเขาก็อัปเกรดตัวเองขึ้นไปเป็นเหมือนเครื่องบินลำโตแล้ว เขาไปลงดอนเมืองแล้ว เพราะฉะนั้น เขาก็ต้องไปอยู่ที่อื่น เราก็ไม่เคยโกรธเลย" ศิษย์จากรายการกระจกหกด้านหลายคนจึงเคารพและให้ความช่วยเหลือสถาบันแห่งนี้ไม่เสื่อมคลาย
3
เมื่อถามถึงอุปสรรคในการทำรายการสารคดีทางโทรทัศน์ในช่วงแรกนั้น คุณสุชาดีบอกว่าอุปสรรคใหญ่อันแรกก็คือ สปอนเซอร์
"อาจจะเป็นเพราะการตลาดเรายังไม่หวือหวาเท่าที่ควร สืบเนื่องมาจากว่าการทำสารคดีมันจะใช้ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ สปอนเซอร์ถ้าไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่บริษัทซึ่งเขาต้องการเผยแพร่ภาพลักษณ์ เขาจะไม่มาลงกับเรา เขาเทียบเคียงเรตติ้งระหว่างเรากับละครแล้ว เราน้อยกว่าละครมาก เขาก็ไปลงกับละคร เราก็เห็นใจสปอนเซอร์ เราก็ต้องช่วยตัวเอง เราก็ต้องทำให้เรตติ้งเราขึ้น"
"อุปสรรคที่สองก็คือคน เด็กที่จบรุ่นนั้นไม่คิดว่าจะทำงานสารคดี เราต้องทำกันเอง จนผลงานปีแรกออกมาเริ่มมีชื่อเสียงถึงมีคนเริ่มเข้ามาสมัคร..." คุณสุชาดีกล่าวว่าในยุคก่อตั้งนั้นยากมากที่จะเสนอขอเวลารายการแนวสารคดีจากทางสถานีโทรทัศน์ แต่โชคดีที่ผู้ดูแลช่อง 7 อย่างสุรางค์ เปรมปรีดิ์มองเห็นทางเป็นไปได้ของรายการแนวนี้
"เราเสนอไปพร้อมๆ กันหลายช่อง ช่องอื่นไม่เห็นแต่คุณแดงเห็น เห็นว่าภาพสวยนี่ คอนเซ็ปต์ดี อาจจะเป็นเพราะท่านเคยเป็นครูมาก่อน เราคิดว่าจะทำออกอากาศสัปดาห์ละครั้ง แต่คุณแดงบอกว่าถ้าจะทำๆ ทุกวันเลยนะ" นับตั้งแต่นั้นมารายการกระจกหกด้านจึงออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 จนกระทั่งปัจจุบัน
รางวัลอันทรงเกียรติมากมายจากสถาบันต่างๆ ที่มอบให้แก่รายการกระจกหกด้าน เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพในการสร้างสรรค์สารคดีทุกชิ้นเป็นอย่างดี รายการกระจกหกด้านไม่เพียงแต่ได้รับการยกย่องจากสถาบันต่างๆ เท่านั้น หากแต่ยังได้รับการยอมรับจากผู้ชมเป็นจำนวนมาก โดยกระจกหกด้านได้ชื่อว่าเป็นรายการสารคดีรายวันที่มีเรตติ้ง หรือจำนวนผู้ติดตามชมทั่วประเทศสูงสุด ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นกำลังใจให้แก่คนทำรายการ
"เรตติ้งรายการขณะนี้ในขบวนสารคดีด้วยกันถือว่าดีที่สุด ช่อง 7 มีส่วนมากเลย เพราะว่าตอนนี้เรตติ้งที่ดีที่สุดคือช่อง 7 ของเราก็พลอยตาม เราสำรวจดูเป็นประจำก็ดีที่สุด ก็เป็นกำลังใจ ถึงจะไม่มีกำไรหวือหวาอย่างคนทำรายการอื่น แต่เราก็มีความสุขที่ได้ทำตามอุดมการณ์"
เคล็ดลับที่ทำให้รายการกระจกหกด้านครองใจผู้ชมและครองจอโทรทัศน์มาจนถึงปัจจุบัน ในฐานะผู้บริหารรายการคุณสุชาดีบอกว่าสิ่งสำคัญคือ "ความทุ่มเท"
"ทุ่มเทนี่หมายถึงนอกจากให้เวลากับมันแล้ว ก็ต้องทุ่มเททุกอย่าง กำลังใจกำลังกายสารพัด รวมทั้งเงินทอง อยู่ที่นี่ได้มานิดเดียว ตอนนี้ไม่รับด้วยเพราะกำลังจะปรับให้มันมีกำไรเยอะ เผื่อจะได้เอามาช่วยลูกน้อง อย่างอ่านสปอตเราก็อ่านเอง ไปสอบใบผู้ประกาศเพื่อที่จะไม่ได้ไปเสียสตางค์จ้างคนอื่นอ่าน เพราะค่าจ้างแพงมาก เพราะฉะนั้นต้องทุ่มเทและรับผิดชอบทุกอย่าง สมัยก่อนชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงเวลาจ่ายเงินลูกน้อง ไม่มีก็เอารถไปจำนำ แล้วเอาเงินมาจ่ายเงินเดือน ไม่เห็นต้องอายใครเพราะเป็นเงินสุจริต อีกอันหนึ่งก็คือต้องขยัน ว่ามีอะไรใหม่ๆ มีคนที่เราจะไปขอสัมภาษณ์ไหม คือ หนึ่ง ต้องทุ่มเท ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด สอง ดูแลและสอนงานลูกน้อง สาม ขยันหาความรู้"
...............
ตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา รายการกระจกหกด้านได้นำเสนอสารคดีมานับ 7,000 ตอน และคุณสุชาดียืนยันว่าจะสร้างสรรค์รายการสารคดีโทรทัศน์ดีๆ อย่างกระจกหกด้านนี้ต่อไป เพื่อเป็นกระจกสะท้อนความรู้และสารประโยชน์ต่อสังคมต่อไปตราบเท่าที่อุดมการณ์และแรงใจยังคงอยู่