คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ ที่จู่ๆก็รู้สึกถูกชะตากับใครสักคนที่เพียงแค่ผ่านมาพบหน้า ใครสักคนที่เพิ่งรู้จักเพียงไม่นานแต่กลับรู้สึกผูกพันมาแรมปี ความรู้สึกดีๆปราศจากเงื่อนไข ไร้ซึ่งเหตุผลมาอธิบายพฤติกรรมการกระทำที่นึกคิดกับอีกฝ่าย เรียกเหตุที่ทำให้คนเราโคจรมาพบกันว่าเป็น "บุพเพสันนิวาส" และเรียกใครคนนั้นว่าเป็น "โซลเมต"(soul mate) หรือ "คู่แท้" ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดมาเป็นคู่กันทุกชาติเสมอไป
ขณะที่คนส่วนหนึ่งรู้จักการสะกดจิตในการบำบัดรักษาโรคและเยียวยาจิตใจ การสะกดจิตยังถูกนำไปใช้ในการระลึกชาติ ย้อนกลับไปดูรากเหง้าของตัวเองในอดีตชาติ และบ่อยครั้งที่ภาพเหล่านั้น ปรากฏภาพของใครสักคนหนึ่งที่รู้สึกได้ว่าเป็นคู่แท้ที่ได้ผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ
สิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อไปเป็นเรื่องราวของ "การสะกดจิตใต้สำนึกย้อนไปหาอดีตและคู่แท้" อย่างไรก็ตามการสะกดจิตย้อนระลึกชาติไม่ปรากฏหลักฐานชี้ชัดได้ว่ามีจริงหรือไม่ ถือเป็นความเชื่อส่วนประจักษ์ของแต่ละบุคคล
ทำความรู้จักกับจิตใต้สำนึก
ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ นักสะกดจิตแห่งชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย เจ้าของหนังสือเกี่ยวกับการสะกดจิตระลึกชาติและพบคู่แท้ อธิบายว่าการสะกดจิต มาจากคำว่าhypnosis หรือ suggestion การให้คำแนะนำกับตัวเอง การจูงจิตใต้สำนึก เป็นสภาวะที่ผู้ถูกสะกดตอบสนองต่อคำบอกกล่าว ยอมรับคำบอกกล่าวโดยอัตโนมัติภายใต้สภาวะแวดล้อมและเงื่อนไขที่ผู้สะกดจิตทำขึ้น หากผู้ถูกสะกดจิตรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังตอบสนองคำบอกกล่าว ผู้ถูกสะกดจิตจะได้ยิน ได้เห็น และรู้สึกตัวไปตามผู้สะกดจิตกำหนด
จิตของคนมีหลายแบบ ชนาธิปบอกว่าแบ่งกว้างๆได้ 2 แบบ ได้แก่ จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก จิตสำนึกคือกระบวนการใดก็ตามที่ใช้สมอง ฟัง พูด อ่าน เขียน คิด สังเกต ส่วนจิตใต้สำนึกทำหน้าที่เก็บความจำของคน ความทรงจำเหล่านี้จะแปลงมาเป็นบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และเป็นความเชื่อ จินตนาการ
นักสะกดจิตกล่าวต่อไปว่าข้อมูลต่างๆในชีวิตประจำวันสามารถเข้าสู่จิตใต้สำนึกได้ 2 ทาง อย่างแรกเกิดจากการกระทำซ้ำซาก การตอกย้ำ คนกลุ่มหนึ่งไม่มีความกล้าที่จะกระทำการต่างๆ เนื่องจากความกลัว ไม่กล้าสบตา สั่น ขณะสนทนา คนเหล่านี้มีพฤติกรรมในวัยเด็กคล้ายคลึงกัน อันเนื่องมาจากถูกปิดกั้นไม่สนับสนุนการแสดงออกจากผู้ปกครองในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้นจะมีบุคลิกที่ถูกสร้างจากการกระทำตอกย้ำซ้ำซาก ขาดความเชื่อมั่น มองชีวิตและคนรอบข้าง เกิดความเชื่อ ในแบบที่ถูกสร้างมา
อีกทางเข้าสู่จิตใต้สำนึกอย่างฉับพลันทันที เนื่องจากชั่วขณะหนึ่งเกิดอาการตกใจอย่างปัจจุบันทันด่วน จนกลายเป็นความจำฝังใจ แต่ละคนเลือกกลัวต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าขณะที่พบเจอกับสิ่งเหล่านั้น ความประทับใจที่เกิดขึ้นครั้งแรก ส่งผลอย่างไร เพราะจะมีครั้งแรกหรือร้ายแรงในชีวิตที่ได้รู้จักสิ่งนั้น ทำให้ตกใจ จิตใต้สำนึกเปิดรับข้อมูล กลายเป็นความฝังใจ แสดงพฤติกรรมออกมายังร่างกายโดยอัตโนมัติ และตลอดไป
"ฝั่งหนึ่งเป็นจิตสำนึก อีกฝั่งเป็นจิตใต้สำนึก อันหนึ่งขึ้น อีกอันลงเสมอ ทั้งสองทำงานคนละเวลากันเสมอ หมายความว่าขณะที่จิตสำนึกปิด ลดการใช้สมองลง คิดน้อยๆฟังน้อยๆ พูดน้อยๆปล่อยใจว่างๆโล่ง ไม้กระดานด้านจิตสำนึกก็จะกระดกลง ไม้ฝั่งจิตใต้สำนึกจะกระดกขึ้น จิตใต้สำนึกจะเปิด เป็นอาการที่เรียกว่าเคลิ้มๆกึ่งหลับกึ่งตื่น ถึงตรงนี้จิตใต้สำนึกเริ่มทำงาน"
ชนาธิปใช้หลักทฤษฎีกระดานหกอธิบายสิ่งเหล่านี้ และอธิบายต่อไปว่าขณะที่เรากำลังตั้งใจฟังการบรรยายอะไรอยู่นั้น (จิตสำนึกกำลังทำงาน ไม้กระดานหกฝั่งจิตสำนึกกระดกขึ้น) จู่ๆเกิดเสียงดังโครมคราม เราจะหยุดคิดไป สมองหยุดทำงาน หยุดหัวใจ (ชั่วไม่ถึงวินาที ไม้กระดานหก ฝั่งจิตใต้สำนึกจะกระดกขึ้นทันที)
ในประสบการณ์ของคนที่มาเหล่านี้ บางคนเป็นถึงแอร์โฮสเตสแต่กลัวเครื่องบิน บางคนเป็นวิศวกรลิฟต์แต่กลัวความสูง กลายเป็นอุปสรรคปัญหาต่อหน้าที่การงาน และจากทฤษฎีดังกล่าว เมื่อจิตใต้สำนึกเปิดและรับข้อมูลได้ ดังนั้นหากจำลองเหตุการณ์ สร้างสถานการณ์ กำหนดเงื่อนไขที่จะเปิดจิตใต้สำนึกคนคนนั้นและนำข้อมูลใหม่ใส่ลงไป คนคนนั้นน่าจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปได้ "กรณีเกิดเมื่ออยู่ในวัยผู้ใหญ่สามารถรู้สาเหตุได้ หากเกิดครั้งยังเป็นเด็ก ใช้วิธีสะกดจิตระลึกต้นเหตุของปัญหาที่เกิดมานานจนลืมไป นี่คือกระบวนการจูงจิตใต้สำนึกหรือที่เรียกว่าการสะกดจิต" ชนาธิปกล่าว
สัมผัสคู่แท้จากการสะกดจิต
มองมาที่ลูกแก้วอย่างว่างเปล่า ลูกแก้วเคลื่อนไปที่ไหนเราเคลื่อนสายตา ตาเรารู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียมองตามลูกแก้ว มองไปเรื่อยๆ เมื่อหลับตาแล้วเรารู้สึกสงบ สบาย เรารู้สึกผ่อนคลาย จิตใจของเราปลอดโปร่งโล่งสบาย เปลือกตาของเราหนัก หนัก เรารู้สึกสงบลง กล้ามเนื้อแก้มหย่อนคาย กล้ามเนื้อตาหย่อนคลาย
เสียงทุ้ม เบาของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวที่จ้องมองลูกดิ่ง หรือ เพนดูลัม แกว่งไปมา ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆปิดลง เสียงเพลงกระจายอย่างแผ่วเบาปกคลุมรอบๆห้อง คละเคล้าเสียงนักสะกดจิตหนุ่มที่พูดประโยคนำทางให้แก่ผู้ถูกสะกดจิต เสียงทุ้มเบา ค่อยๆหย่อนยาน
โล่ง ว่าง โปร่ง เบา สบาย อิ่มเอม ดื่มด่ำ มีความสุข อิ่ม ลึกลงไป ลึกลงไป ทุกที...ทุกที...รู้สึกสงบลง สงบลง กล้ามเนื้อคอ หย่อน...คลาย กล้ามเนื้อไหล่หย่อน...คลาย กล้ามเนื้อสีข้างหย่อน...คลาย เรารู้สึกโล่ง...ว่าง สุข เบาสบาย อิ่มเอม ดื่มด่ำ มีความสุข ดิ่ง ลึกลงไป ลึกลงไป ทุก...ที ทุก...ที
เข็มนาฬิกาบอกให้รู้ว่าผ่านไปแล้ว 5 นาที คำพูดซ้ำข้างบนเริ่มเปลี่ยนเป็นสถานที่ ตอนนี้เรานั่งอยู่ในห้องที่แสนสงบแสนสบาย มีลมเย็นพัดมาลูบไล้ร่างกายเรา เราหันไปตามที่มาของลม เห็นประตูอยู่บานหนึ่งมีแสงลอดออกมาทางขอบล่างประตู เราลุกเดินไปที่ประตู มองผ่านขอบล่างประตูออกไป เห็นท้องฟ้าสีฟ้าใส เห็นผืนน้ำสีเขียวเข้มตัดกันเป็นเส้นตรงไกลสุดตา เห็นผืนทรายสีขาวนวล เดินก้าวบนผืนทรายทีละก้าว ทีละก้าว ได้ยินเสียงนกร้อง เห็นนกบินผ่านไป ได้ยินเสียงกิ่งไม้ ใบไม้ไหว ไปตามแรงลม เห็นคลื่นกระทบฝั่งเป็นเกลียวระลอกแล้วระลอกเล่า ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังคลืนๆ ยิ่งฟังยิ่งสงบ ยิ่งฟังยิ่งสบาย ผ่อนคลาย อิ่มเอม ดื่มด่ำ ดิ่งลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ทุกที...ทุกที...ทุกที
เรานึกเพลิน เดินลึกลงไปตรงที่ผืนน้ำกับผืนทรายบรรจบกัน ความเย็นของผืนทรายที่อุ้มน้ำทะเลไว้ ทำให้เรารู้สึกเย็นแวบจากฝ่าเท้าขึ้นมาถึงสมอง เย็นแวบ เย็นแวบ ทีละก้าว ทีละก้าว ...ภาพเหตุการณ์ใดๆจงปรากฏขึ้น ณ บัดนี้ ภาพแห่งชาติภพที่ผ่านมาของเราจงปรากฏขึ้น ณ บัดนี้
เขาพูดส่งสัญญาณคำกล่าวเป็นระยะๆ ว่ายังเห็นภาพอยู่ หากเธอพูดบรรยายสิ่งที่เห็น เพื่อที่เขาจะได้พาเธอไปยังสถานที่เชื่อมกับสิ่งที่เธอเห็นจิตใต้สำนึกในการระลึกชาติ "ถ้ามีภาพใดๆเกิดขึ้นแล้ว ลองขยับนิ้วชี้ที่มือขวาทันที...ดีมากๆ จงปล่อยใจให้โล่ง แล้วภาพจึงจะเคลื่อนที่เคลื่อนไหวไปของมันเอง หากเราสังเกต เฝ้ารอ ภาพจะหายหรือหยุดไป จงทำใจให้ว่าง เบาสบาย หยุดสงสัยไม่ว่าภาพนั้นจะเกิดกับสิ่งใดก็ตาม หยุดตั้งคำถาม หากเราเปล่งเสียงบรรยายสิ่งที่เห็นได้ จงกระทำ"
บ่ายโมงสิบห้า นักสะกดจิตยังคงพูดไปเรื่อยๆ ภาพของบุคคลที่เกี่ยวพัน ผูกพันจากชาติภพที่ผ่านมาจงปรากฏขึ้น จงไหลเลื่อนเคลื่อนไป ภาพของคู่ครองของเราที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ภาพของคนนั้นจงปรากฏขึ้น ลองบรรยายภาพทีเห็นว่าเป็นอย่างไร (เงียบ)
คู่แท้ของเราจงปรากฏขึ้น อดีตชาติของเราปรากฏขึ้นให้เรารู้ ให้เราเข้าใจ ให้เราเห็น ต่อจากนี้จะนับ 1-10 เมื่อเริ่มนับ เราจะค่อยๆถอย ย้อนกลับคืนมาสู่ปัจจุบันทีละน้อย ทีละน้อย และเมื่อนับถึง 10 เราจะกลับคืนมาสู่ปัจจุบันโดยสมบูรณ์ สดชื่น มีความสุข กระปรี้กระเปร่า นับ 1 เรารู้สึกสบาย นับ 2 นับ 3 เรารู้สึกหย่อนคลาย นับ 4 นับ 5 จิตใจของเราปลอดโปร่งโล่งสบาย นับ 6 นับ 7 จิตใจของเรา กำลังวังชา รื้อฟื้นกลับคืนขึ้นมา 8 ,9 ,10 เราลืมตาขึ้น (เสียงดีดนิ้ว) รู้สึกสดชื่น
ทันทีที่สิ้นเสียงประโยคปลุกให้คืนจากการสะกดจิต ธนาภัทร หญิงสาวผู้ถูกสะกดจิต ค่อยๆลืมตา พร้อมดวงหน้าและแววตาสดใส บอกเล่าถึงความสนุก "เหมือนกับมีแสงสีขาวแวบๆเข้ามา ชาตั้งแต่ปลายนิ้วแขน-ขาไล่ขึ้นมา แรกๆหนักตัว สักพักรู้สึกตัวเบา ได้ยินเสียงทุกอย่าง เสียงรถจากข้างนอก เสียงคนเดิน ค่อยๆหายไป ลืมร่างกายไปว่าอยู่ตรงนี้ รู้สึกราวกับว่าได้ไปทะเลจริงๆ อยู่ในชุดกระโปรงสีขาว พลิ้วไปมา รู้สึกมีความสุข" ธนาภัทรเผยความรู้สึกราวกับได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ ช่วงนักสะกดจิตเริ่มต้นบรรยาย
ธนาภัทรเล่าต่อไปถึงภาพที่เธอคาดว่าน่าจะเป็นภาพหนึ่งของชีวิตในอดีตชาติว่าช่วงผ่านเข้าอุโมงค์ไปเห็นภาพ ความรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในชุดแขก ไปไหว้พระแม่อุมา เหมือนเราเป็นเทพธิดาแขก มีคนนับถือ ผู้ชายผิวขาว สูง ขี้เล่น ความรู้สึกบอกว่าเป็นคู่ครองของเรา อีกสักพักรู้สึกว่าย้ายไปอยู่แถวป่าเขา มีความรู้สึกเหมือนว่ามีผู้ชายในชุดทหาร ผิวขาว สูง รู้สึกว่าเค้าคอย ห่วงใย รู้จักกันมานาน
สิ่งที่ธนาภัทรสัมผัส ไม่ต่างจากหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่ง แวะเวียนเข้ามาหาชนาธิปเพื่อที่จะให้ทำการสะกดจิตดูคู่แท้ บางคนมีคนเข้ามาให้เลือกมาก จนต้องทำการสะกดจิต เพื่อดูว่าใครคือคู่แท้ บางคนอายุมากแต่ไร้วี่แววเรื่องคู่ เลือกที่จะมาสะกดจิตหาสาเหตุ
"หญิงคนหนึ่งอายุ 30 กว่าๆหน้าตาไม่ใช่ขี้เหร่ หุ่นไม่ดี แต่แปลกที่ไม่เจอคู่สักที ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อลองสะกดจิต พบว่าชาติที่แล้วเป็นตำรวจยิงตัวตายไม่ได้บอกใคร ปล่อยให้ภรรยารออยู่ที่บ้าน พอย้อนไปดูอีกชาติเป็นฝรั่งไปขุดหาสมบัติในอียิปต์ตั้งใจจะหาอะไรสักอย่าง ปรากฏว่าหาไม่เจอ เหมือนคนรู้สึกผิดหวังต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยู่ไปวันๆ ทั้งที่มีภรรยารออยู่ที่ประเทศอังกฤษ"
"จากสะกดจิตย้อนอดีต สามารถเดินทางไปอนาคต ได้รู้ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า เห็นภาพชายหนุ่มขับรถรับไปที่ไหนสักแห่ง เมื่อถามไกลออกไปเป็น 5 ปี หญิงคนดังกล่าวได้ร้องไห้ บอกว่าเห็นภาพตัวเองใส่ชุดดำ ไปงานศพชายคนที่เห็นว่ามารับเมื่อ 3 ปีก่อน แสดงว่าปล่อยให้สาวรอมาตั้ง 2 ชาติ ชาตินี้จึงเป็นฝ่ายรอ" ชนาธิปเล่า
นานาจิตตังเรื่องจิต
ธนาภัทรเชื่อว่าสิ่งที่เธอเห็นเป็นการย้อนอดีตได้จริง ไม่ใช่จิตใต้สำนึกลึกๆที่เผยออกมา ส่วนชนาธิปเสริมว่าไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ บุคคลนั้นๆจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าไม่ใช่การคิดไปเอง หากถามตามทฤษฎีการสะกดจิตต้องบอกว่าคือการระลึกชาติจริงๆ แต่ถ้าเอาจิตวิทยามาอาจจะเป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันไว้ ของพวกนี้เป็นการประจักษ์ส่วนบุคคล เพียงแต่จะทำอย่างไรให้เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งหากมีคนมาสะกดจิต ย้อนเหตุการณ์ไปในอดีต วันเดือนปี สามารถสืบค้น หาประจักษ์พยานได้
"ไม่สามารถสรุปได้ว่าการสะกดจิตระลึกชาตินั้นไม่จริง และก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าจริง คนที่ถูกสะกดอาจสามารถตอบได้ว่าชาติที่แล้วเป็นใคร ทำอะไรอยู่ มาจากไหน ถ้าถามว่าเชื่อได้หรือไม่ว่าเป็นการระลึกชาติ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เค้าคิด เค้าเห็นจากการสะกดจิตนั้นมาจากจิตใต้สำนึกลึกๆหรือการระลึกชาติจริงๆ มีการทดสอบเช่นกันว่า หากคนคนนั้นสนใจนิทานหนูน้อยหมวกแดง ฝันว่าตัวเองเป็นหนูน้อยหมวกแดง เมื่อถูกสะกดจิตอาจจะตอบว่าตัวเองเป็นได้ จึงไม่สามารถตอบได้ว่ามันไม่จริง แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล"
"ระลึกชาติมี 2 แบบ คนอื่นนั่งทางในแล้วบอกให้เราฟัง แต่ว่าหากคนอื่นนั่งทางในจะรู้ได้อย่างไรว่าเค้ารู้จริงหรือไม่ อีกทางคือการสะกดจิต อย่างน้อยมาจากภายในลึกๆของเรา ที่สามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง" ชนาธิปกล่าว
พระณัฐเมธยานนท์ วัดชลประทาน ปากเกร็ด อธิบายว่าคนทั่วไปสามารถระลึกชาติได้ หากได้รับการฝึกจิตให้เป็นสมาธิถึงขั้นฌาน อย่างในนิทานชาดก คัดจากพระไตรปิฎก ธรรมิกอุบาสกปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด สามารถฝึกจิตจนถึงขั้นบรรลุ ระลึกชาติได้ว่ามาจากไหน เป็นใคร
"นั่งสมาธิทำใจให้สงบ บรรลุถึงฌานระดับ รู้แจ้งเห็นจริง สามารถระลึกชาติได้ เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติ รู้ที่มาของตัวเอง เป็นญาติใคร เป็นคู่ใครมาก่อน ในหลักพุทธศาสนามีจริง แต่ปัจจุบันยังไม่มีใครบรรลุถึงขั้นนั้น หรืออาจมีคนทำได้แต่ไม่เปิดเผย"
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา หัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มศว เป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้ความสนใจศาสตร์แขนงนี้และได้ทำการทดสอบมาหลายต่อหลายครั้ง แสดงความเห็นว่า ในทางจิตวิทยาการสะกดจิตเพื่อระลึกชาตินั้นไม่มีแต่อย่างใด เป็นเพียงการสร้างความเชื่อด้วยตัวเอง หลายๆ ครั้ง จนกลายเป็นอารมณ์ความรู้สึก อย่างไรก็ตามถือเป็นความเชื่อส่วนตัวของแต่ละบุคคล "สะกดจิตมาหลายร้อยคน พิสูจน์แล้วไม่มี สะกดแต่ละครั้งย้อนไปย้อนมา ไม่มีใครสามารถระลึกชาติได้ ได้แต่นึกคิดเอง เป็นการสร้างความเชื่อ คิดอยู่ในปัจจุบันว่าระลึกชาติได้"