xs
xsm
sm
md
lg

"องค์"ประทับร่าง ความเชื่อ ศรัทธา หรือ กลลวง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลัทธิพิธี "เจ้าพ่อ-เจ้าแม่" ความเชื่อเน้นการทำพิธีกรรม ไม่ปรากฏอยู่ในหลักคำสอนของศาสนาหลักที่คนส่วนใหญ่นับถือ มีร่างทรงหรือม้าทรง ผู้ทำหน้าที่สื่อกลางระหว่างเจ้าพ่อและเหล่าลูกศิษย์ลูกหา ผู้มีความเชื่อสวนกระแสวิทยาศาสตร์

บางครั้งเรื่องบางเรื่องก็อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์จะหาเหตุผลมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ศรัทธา ความเชื่อ จากประสบการณ์การทำนายทายทักที่แม่นราวมีดวงตาทิพย์ แนวทางการรักษาที่แม้การแพทย์แผนปัจจุบันยังรักษาไม่หาย อภินิหารต่างๆ หนทางที่ยากจะพิสูจน์ หรือคัดแยกความจริงหรือเท็จ บ่มเพาะให้คนหันมาเชื่อมากขึ้น นำไปสู่ตำหนัก สำนักทรงผุดขึ้นมากมาย จริงบ้างหลอกบ้าง

รายงานที่ปรากฏข้างท้ายนี้จึงมีคำเตือนแนบมาด้วยว่า "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน"


ศรัทธานอกวัด เสด็จเตี่ย ร.5

จากผู้หญิงธรรมดา ใช้ชีวิตแม่บ้าน วันหนึ่งโรคร้ายที่ไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุ นำมาสู่บทบาทใหม่ ในฐานะร่างทรงของสมเด็จพระปิยมหาราช หรือเสด็จเตี่ย และร่างทรงของกรมหลวงชุมพรฯ ที่หลายคนนับถือ

ที่บ้านสองชั้น ย่านลาดพร้าว อัมภา เปรมสุข ชื่อที่หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่หากเอ่ยถึงแม่ครู หรือเตี่ย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้ศรัทธาเสด็จเตี่ย หรือพระปิยมหาราช ย่อมเป็นที่รู้จักกันอย่างดี หญิงสาววัยกลางคน พูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล นึกย้อนหลังที่มากว่า 32 ปี ก่อนที่จะมาเป็นร่างทรง

แม่ครูอัมภาเล่าว่า ปี 2503 เธอแต่งงานย้ายเข้าบ้านพักข้าราชการโรงเรียนเตรียมทหารเก่า แถวลุมพินี วันหนึ่งฝันเห็นชายแก่สวมเสื้อและนุ่งผ้าโจงกระเบนสีขาว ถือไม้ตะพด เดินอยู่หลังบ้าน หยิบเข็มสองเล่มทิ้งไว้ที่ก๊อกน้ำ ก่อนหายไป อยู่มาไม่นานหลังจากนั้นเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ มีอาการปวดศีรษะและไม่สบายอยู่เป็นนิจ สามวันดีสี่วันป่วย ไปหาหมอก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด มีผู้มาแนะนำว่าถ้าอย่างนั้นควรไปหาหมอพระหรือเทพ

"พระบอกว่ามีเทพรักษา ไปหาเทพบอกว่ามีเจ้ารักษา เป็นองค์รัชกาลที่ 5 กับเสด็จในกรม ไม่ทราบว่าจะเอาอย่างไรก็โรคที่เป็นอยู่ จะรักษาด้วยเหตุอันใด จึงอธิษฐานหากสิ่งเหล่านี้มาอยู่กับข้าพเจ้าจริง ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเด็ดขาดแล้วจะรับท่าน เพื่อให้พระองค์สร้างบารมีต่อประชาชน คนทุกข์ร้อน จากนั้นท่านก็จับร่างสร้างบารมีมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้"

เหตุการณ์ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้น หลังจากปี 2516 เมื่อเธอยอมรับพระองค์ท่าน ทุกสิ่งทุกอย่าง โรคภัยไข้เจ็บดีขึ้น ไม่เคยหาหมอ เข้าโรงพยาบาล จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่ทราบว่าโรคภัยต่างๆหายขาดหรือยัง เพราะชีวิตนี้มอบให้พระองค์ท่านแล้วแม้ว่าลูกหลานจะห้ามปราม แต่ถ้าเธอไม่ทำก็ไม่สบาย ทำแล้วสบาย ไม่เจ็บไม่ป่วย เพราะฉะนั้นชีวิตนี้ให้แล้ว จึงไม่รู้ว่าโรคที่เป็นมาแต่เดิม หายหรือไม่หาย เพราะไม่เคยเข้าโรงพยาบาล

"แรกๆคนรอบข้างมองว่าสติเสีย แต่เมื่อเห็นอภินิหารไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากยอมรับ ก่อนเข้าทรงทำการอาบน้ำให้สะอาด เนื้อตัวต้องสะอาด ปฏิบัติรักษาศีล 3 ข้อตลอดชีวิต ไม่กินเนื้อวัว ไม่ผิดศีลกาเม หากมีคู่ สามีต้องยกให้ อยู่กันฐานพี่น้อง หรือเป็นบิดาของบุตรไม่งั้นใครคนใดคนหนึ่งต้องมีอันเจ็บป่วยไป ไม่ลักขโมย สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทำบุญบวชพระ ทอดผ้าป่า-กฐิน พาผู้คนไปแสวงบุญในที่ต่างๆ "แม่ครูเล่า

เธอบอกว่า หากร่างมีองค์เทพไม่จำเป็นต้องรับเป็นร่างทรง โดยการขอท่านว่าเราขอสักการบูชา ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และทุกปีทำพิธีครอบครู พระชฎาของกษัตริย์ จริงๆแล้วท่านมีบารมีทุกองค์ แต่ท่านไม่สามารถที่จะสร้างบารมีต่อได้อีก ต้องอาศัยร่างของคนที่มีจิตใจดี เพื่อจะถวายกุศลท่านสืบต่อไป

"เวลาท่านมาไม่มีพิธีรีตองอะไร นั่งบนที่ประทับ จิตนิ่งเป็นสมาธิ ตั้งนะโม 3 จบบอกท่านว่ามีคนมาพึ่งบารมี ในสิ่งใดลูกไม่รู้ แล้วแต่ท่านจะโปรด เป็นหน้าที่ของพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ดังนั้นท่านจะช่วยคนในลักษณะไหน เราก็ไม่รู้"แม่ครูอัมภา เล่าให้ฟังถึงความรู้สึกขณะประทับทรง เธอบอกว่า เสด็จพ่อ ปัจจุบันคือสหัมบดีพรหม เป็นองค์ที่อาราธนาธรรมต่อองค์พระศาสดา พรหมมา จ โลกา เวลามาญาณท่านลงที่กลางกระหม่อม จะรู้สึกเสียวที่กระหม่อม เสด็จพ่อลงจะเย็นลงมาเลย ส่วนเสด็จในกรมจะร้อน จากนั้นจิตจึงดับไป

"อาการ 32 ดับหมดเหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีการขับถ่าย การกิน สิ่งที่เป็นอยู่ได้เป็นวันเป็นคืน จนกว่าจะหมดภาระของท่านที่จะสร้างบารมีต่อประชาชน หรือหมดลูกศิษย์ เมื่อกลับคืนมาเป็นตัวเรายามที่ท่านถอยจึงหิว"

คนมาดูเล่าถึงแม่ครูฟังขณะประทับทรงว่า เปลี่ยนเป็นคนที่ดูมีอายุ เคยอยากรู้ว่าช่วงที่ท่านประทับทรง ร่างกายเป็นอย่างไร ได้ถ่ายทำวีดีโอไว้ จึงเห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ จึงยอมเชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ได้เป็นคนบ้า สติฟั่นเฟือน

แม่ครูอธิบายถึงเทพที่ประทับร่างว่า ท่านมาในนามของจอมท้าวสหัมบดีพรหม เพราะฉะนั้นร่างท่านบัญญัติเลยว่าไม่ต้องไปไหน ให้อยู่กับที่ ไม่ได้เดินสายแบบเทพ หรือร่างต่างๆ จะบอกว่าเป็นอาชีพไม่ได้ เพราะไม่ต้องการเงิน ไม่ทำก็ไม่สบาย เวลาท่านมาพานครูแบ่งเป็น 3 ส่วน เลี้ยงร่าง ซื้อดอกไม้ธูปเทียน และบำรุงศาสนา ค่าครูแรกเริ่ม 12 บาท ปัจจุบัน 59 บาท

"หากเกิดเหตุไม่ดีเกี่ยวกับบ้านเมือง ดวงพระยาทั้งสองจะไม่เสด็จ แล้วก็อัศจรรย์ที่ไม่มีสานุศิษย์มาเลย คืออภินิหาร รู้ได้เลยว่าบ้านเมืองไม่ดี ท่านไม่สามารถมาช่วยเหลือคนในกลุ่มน้อยได้ หากหมดภาระของพระองค์ท่านตรงนี้ ท่านจะเสด็จไปประทับร่างที่ไหน ไม่สามารถรู้ได้ เพราะท่านไม่ได้อยู่กับเราทั้งวัน เรายังเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าท่านไม่ผ่อนคลาย อาหารก็กินไม่ได้ "

คุยกับร่างทรงเจ้าพ่อเฮ่งเจีย

ปกติทุกวันภายในศาสนสถานด้านหลังสุดของโรงเจแง็กฮกตึง หรือศาลเจ้าเฮ่งเจีย คลาคล่ำไปด้วยบรรดาผู้มีจิตศรัทธาและความเชื่อในอภินิหารของเจ้าพ่อเฮ่งเจีย และปาฏิหาริย์การรักษาโรคของพ่อปู่ยมราช ทว่าวันนี้ดูจะเงียบเหงา เนื่องจากปราศจากพิธีกรรมการเข้าทรง มีเพียงเสียงจอแจของผู้คนที่มาร่วมถือศีลกินเจ

ฮุยเหลียง แซ่เตียง หรือ รุ่งเรือง จงวิมาณสินธุ์ ร่างทรงวัย 66 ปี ในชุดขาว แม้จะรู้สึกไม่ชอบที่จะมานั่งแฝง แต่ทำไมถึงยอมรับเป็นร่างทรง เขาเล่าว่า

สมัยก่อนลำบากมาก กินข้าวไม่ได้ พอจะกิน ชามข้าวกลับลื่นไปข้างหน้า ไปหาหมอบอกว่าไม่เป็นโรคอะไร วันหนึ่งตอนอายุ 9 ขวบ ตกน้ำ โดยที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่รู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดันตั้งแต่ในน้ำขึ้นมา จากนั้นมาเห็นแต่ภาพเฮ่งเจียตลอดเวลา

"ตัวผมไม่สบายใจ เค้าให้รับเป็นร่างช่วยเหลือคน ซึ่งตัวผมไม่ชอบ กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ชอบ สุดท้ายไม่รู้จะทำอย่างไร ร่างกายซูบผอม กินอะไรก็ไม่ได้ ต้องยอมรับ"

"ตอนที่รู้ว่ามีองค์คนรอบข้าง แม้แต่ตัวผมเองมองตัวเองว่าบ้า ไปโรงพยาบาลประสาท ยังโมโหตัวเอง จุดไฟเผาไหม้จากปลายเท้าขึ้นมาถึงขา ตอนนั้นอายุ 24 เริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆ ความเป็นอยู่ยากลำบาก ทำงานพรวนดินรอกท้องร่อง จะไปเบิกเงินเถ้าแก่ 13 บาทเพื่อไปซื้อของไหว้เจ้า ได้รับการพูดจาดูถูกหยาบคาย ไม่ให้เงินแต่ให้เล่นถั่วแลกเงิน วูบเดียวไม่รู้ตัว ตัวชาทั้งตัว รู้แต่คำพูดว่าให้แทงตัวอ๋อ 20 ครั้ง เล่นได้จนเต็มหมวกที่ใส่ พอได้เงินก้อนนั้นไปซื้อที่ ทำสวนผักได้ 3 ปี แกก็มาอาละวาด แฝงเอาน้ำร้อนเดือดในหม้อราดตัว เหมือนคนบ้า"

รุ่งเรืองเล่าว่า หลังจากยอมรับแล้ว แสดงอภินิหารโต๊ะเก้าอี้มือทุบครั้งเดียวหักหมด ขึ้นบันไดมีดหนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบเก้า ตัดลิ้นเอามาทอดแล้วประกอบเข้าไปใหม่ แรกเริ่มสร้างศาลโดนลอบยิงหลายครั้ง ระหว่างองค์ลง จึงไม่เป็นได้รับอันตราย กระสุนฝังติดตัว ต้องแงะออก

"สมัยแรกๆตอนทำพิธีนั่งเก้าอี้มีที่วางมือและวางเท้าทำด้วยมีด เดี๋ยวนี้นั่งเก้าอี้ ไม่มีพิธีรีตองอะไร ลงมาดีๆ ระหว่างนั่งคุยกับผู้ที่มาคุยไปคุยมา เสียงเปลี่ยน กิริยาเปลี่ยน มาแบบแฝง เราพูดไม่ได้ พูดตามท่าน เหมือนกับตัวเองพูดไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนว่าเราไปเที่ยว สถานที่สวยงาม หอมมาก แต่พอท่านถอยทรง รู้สึกเหมือนตื่นมาท่านถีบส่ง เหมือนอยู่ที่สูงๆแล้วตกมาที่ต่ำๆ "

รุ่งเรือง บอกว่า หากเป็นเรื่องถูกของเข้า ปราบสิ่งชั่วร้าย เจ้าพ่อเฮ่งเจียจะประทับ เวลาเข้าพูดไม่รู้เรื่อง เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ มาถึงไม่ไหวหน้าใคร พวกนายพลที่มาขอหวย เคยถูกเขาด่าไปก็มี

"ส่วนพ่อปู่พูดภาษาอะไรก็ได้ รักษาแบบจีน พ่อปู่เหมือนฤาษีสั่งยา ยาตัวนี้เอาไปพิสูจน์ได้ เป็นยาสมุนไพรจีนแท้ พวกอัมพฤกษ์ หมอบอกต้องตัดขา มาที่นี่เอายาไปตำ ใส่เหล้า อีแปะ น้ำตาล รักษาแผลประมาณ 1 อาทิตย์แผลจะแห้ง ไม่เน่าเหม็น"รุ่งเรืองบอกเล่าถึงอิทธิฤทธิ์ของพ่อปู่หลังประทับร่างของเขา

เขาบอกด้วยว่า สมัยก่อนทรงทุกวัน ตั้งแต่สามโมงเช้า คืนนี้เที่ยงคืนคนยังไม่หมด เดี๋ยวนี้วันหนึ่งไม่แน่ ลูกศิษย์บางคนนึกว่าตายแล้วก็มี อีกอย่างไม่ออกหน้าออกตาเวลาไปไหน เลือกดูวัน 1 ค่ำถึง 5 ค่ำ และ 15 ค่ำ-19 ค่ำตามปฏิทินจีน คนที่มาหาทั่วไป มาจากจีน สิงคโปร์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย จาการ์ตา บาหลี มารักษาถามทำไมทำกิจการไม่ดีขึ้น

"เป็นร่างก็จริง แต่มีเนื้อหนังมังสา สิ่งที่มาแฝงเป็นจิตวิญญาณอีกส่วน สิ่งที่สูงกว่าเรา บางทีมีอะไรแกก็บอกให้เรารู้ก่อน ชีวิตสละให้ท่านไปแล้ว เป็นคนทรงไม่เคยได้เงินแม้แต่บาทเดียว ขัดสนเมื่อไหร่ โกนหัว ท่านมาช่วย ถูกหวยหลายงวด ใครจะว่าปลอมก็ช่าง คิดว่าถึงปลอมก็ไม่ได้เรียกร้องเงิน ถึงจริงไม่ได้แสดงปาฏิหาริย์ว่าเก่ง"

เมื่อถูกถามว่าจะเป็นคนทรงตลอดไปหรือไม่ ชายผู้เป็นร่างทรงบอกว่าขอท่านว่าให้อายุ 70 ก็พอ ตอนนั้นไม่ไหวแล้ว ก่อนหน้านี้นั่งมา 30 กว่าปี ไม่เคยเรียกร้องเงินใครแม้แต่สลึงเดียว คนไหนไม่มีจริงๆช่วย ก่อนสร้างอะไรไม่เคยไปเรี่ยไรใครแม้แต่สลึงเดียว มานั่งที่นี่ไม่ได้เรียกร้องใครแม้แต่สลึงเดียว ใครทำบุญใส่ขันหรือไม่ใส่ไม่คิด คือเราเกิดเป็นคนต้องมีสัจจะ ช่วยไม่หวังอะไร ทุกอย่างทำต้องการให้ทุกคนสบายใจ เค้ามีความสุขเราก็ไม่ต้องทุกข์ใจกับเค้าด้วย ขอแค่มนุษย์ทุกคนรู้คุณค่าชีวิตจะไร้เศร้า

ความเชื่อที่แฝงมากับศาสนา
หลวงพ่อวัชระ เอกวัณโณ แห่งวัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี อธิบายความหมายระหว่างคนทรงเจ้าและเจ้าเข้าทรงตามความเชื่อของท่านว่า คนทรงเจ้า หมายถึงคนธรรมดาไม่มีเทพประทับ แต่อาศัยความรู้ไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถาอาคม วิทยากล สมุนไพร ดูดวง แสดงตนแอบอ้างชื่อองค์เทพที่คนนับถือ อาศัยคำพูดและการแสดงทำให้คนเชื่อ หลอกว่าเป็นมหาเทพลงมาประทับ เพื่อจะแอบอ้างกอบโกยเอาเงินทองจากผู้หลงใหลเรื่องเหล่านี้

สำหรับเจ้าเข้าทรง หมายถึงผู้ที่มีองค์เทพลงมาประทับจริง เพื่อสร้างบารมี ระหว่างทำพิธีร่างทรงบางคนซึ่งมีอยู่น้อยจะไม่รู้สึกตัว เพราะองค์เทพต้องการมาช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์เพื่อสร้างบารมี ไม่โกงกินไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก สั่งสมบารมีร่วมกับร่างพอมีกินมีใช้ ไม่ร่ำรวยมากนัก

หลวงพ่อวัชระอ้างว่า เทพที่ลงมาช่วยเรียกว่าญาณแฝง หรือคุ้นหูกันว่า "องค์" คือเทพระดับต่างๆที่ยังไม่ถึงวาระเกิดเป็นมนุษย์ ครั้นจะลงมาเกิดใหม่เพื่อสร้างบุญ ก็จะต้องรอเวลาอีกนาน แต่ต้องการมีส่วนร่วมสืบพระศาสนา

"เทพพรหมแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสุคติภูมิ แต่ก็มีอายุขัย จึงต้องเลือกร่างมาช่วยเสริมบารมีมักเลือกคนมีบุญบารมีมากๆ ยกเว้นพวกสัมภเวสี เทพกึ่งเปรตที่ไม่มีที่อยู่ กลางวันเป็นเทพ กลางคืนเป็นเปรตหลอกชาวบ้าน จับร่างคนชั่วมาเป็นบริวารแสวงหาผลประโยชน์จากเครื่องเซ่นสังเวย
บางครั้งการเลือกร่างขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ตั้งแต่ชาติปางก่อนเคยมีบุญคุณกันมา หรือเคยเป็นลูกหลาน บริวารกันมาก่อน บางคนเป็นร่างทรงเพราะสวดมนต์อ้อนวอนขอบารมีเทพลงมาช่วยเป็นประจำ บ้างตายแล้วฟื้น เทพเห็นเป็นคนดี มีบารมี แต่หมดอายุขัยก่อน จึงต่ออายุให้ ต้องสร้างบารมีชดใช้ ทำหน้าที่ร่างทรงติดต่อมนุษย์"

หลวงพ่อกล่าวด้วยว่า หลายคนเมื่อรู้ว่ามีองค์ แม้จะไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่อาจทัดทานความเจ็บป่วยที่รุมเร้าได้ จึงต้องทำการยอมรับ ซึ่งเรียกว่าการรับ "ขันธ์" ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้นๆ ใช้สร้างบารมีร่วมกัน การรับขันธ์ไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น ยังต้องปฏิบัติศีลเคร่งครัด สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตามิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา

หลวงพ่อวัชระแนะใช้วิจารณญาณในการรับขันธ์ให้ถูกต้อง ไม่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมา ครูบาอาจารย์องค์เทพก็ไม่อาจฝืนกฎแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้ เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ที่ปลายเหตุไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น

"การรับองค์ของดีก็มีไม่ดีก็มี ไม่จำเป็นต้องรับก็ได้ การรับขันธ์พุทธศาสนาไม่ได้สอน เป็นช่องทางให้คนแสวงหาผลประโยชน์ เอาเดรัจฉานวิชชามาใช้ทำให้เจ็บป่วยจ่ายเงิน ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ไม่นานก็หาย"

"ตั้งแต่เด็กจนโตเห็นมารุ่นเก่าตายใหม่มา ของจริงเคยเห็น เก๊ก็เยอะ หนึ่งเป็นช่องทางหาเงินได้มาก ของจริงอาจมี มาสร้างบุญกุศล แต่แยกแยะได้ยาก เป็นความเชื่อศรัทธาของแต่ละคน ทำบุญสร้างตำหนัก ถือเป็นการทำบุญนอกพระพุทธศาสนา คนมีปัญหามาก เข้าวัดรับกันไม่ได้ ไปหาทางเลือกช่วยอื่น แต่ไม่ควรหลงงมงาย"

ศาสนาพราหมณ์ไม่มีการทรงเจ้า

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ต้นกำเนิดศรัทธาความเชื่อดั้งเดิม แต่กลับไม่มีเรื่องราวของการเข้าทรงองค์เจ้า บาบาฮิรเดย์ นารายัณ มิสฮา พราหมณ์ผู้สืบทอดหน้าที่จากบรรพบุรุษมาหลายชั่วคน พร้อมเอก ชายหนุ่มวัยเกือบ 30 ผู้รับหน้าที่พาพราหมณ์ไปสวดโซฮาสวดสรรเสริญเทพทุกพระองค์ และการบูชาไฟ ถือว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อบูชาไฟแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัย ร่ำรวย เป็นความเชื่อของทางฮินดู

บาบาฮิรเดย์ส่ายศีรษะ พร้อมกับหัวเราะก่อนบอกว่าที่อินเดียไม่มีการทรงเจ้า และด้วยหน้าที่พราหมณ์ทำพิธีทางศาสนาให้ผู้มาเชิญ ซึ่งบางครั้งต้องไปสวดให้แก่ร่างทรง ซึ่งทำท่าทางแปลกๆขณะพราหมณ์ทำพิธีทางศาสนา เอกผู้ติดตามเล่าว่าทำเอาพราหมณ์หนุ่มถึงกับเห็นแล้วขำ

"บูชาองค์เทพไว้ที่หิ้ง เรียกให้ไปทำพิธีสวด ขณะทำพิธี เจ้าของบ้านนั่งคล้ายประทับทรง โยกไปโยกมา เต้นรำ แต่ละที่ไม่เหมือนกัน บางที่ก็หัวเราะเสียงใหญ่ๆ บางที่เฉยๆนั่งยิ้ม ทำเสร็จจู่ๆลุกขึ้นมาร้องรำทำเพลง กรีดลิ้นบ้าง พอเพลงจบก็เป็นลมไป แต่ไม่รู้ว่าใครเข้า การทำพิธีสวดเป็นเหมือนกับการเสริมบารมีให้คนนั้นๆ เช่นเค้าอาจจะบอกบรรดาลูกศิษย์ว่าวันนี้จะมีการสวดโซฮา เพื่อให้ลูกศิษย์เห็นว่าเค้ามีบารมี เรียกพราหมณ์มาสวด เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้พบเห็น ประจักษ์แก่สายตาว่ามีพิธีกรรมทางศาสนาฮินดู" เอกแสดงความคิดเห็น

อาการทรงเจ้าผ่านมุมมองจิตแพทย์

ในทางจิตวิทยา แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ จิตแพทย์โรงพยาบาลศรีธัญญา อธิบายอาการทรงเจ้าเข้าทรงอยู่ในกลุ่มอาการของโรคทางจิตแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ ตั้งข้อสังเกตว่าก้ำกึ่งระหว่างความเชื่อเรื่องของศาสนาและความเจ็บป่วยทางจิต วิธีสังเกตดูพฤติกรรมของคนๆนั้น เช่นถ้ามีความเชื่อแล้วพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนฉับพลัน มีผลต่อการดำเนินชีวิตตามปกติ หน้าที่ การงานการเรียน

จากประสบการณ์การทำงาน เปอร์เซ็นต์ผู้ป่วยในโรงพยาบาลเฉลี่ย 1 เปอร์เซ็นต์ในจำนวนประชากรทั้งหมด 60 ล้านกว่าคน มีอาการหลงคิดว่าตัวเองมีองค์ มีอาการหูแว่วได้ยินเสียงพระอินทร์มาบอกว่ามีองค์ จนมีความเชื่อที่หลงผิด พูดจาประหลาด พฤติกรรมผิดปกติ เรียกว่าอาการป่วยแบบจิตเภท อีกอย่างคือมาเนีย มีอาการคล้ายกัน นึกว่าตัวเองคือผู้ยิ่งใหญ่ คิดโครงการใหญ่โต ไม่หลับไม่นอน จำนวนดังกล่าวถือว่ามาก แต่ไม่น่ากลัว เนื่องจากสามารถรักษาหายง่าย

กลุ่มที่คิดว่าตัวเองมีองค์ ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อดั้งเดิมทางศาสนา มีองค์อินทร์ พระราม ประกอบกับความเชื่อผีปู่ย่า ในทางจิตแพทย์พบว่าสามารถรักษาแนวทางของจิตแพทย์สมัยใหม่ให้หายได้ รักษาให้หายได้ เคยมีคนไข้ บางคนตีลังกาม้วนหน้าบอกว่าเป็นหนุมาน เข้ารับการรักษา 3 เดือนหาย พอหายเล่าว่าตอนนั้นรู้สึกตัวทุกอย่าง แต่ควบคุมไม่ได้ คนไข้หญิงอีกคน ท่าเดินเหมือนผู้ชาย แต่เสียงแก่ๆ บอกว่าเป็นเจ้าพ่อ

กลุ่มโรคทางจิตที่ติดต่อกันได้ เด็กบางคนป่วยอีกคนเป็นด้วย ทางการแพทย์ถือเป็นอาการทางจิตเรียกว่าอุปาทานระบาด ส่วนใหญ่อาการนี้เกิดกับผู้หญิง มีปัญหาสุขภาพจิตมาก่อน หรือเป็นคนจิตอ่อน เผชิญภาวะเครียดรุนแรง อาศัยในสังคมปิด ชุมชนเดียวกัน เผชิญปัญหาร่วมกัน เด็กคนหนึ่งมีอาการกระตุก หายใจถี่ พอหยุดไปเกิดกับเด็กอีกคน อาการแบบนี้รักษาได้ เมื่อแยกกันก็หายได้เอง

อย่างไรก็ตามหากมองแยกส่วนความเชื่อเรื่องศาสนาและผีตามความเชื่อคนไทยที่ยังมีอยู่ จะบอกว่าคนกลุ่มนี้ผิดปกติเสียทีเดียวไม่ได้ จึงต้องสังเกตแยกระหว่างคนป่วยและไม่ป่วย ถ้าทรงจนไม่ทำงาน น้ำท่าไม่อาบ ลูกเมียไม่สนใจ มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน สงสัยว่ามีอาการป่วย รีบปรึกษาจิตแพทย์ แล้วพามารักษาทันท่วงที บางคนเห็นความผิดปกติมานาน แต่คิดว่าไม่ใช่อาการเจ็บป่วย ไม่คิดว่าเสียหาย จนอาการมาก เกิดเหตุน่าสลดตามมา







กำลังโหลดความคิดเห็น