จากชาวจีนเมืองไท้ปูไม่กี่คนที่รอนแรมมารวมเป็นหนึ่งในเชื้อชาติไทย พวกเขานำภูมิปัญญากว่าร้อยปีของการปั้น "ชามไก่" เข้ามาสู่เมืองไทย ...กว่า 50 ปีที่ผ่านมาแตกหน่อแยกสาขาผ่านลูกหลานไปจนถึงชาวบ้านพื้นถิ่น กระทั่งกลายเป็นงานฝีมือใต้ถุนบ้านที่คนไทยทั่วทั้งประเทศรู้จัก เติบโตขึ้นเป็นโรงงาน ขยายตัวเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โต สร้างอาชีพหลักให้แก่ชาวลำปาง ผลิตภัณฑ์ยุคใหม่ที่ชนรุ่นหลังปรับเปลี่ยนดัดแปลงกันขึ้นมา ยังส่งออกนอกทำเงินหลายพันล้านต่อปีให้ประเทศ
"ภควดี อาติกา" ผู้จัดการโครงการ หจก.ลำปางเทพนิมิตร หนึ่งในเครือกิจการที่ทุกคนรู้จักในนาม "กาดม่วนใจ๋" สาวลำปางผู้นี้เป็นผู้พาเราชมตำนาน "นักปั้นดิน" ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของชาวลำปาง และแม้ปัจจุบันก็ยังตกทอดสืบสานกันมาไม่เปลี่ยนแปลง
"กาดม่วนใจ๋" แหล่งใหญ่ที่ขายเซรามิกแก่คนทั้งประเทศ
แหล่งแรกที่ ภควดี พาไปเยือน คือ "กาดม่วนใจ๋" และแนะนำให้รู้จักกับคุณป้า "บุญสม หาญเมธี" เถ้าแก่เนี้ยใจดี ไม่ว่าใครที่เคยมายังตลาดแห่งนี้ต้องเคยเจอเธอ
คุณป้าบุญสม เล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่า "ตั้งแต่เปิดร้านแห่งนี้มาในปี 2540 กาดม่วนใจ๋น่าจะเป็นแหล่งขายเครื่องเซรามิกใหญ่ที่สุดแล้วในลำปาง นักท่องเที่ยวหรือทัวร์ที่ขึ้นเชียงใหม่ จะมาแวะซื้อเซรามิกที่ตลาดนี้เป็นของฝาก" เธอเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับเดินไปหยิบชามไก่รุ่นเก่าที่ยังมีวางขายในร้านมาโชว์
ภควดี ในฐานะฝ่ายการตลาดของกาดแห่งนี้ เล่าให้ฟังว่า ของที่ขายอยู่ที่นี่ จะเป็นของที่ตระเวนไปหาซื้อมาจากโรงงานเกือบทุกแห่งในจังหวัด สินค้าทั้งหมดจะเป็นสินค้ามีตำหนิแต่คุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นโรงงานชาวบ้าน หรือโรงงานขนาดใหญ่ขึ้นมา
...สวรรค์ของนักซื้อถ้วยชามแห่งนี้ คงไม่ต้องเล่ารายละเอียดแล้วว่ามีอะไรบ้าง เพราะมีทุกอย่างที่ใช้เงินต่ำสุดเพียง 1 บาท ก็ได้เป็นเจ้าของของสวยงามไว้ในมือ
มาถึงที่มา ที่ทำให้จังหวัดลำปางกลายเป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ภควดี เกริ่นว่า "เพราะลำปางมีแหล่งแร่สำคัญ"
ดินขาว แร่สำคัญที่ทำให้ลำปางกลายเป็นเมืองเซรามิก
สืบสาวเรื่องราวไปถึงบันทึกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาวลำปาง คือ การค้นพบแหล่ง "แร่ดินขาว" ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และกลายมาเป็นวัตถุดิบที่เป็นหัวใจของการผลิตสินค้าเซรามิกในเวลาต่อมาเรื่องราวนี้ เกิดขึ้นจากการสังเกตเรื่องเล็กๆ ของคนไม่กี่คน ที่เห็นวัสดุที่ใช้ลับมีดของชาวบ้านอำเภอแจ้ห่ม วัสดุชิ้นนั้นประกอบด้วยแร่ดินขาว
หลังจากนั้น ซิมหยู แซ่ฉิน (โรงงานธนบดีสกุลในปัจจุบัน) ชาวจีนเมืองไท้ปู (ในฮกเกี้ยน) เมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านการผลิตถ้วยชาม ได้ชวนเพื่อนอีก 2 คน คือ เซี่ยะหยุย แซ่อื้อ (โรงงานไทยมิตรในปัจจุบัน) และ ซิวกิม แซ่กว๊อก (โรงงานกฎชาญเจริญในปัจจุบัน) นำจักรยานคู่ชีพออกค้นหาแหล่งดินขาว โดยมี ทวี ผลเจริญ เถ้าแก่ในกรุงเทพฯ เป็นผู้ให้ทุน
จนประมาณปี 2498 -2499 เกลอสามคนจึงพบแหล่งดินขาวที่บ้านปางค่า อำเภอแจ้ห่ม ระหว่างกิโลเมตรที่ 26 - 27 ถนนลำปาง - แจ้ห่ม หลังจากนั้นจึงว่าจ้างคนลากเกวียน บรรทุกแร่ดินขาวมาทดลองปั้นถ้วยชามในโรงงานของ ซิมหยู และ ประยูร ภมรศิริ ผลที่ได้คือ พวกเขาค้นพบว่า ดินขาว มีความแข็งแกร่งและทนทานความร้อนได้สูง ให้คุณค่าของเนื้อผลิตภัณฑ์เป็นสีขาวสวยงาม
ข้อมูลจากจังหวัดลำปางระบุว่า ลำปางเป็นจังหวัดที่มีแร่ดินขาวมากที่สุดในประเทศถึง 65% รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ใช้ดินขาวเป็นวัตุดิบมีสัดส่วนถึง 93 % ของมูลค่าการผลิตทั้งประเทศ
กำเนิดชามตราไก่ในลำปาง
จากนั้นต่อมา ในปี 2500 ซิมหยู, เซี่ยะหยุย, ซิมกิม, ซือเมน แซ่เท่น (โรงงานเจริญเมืองในปัจจุบัน) ได้หาแหล่งเงินทุนจาก ซินหมิน แซ่เลียว (ทำร้านตัดเสื้อ) นำเงินมาลงทุนประมาณ 20,000 บาท หุ้นส่วนห้าคนร่วมกันก่อตั้งโรงงานเครื่องปั้นดินเผาแห่งแรกของจังหวัดลำปาง ชื่อ "โรงงานร่วมสมัคร" ขึ้นที่หมู่บ้านป่าขาม อำเภอเมือง โดยอาศัยพื้นฐานฝีมือและประสบการณ์การทำชามไก่ขนาด 6" และ 7" จากที่เคยทำงานในโรงถ้วยของ ทวี ผลเจริญ โรงงานที่ตั้งอยู่ที่วงเวียนใหญ่ ในกรุงเทพฯ "ตำนานชามไก่" ของจังหวัดลำปางถือกำเนิดขึ้น ณ เวลานั้นเป็นต้นมา สามปีให้หลังหุ้นส่วนต่าง ๆ ก็แยกไปเปิดโรงงานผลิตถ้วยชามของตนเอง
เยี่ยมโรงถ้วยเก่าแก่ "โรงงานไทยเจริญ"
คำโบราณของโรงงานเซรามิกที่เมื่อก่อนเรียกว่า "โรงถ้วย" คือคำบอกเล่าของเถ้าแก่ "ชาญ ลิมป์ไพบูลย์" ด้วยภาษาไทยสำเนียงจีน
เถ้าแก่ชาญ เล่าถึงอดีตชาวจีนนักปั้นที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยไม่ต่างจากตนว่า ตนเองเป็นเด็กชาวจีนที่เดินทางมาไทยตั้งแต่สมัยเด็กๆ มาถึงก็มาเรียนมารับจ้างทำงานในโรงถ้วยแถววงเวียนใหญ่ สมัยนั้นค่าจ้างวันละ 5 บาท สูงสุดได้ 8 บาท เป็นการทำงานแบบไม่มีวันหยุด สินค้าที่ทำก็เป็นชามไก่เกือบทั้งหมด ผ่านการทำงานหนักเก็บหอมรอมริบ ปี 2504 เถ้าแก่ชาญก็มาเป็นหุ้นส่วนทำโรงถ้วย แต่เพราะไม่ค่อยมีวัตถุดิบจึงย้ายมาอยู่ลำปางในปี 2508 แดนดินที่เขาลือกันว่ามีดินขาว
เถ้าแก่ชาญ เซ้งโรงงานเก่ากอบกู้ขึ้นทำเป็นโรงถ้วยอีกครั้ง ทำสินค้าเฉพาะแค่ชามไก่เท่านั้น แต่ก็อยู่ในปริมาณไม่มาก เพราะใช้เตาเผาเป็นเตามังกร ใช้ไม้ไผ่เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเตาโบราณที่เผาชามได้เพียงจำนวนน้อย มาในปี 2520 เถ้าแก่ชาญจึงเป็นผู้ริเริ่มสั่งเตาเผาเซรามิกแบบชัตเติ้ล ซึ่งใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงมาจากไต้หวัน ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้นพร้อมทั้งสินค้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ปัจจุบันเถ้าแก่ชาญ อายุได้ 59 ปี มีโรงงาน 3 โรงที่สืบทอดสู่ทายาท
ยุคโรงถ้วยที่ลำปาง
ย้อนไปเล่าอีกในระหว่างปี 2502 - 2505 มีข้อมูลบันทึกไว้ว่า ยุคนั้นเป็นยุคที่กลุ่มชาวจีนเมืองไท้ปู ได้ทยอยกันเดินทางมาก่อตั้งโรงงานถ้วยไก่ ถ้วยก๋วยเตี๋ยว ในเมืองไทย โรงถ้วยรุ่นแรกๆ คือ โรงงานถ้วยของ ทวี ผลเจริญ และเพื่อนสนิทผู้ร่วมลงทุน ต่อมา ทวี ผลเจริญ ได้แยกตัวออกไปบุกเบิกตั้งโรงงานแห่งใหม่ชื่อว่า "โรงงานทวีผล" ซึ่งได้นำเตาสี่เหลี่ยมเข้ามาทดลองเผา ซึ่งเป็นเตาแบบใหม่ (ปี พ.ศ.2505) และโรงงานทวีผลนี้ได้ทำการผลิตลูกถ้วยไฟฟ้าเป็นแห่งแรกในประเทศไทยด้วย
จังหวะใกล้เคียงกันประมาณปี 2505 - 2510 กลุ่มคนจีนที่มีถิ่นฐานในไทย จึงเริ่มหันมาลงทุนเปิดโรงงานถ้วยชามในลำปาง เพราะอยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ยุคนั้นเป็นการผลิตถ้วยชามแบบใช้เตามังกร, เตาสี่เหลี่ยม, เตาอุโมงค์ แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องเทคนิคในการผลิต เพราะยังเป็นแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำให้สูญเสียวัตถุดิบไปเป็นจำนวนมาก และมาตรฐานคุณภาพสินค้ายังไม่สม่ำเสมอ สินค้าจึงจำหน่ายได้ในราคาต่ำ ทำกันอยู่ในวงเงินจำกัด และขายได้เฉพาะในเขตท้องถิ่น และกรุงเทพฯเท่านั้น แม้ตลาดจะต้องการสินค้ามากกว่าการผลิต
รวมกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่ด้วยเทคโนโลยีเตาเผาแบบใหม่ที่เผาชามได้ทีละมากๆ กอปรกับการตัดราคาเอง "ชามไก่อยู่ในภาวะวิกฤต"
เถ้าแก่ชาญเล่าว่า ในยุคปี 2516 ราคาชามไก่ขายกันได้ในราคาเพียงใบละ 58 สตางค์ เถ้าแก่ชาญจึงนัดรวมตัวกลุ่มผู้ผลิตถ้วยชาม โดยตั้งตนเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ เพื่อเจรจาเรื่องราคาขายให้เป็นมาตรฐานไม่ให้มีการตัดราคากัน และรวมกลุ่มกันขึ้นเป็น "ชมรมเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดลำปาง" ในที่สุด
"ต้องขอร้อง แกมขู่ๆ กันบ้าง กว่าจะมารวมตัวกันเป็นชมรม ตอนท้ายราคาชามไก่จึงสูงขึ้นและขายเท่ากันหมดในราคาถึง 1.10 บาท ส่วนชมรมฯ ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2517 มีจำนวนสมาชิกครั้งแรก 18 โรงงาน ตามจำนวนที่มีอยู่ในขณะนั้น มี สุวัฒน์ เต็งสกุล (โรงงานเสถียรภาพลำปาง) เป็นประธานชมรมคนแรก" เถ้าแก่ชาญเล่าบรรยากาศ พร้อมทั้งเล่าต่อ
ในปี 2519 หลังจากเริ่มมีการนำเตาเผาเซรามิกโดยใช้แก๊ส แบบชัตเติ้ลมาใช้ในโรงงาน สินค้าก็มีการปรับปรุงแก้ไขจนมีคุณภาพดีขึ้นและสม่ำเสมอ ให้สีสันดี ประหยัดเชื้อเพลิง และลดมลภาวะ ลดการสูญเสียวัตถุดิบลงได้อย่างมาก เซรามิกของจังหวัดลำปางเริ่มเป็นที่รู้จักออกไปกว้างขวางจนสามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศในรูปแบบลายคราม (BLUE &WHITE) ได้อีกด้วย
มาถึงปี 2526 ชมรมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง ลงหุ้นร่วมกันจัดซื้อแก๊ส และปูนปลาสเตอร์ที่ใช้ทำแม่พิมพ์ให้แก่สมาชิกในราคาที่ถูกลง ท้ายสุดชมรมฯ ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "สมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง" เต็มรูปแบบ ในปี 2532 โดยมี สุวิช นภาวรรณ (บริษัท อินทราเซรามิก จำกัด) เป็นประธานคนแรก และทำให้มีเทศกาลที่คนไทยรู้จักดี คืองาน "เซรามิกแฟร์" จัดขึ้นเป็นธรรมเนียมทุกปีนับแต่นั้นมา
กรรมวิธียุคโบราณในการปั้นชามตราไก่
เถ้าแก่ชาญ บรรยายให้ฟังรวมทั้งนำมารวมกับข้อมูลที่เสาะหามาได้ ถึงต้นตำรับชามไก่แบบเมืองจีน ในยุคแรกว่าไม่ได้เหมือนชามไก่ที่เห็นกันทั่วไปในทุกวันนี้
ชามไก่แบบดั้งเดิม จะเป็นชามทรงแปดเหลี่ยมเกือบกลมปากบาน ข้างชามด้านนอกจะมีรอยบุบเล็กน้อยรับเหลี่ยมของชาม ขาเป็นเชิง ชุบเคลือบขี้เถ้า วาดลวดลายบนเคลือบด้วยมือเป็นรูปไก่ มีขนคอและลำตัวสีแดง หางและขาสีดำเดินบนหญ้าสีเขียว มีดอกไม้สีชมพูออกม่วง ใบสีเขียวตัดเส้นด้วยสีดำอยู่ทางด้านซ้าย มีต้นกล้วย 3 ต้นใบสีเขียวตัดเส้นด้วยสีดำอยู่ทางด้านขวา นอกจากนั้นชามบางใบยังมีค้างคาวบินห้อยหัวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับไก่ และมีดอกไม้เล็กๆ แต้มอยู่กับชามด้านในด้วย
ส่วนกรรมวิธีการทำชามไก่แบบโบราณของชาวลำปาง จะเริ่มจากการผสมดินใช้โดยย่ำด้วยเท้า และนวดด้วยมือ จากนั้นก็นำมาปั้นตบเป็นดินแผ่น
ในช่วงแรก ชาวโรงถ้วยอาศัยนำล้อจักรยานมาเป็นแป้นหมุนในการขึ้นรูป นำดินขาวที่หมักเปียกขว้างลงบนพิมพ์ที่หมุนอยู่บนล้อจักรยาน แล้วใช้แผ่นไม้ตัดเป็นรูปโค้ง (จิ๊กเกอร์) กวาดแต่งเติมดินให้ได้รูปทรงถ้วยกลมทีละใบ เสร็จแล้วจึงนำมาต่อขา ทิ้งค้างไว้บนกระดานให้แห้งโดยธรรมชาติ ชามไก่ในยุคแรก ๆ จึงค่อนข้างหนา
หลังจากนั้นจะนำมาชุบเคลือบด้วยส่วนผสมที่ทำจากขี้เถ้าแกลบ ปูนหอย และดินขาว ที่นำมาตำบดในครกขนาดใหญ่ โดยใช้แรงคนเหยียบหลายวันจนละเอียด แล้วนำมาร่อนตะแกรง ก่อนจะนำมาแช่ในบ่อให้ตกตะกอน นำเอาส่วนที่ไม่ตกตะกอนมาใช้ ชามไก่จะถูกจุ่มเคลือบทั้งใบ แล้วนำไปเรียงในเตามังกร เผาด้วยฟืนในความร้อนเกือบ 1300 C ประมาณ 18 - 24 ชั่วโมง ขั้นตอนนี้ช่างจะอาศัยประสบการณ์ โดยการสังเกตสีของเปลวไฟ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือวัดอุณหภูมิ
เมื่อเผาดินสุกก็นำมาเขียนสีบนเคลือบด้วยพู่กัน การตวัดพู่กันจีนวาดลายไก่ ดอกไม้ และต้นกล้วย จะถูกถ่ายทอดให้คนงานในท้องถิ่น โดยใช้คนวาด 2 - 3 คน วาดต่อเติมกันเป็นส่วน ๆ จนเต็มรูปแบบในแต่ละใบ เป็นภาพน่าอัศจรรย์ที่ช่างวาดแต่ละคนจะจับพู่กันทีละ 2 - 3 ด้ามในเวลาเดียวกัน พอได้ชามไก่ลวดลายสวยงามแล้ว จึงนำไปเผาในเตาอบรูปกลม ซึ่งภายในเป็นถังดินขนาดใหญ่อีกครั้ง ด้วยความร้อนจากฟืนประมาณ 700 - 750 C 5 - 6 ชั่วโมง รอจนเย็นแล้วก็จัดใส่เข่งจำหน่าย
ขั้นตอนกรรมวิธีการผลิตรุ่นแรกๆ แม้จะล่าช้า แต่ก็เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาอย่างแท้จริง ข้อเสียคือทำให้ผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการตลาด
ยุคสมัยนั้นชามไก่มี 4 ขนาด คือ ขนาดปากกว้าง 5" (เสี่ยวเต้า) 6" (ตั่วเต้า) 7" (ยี่ไห้) และ 8" (เต๋งไห้) ชาวโรงถ้วย เล่าว่า ขนาด 5 - 6 นิ้วนิยมใช้ในบ้านและร้านข้าวต้มชั้นผู้ดี ส่วนขนาด 7 - 8 นิ้ว เหมาะสำหรับเป็นชามให้หมู่กุลีทำงานหนัก และกินจุ
ชามตราไก่ ในยุคเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ในปี 2506 โรงถ้วยก็เริ่มหันมาผลิตถ้วยชามรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น วิถีทางในการผลิตชามไก่แบบดั้งเดิมก็เริ่มลดความละเอียดลง ราคาถูกลง ผลิตน้อยลง จนชามไก่เกือบหายไปจากตลาด
ภควดี เล่าว่า ช่วงนั้นเริ่มมีการสะสมและกว้านซื้อชามไก่ในรุ่นแรกๆ จนทำให้ชามไก่แทบหายไปจากตลาด กระทั่งบางโรงงานหันกลับมาผลิตชามไก่ให้คล้ายกับรุ่นแรกๆ และขายในราคาสูงขึ้น
ในปี 2542 สมาคมเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำปาง จึงได้สร้างประติมากรรมรูปชามไก่ขนาดกว้าง 3.5 เมตร ไว้ที่แยกทางเข้าจังหวัดลำปาง ริมถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เพื่อนำความสำคัญของแหล่งผลิตชามไก่แหล่งใหญ่ที่สุดในประเทศกลับมาสู่ลำปางอีกครั้ง
มาวันนี้ มีโรงงานหันกลับมาผลิตชามไก่มากขึ้น ทั้งแบบวาดใต้เคลือบ และวาดบนเคลือบแบบเก่า ภูมิปัญญาของการเผาด้วยเตามังกร ด้วยฟืน และ เผาด้วยเตาแก๊ส ก็ยังนำกลับมาใช้กันอยู่ ทำให้ ชามไก่ ในปัจจุบันมีมากกว่า 10 ขนาด ตั้งแต่ 1" ไปจนถึง 8" และพัฒนารูปแบบไปหลากหลาย ตั้งแต่ ชาม จาน ถ้วยน้ำ ช้อน และของที่ระลึกต่างๆ บางส่วนยังส่งออกไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย
ชามไก่ ในความทรงจำของกลุ่มผู้ผลิตเซรามิกจังหวัดลำปาง ที่มีความหมายเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด ยืนยันตัวเองแล้วว่าจะคงอยู่คู่กับคนไทยไปตลอด
จากโรงถ้วย สู่อุตสาหกรรมของคนปั้นดิน
หากใครเคยผ่านลำปางคงชินตากันอยู่กับร้านรวงเรียงรายที่ขายผลิตภัณฑ์เซรามิกนานับชนิด
"โรงงานคำแสนกอง" เจ้าของ "ปรารถนา หาญเมธี" อีกโรงงานขนาดกลางที่ ภควดีพาไปเยือน
เธอเล่าให้ฟังว่า โรงงานนี้ผลิตแต่เพียงเซรามิกชิ้นจิ๋วเท่านั้น แต่มีรายได้งามด้วยการส่งออก มีพนักงานสาวนั่งบรรจงทำงานกับดอกไม้ผลไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยกันอย่างแข็งขัน
ไล่เลยไปถึงโรงงานใต้ถุนบ้าน หมู่บ้านในอำเภอเกาะคา ขึ้นชื่อว่าเกือบทุกใต้ถุนล้วนประกอบการเป็นนักปั้น
ณ หมู่บ้านศาลาบัวบก "รพีพรรณ พรรณระกา" เจ้าของบ้านร้าน "บารมีเซรามิก" บอกเล่าว่า โรงงานของเธอเปิดมา 5 ปีแล้ว สินค้าเป็นจำพวก กระถาง แจกันดอกไม้ ของชำร่วย ทุกวันนี้รายได้ขึ้นลงก็ขึ้นอยู่กับราคาแก๊สที่ใช้สำหรับเตาอบในการเผา โรงงานของเธอมีขั้นตอนผลิตสินค้าได้เกือบครบวงจรไม่ต่างจากโรงงานใหญ่ เรียกได้ว่าย่อส่วนลงมาจากโรงงานใหญ่เท่านั้น นี่คือ ตัวอย่างที่เหมือนกับธุรกิจใต้ถุนบ้านของนักปั้นดินแห่งลำปาง
ภควดี อธิบายเพิ่มเติมว่า ยังมีโรงงานอีกบางพวกที่รับจ้างเฉพาะ รับขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ รับเผา ให้กับโรงงานใหญ่ๆ เวลามีออเดอร์สินค้าล้นมืออีกต่างหาก พนักงานในโรงงานต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนพื้นที่ในจังหวัดลำปางเอง หลายๆ คนก็เวียนว่ายทำงานสลับกันไปมาระหว่างโรงงาน แต่สำหรับฝีมือในการปั้นดินที่ตกทอดต่อกันมาเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่นนี้ เธอบอกว่า ถ้าเด็กคนไหนก็ตามที่ใกล้ชิดคลุกคลีอยู่ในโรงถ้วย สอนกันเพียงไม่นานก็ปั้นดินได้ จับพู่กันวาดลวดลายลงบนถ้วยชามได้สวยงาม
"งานฝีมือพวกนี้ ใครที่มีพื้นฐานมาเล็กน้อยก็ทำได้ เพราะมันเป็นอาชีพหลัก และเป็นเศรษฐกิจของเมือง" ภควดี พูดเหมือนพรสวรรค์แห่งฝีมือนี้ คือ เรื่องธรรมดาๆ ที่เติบโตคู่กันมากับชาวลำปาง
...ณ วันนี้ ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าอย่างเข้มข้นทั้งด้านคุณภาพและราคา มีข้อมูลจากหอการค้าจังหวัดลำปาง ระบุว่าตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมเซรามิกในจังหวัดลำปางเจริญเติบโตสูงมาก มีโรงงานจดทะเบียนเพิ่มขึ้นถึงปีละ 20 - 40 โรง ปัจจุบันมีโรงงานในจังหวัดประมาณ 200 โรง ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งสามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศได้ เหล่านักปั้นดินตั้งเป้าไว้ว่าปีหน้าจะนำเงิน 5 พันล้านสู่ประเทศ ประเทศลูกค้ามีทั้ง ยุโรป, อเมริกา, เอเชีย และญี่ปุ่น รวมทั้งยังมีโรงงานขนาดเล็กแบบครอบครัวอีกไม่ต่ำกว่า 100 โรง มีการจ้างแรงงานอีกมากกว่าหมื่นคน
ล่าสุดหอการค้าจังหวัดฯ ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง ได้ศึกษาและรวบรวมเอากลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกเข้าไว้ด้วยกัน ในรูปแบบ Cluster ภายใต้ชื่อ "ลำปางเซรามิก คลัสเตอร์ ดีเวอร์ล็อปเม้นท์ กรุ๊ป" เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหา ช่วยกันถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ เซรามิกของชาวลำปางคงอยู่ด้วยคุณภาพ ขจรชื่อเสียงให้เลื่องลือ และเป็นอุตสาหกรรมนักปั้นดินที่คงอยู่คู่กับชาวลำปางสืบไป
************
การเดินทางของชามไก่ จากจีนสู่ไทย
"ชามไก่" หรือที่คนแต้จิ๋วเรียก "โกยอั้ว" มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง คนไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะในหมู่คนจีนแต้จิ๋ว นิยมใช้ตะเกียบพุ้ยรับประทานข้าวต้ม
ทว่า ต้นกำเนิดของชามไก่นั้น อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน จากชาวจีนแคระในตำบลกอปี อำเภอไท้ปู และชาวจีนแต้จิ๋วที่ตำบลปังโคย มากว่าร้อยปีแล้ว
นอกจากชามไก่จะมีใช้กันในประเทศจีนแล้ว ยังส่งจำหน่ายแก่ชาวจีนโพ้นทะเลอีก และส่วนหนึ่งในนั้นก็ส่งมาจำหน่ายมายังชาวแต้จิ๋วจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในไทย
มีบันทึกระบุไว้ว่า ในระยะก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ยังไม่มีผู้ผลิตชามไก่ในไทย แต่กลับมีความต้องการจากตลาดมาก พ่อค้าชาวจีนซึ่งอยู่แถวถนนทรงวาด ซึ่งเป็นตลาดเก่าในกรุงเทพฯ จึงสั่งชามไก่นำเข้ามาจากประเทศจีน ในขณะนั้นชามไก่ราคาถูกมาก จนมาเกิดสงครามจีนญี่ปุ่นขึ้น ทำให้ชามไก่ขาดตลาดของที่นำเข้าไม่พอขาย และมีราคาสูง
หลังจากนั้น ประมาณปี 2480 ถึง 2500 ได้มีช่างชาวจีนย้ายถิ่นฐานเข้ามาในไทย และมีการก่อเตามังกรทำเครื่องปั้นดินเผาขึ้น ชามไก่จึงถูกผลิตขึ้นในไทยตั้งแต่บัดนั้น โดยเรียกโรงงาน ตามภาษาชาวบ้านว่า "โรงถ้วย" มีโรงงานหลักๆ ในตอนนั้น คือ โรงงานอุตสาหกรรมดินเผาสี่แยกราชเทวี ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ, โรงงานบุญพาณิชย์ เชียงใหม่, โรงงานศิลามิตร เชียงใหม่, และโรงงานของ ทวี ผลเจริญ ที่วงเวียนใหญ่ ธนบุรี
ทว่า ชามไก่ในช่วงนั้นก็ยังผลิตได้ไม่มาก เพราะยังขาดวัตถุดิบคุณภาพดี ช่างชาวจีนเหล่านี้ส่วนหนึ่งจึงย้ายขึ้นมาตั้งถิ่นฐานโรงงานที่จังหวัดลำปาง หลังจากมีการพบแหล่งดินขาวที่อำเภอแจ้ห่ม