xs
xsm
sm
md
lg

เยือนวังวรดิศ วังประวัติศาสตร์สยามที่โลกยกย่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในจำนวนวังเจ้านายในพื้นที่เขตพระนครทั้งหมด ชื่อของ "วังวรดิศ" โดดเด่นด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมและเป็นวังที่ทายาทท่านเจ้าของวังยังคงดูแลรักษาไว้ให้คงสภาพเดิมอย่างใกล้ชิด ผิดกับวังอีกหลายแห่งที่กลายเป็นสถานที่ราชการหรือถูกดัดแปลงไปจนแทบจดจำเค้าโครงเดิมไม่ได้
บัดนี้เป็นเวลาเกือบศตวรรษแล้วที่วังวรดิศ...ตำหนักที่ประทับของบุคคลสำคัญของชาติไทยและของโลก คือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้อยู่คู่บ้านคู่เมืองเป็นเกียรติประวัติให้ระลึกถึงพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีของไทยพระองค์นี้ กระทั่งล่าสุดยูเนสโกได้ขอร่วมอนุรักษ์ยกย่องให้วังวรดิศเป็น "อาคารประวัติศาสตร์โลก"

ทันทีที่ก้าวผ่านประตูวังวรดิศ ความจอแจพลุกพล่านบนถนนหลานหลวงก็ถูกแทนที่ด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่น้อยที่ปลูกอยู่รายรอบบริเวณวัง ถนนเล็กๆ ที่ตัดผ่านด้านหน้าพระตำหนักและสนามหญ้าเขียวขจี เป็นมุมที่คอละครต่างคุ้นตากันดี ด้วยเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำละครหลายต่อหลายเรื่องมาแล้ว

แต่น้อยคนนักที่จะทราบหรือสนใจศึกษาว่าวังวรดิศแห่งนี้มีความเป็นมาเช่นไร รวมถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านผู้เป็นเจ้าของวังซึ่งมีพระคุณมหาศาลต่อแผ่นดินไทย
ที่ดินของวังวรดิศเดิมเป็นของเจ้าจอมมารดาชุ่ม เจ้าจอมมารดาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ได้พระราชทานที่ดินรอบๆ วังเพิ่มขึ้นอีกเป็นรางวัลในการที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล และกระทรวงมหาดไทยสยามใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ แม้กระทั่งถึงวันนี้ราษฎรท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นสุขาภิบาลพระราชทานแห่งแรกอันถือเป็นรากหญ้าประชาธิปไตยของไทยก็ยังคงระลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่านอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ส่วนตัวตำหนักนั้น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ที่ 6 ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าก่อสร้าง จึงกล่าวได้ว่าวังวรดิศแห่งนี้กำเนิดและดำรงอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยพระบารมีของพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์และองค์เจ้าของวัง ที่ขาดไม่ได้ก็คือปณิธานอันแน่วแน่ในการอนุรักษ์วังบรรพบุรุษของทายาทในรุ่นหลัง

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และประธานพิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้เป็นทายาทชั้นเหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และเป็นเจ้าของวังวรดิศแห่งนี้ในปัจจุบัน บอกเล่าถึงที่มาในการเปิดวังวรดิศเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนบุคคลให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมว่า เป็นแนวคิดของบิดาคือ พล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้วได้เล็งเห็นว่าวังมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเหมาะแก่การดูแลรักษาเพื่ออยู่อาศัยเอง

"และอีกประการหนึ่งก็คือเพื่อที่จะรำลึกถึงพระคุณของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ต้นราชสกุลดิศกุล ว่าสิ่งซึ่งท่านได้ทรงบำเพ็ญไว้มากมาย ประทานไว้แก่ประเทศชาติในหลากหลายสาขา ก็น่าจะเปิดวังหรือบ้านของพระองค์ท่านแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และอีกประการหนึ่งก็คือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงที่คุณพ่อของผมดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูต สมเด็จย่าท่านได้ทรงมีรับสั่งกับคุณพ่อว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นบุคคลที่ทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศจะต้องศึกษารำลึกถึงพระองค์ท่านอีกช้านาน เพราะฉะนั้นหากจัดทำวังวรดิศเป็นพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้สำเร็จ ก็จะเป็นสิ่งที่ลูกหลานจะต้องมีแต่ความภาคภูมิใจ"

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาวังวรดิศให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์นั้นเป็นจำนวนเงินค่อนข้างมาก ม.ล.ปนัดดาชี้แจงว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนจะไม่เท่ากัน อาทิ หากเกิดหลังคารั่วก็ต้องมีการซ่อมแซม ประตูหน้าต่างทรุดก็ต้องซ่อมบำรุงกันไปตามวันเวลา

"อย่าลืมว่าวังนี้อายุ 93 ปีแล้ว จะเข้า 94 ปีในปีหน้า อะไรที่ชำรุดทรุดโทรมก็ต้องซ่อมแซมกันไป แต่เงินทองที่ใช้ในแต่ละเดือนหรือประจำปีก็จะตั้งอยู่ในความไม่ประมาทคือประหยัดเป็นสำคัญ เรามีมูลนิธิที่คุณพ่อตั้งไว้ให้ ชื่อว่ามูลนิธิพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ เป็นกองทุนเพื่อดูแลรักษาสภาพวังให้อยู่ในสภาพงดงามเรียบร้อยที่สุด"

"การปรับปรุงหรือซ่อมแซมวังเราจะยึดตามแบบสถาปัตยกรรมเดิม ที่สถาปนิกนายคาร์ล ดอห์ริง ชาวเยอรมัน คนเดียวกันกับที่ออกแบบพระราชวังบ้านปืน จ.เพชรบุรี และวังบางขุนพรหมที่เป็นธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างเอเชียกับยุโรป ก็ต้องรักษาโครงสร้างรูปแบบเดิมไว้ จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรมากก็คงจะไม่งดงาม นอกจากบางอย่างที่จำเป็น เช่น ประตูเหล็ก บางคนมาก็จะถามกันว่าเราติดตั้งเข้าไปตอนนั้นเพื่ออะไรหรือ ก็เพื่อความปลอดภัย สมัยก่อนนี้ไม่มี ในสมัยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพหรือสมัยปู่ผม ม.จ.จุลดิศ นี้ไม่มี แต่ประตูเหล็กนี้ก็ทำให้เราอุ่นใจและเกิดความมั่นใจในการดูแลรักษา"

บุคลากรที่ช่วยในการดูแลรักษาวังนั้น ม.ล.ปนัดดากล่าวว่าล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ในวัง ซึ่งอยู่อาศัยกันมานานจนเปรียบเสมือนคนในครอบครัวใหญ่

"ฉะนั้นความรู้สึกเหมือนกับมีพันธกิจร่วมกัน ว่าจะต้องช่วยกันดูแลรักษาวังนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย เป็นพระเกียรติยศถวายสมเด็จฯ และเป็นเกียรติแด่คุณพ่อ"ภายในวังวรดิศมีห้องสำคัญๆ อยู่ประมาณ 8 ห้อง อาทิ ห้องพระบรมอัฐิ ห้องรับแขก ห้องบรรทม ห้องฉลองพระองค์ ห้องทรงพระอักษร และห้องเกียรติสถิต หรือ ฮอลล์ ออฟ เฟม ที่ประดับรูปภาพของบุคคลสำคัญในราชสกุลดิศกุลที่ประกอบคุณงามความดีไว้แก่ประเทศชาติ อาทิ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย,ม.จ.มารยาตรกัญญา ,พล.ร.อ. ม.จ.กาฬวรรณดิศ์ เป็นต้น

"หลายคนที่ได้มาชมวังก็จะบอกว่าไม่ใหญ่มากอย่างที่นึก ถ้าคำว่า "พาเลซ" หรือวังในแนวคิดของชาวตะวันตกหรือชาวตะวันออกก็ตาม ที่นึกถึงวังก็ต้องใหญ่โตมโหฬาร แต่ที่นี่เข้ามาชมแล้วแม้แต่ชาวต่างประเทศหลายคนก็ยังบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านที่อบอุ่นมากกว่าเป็นวัง จะไม่มีห้องใหญ่ๆ แต่จะเป็นห้องย่อมๆ ขนาดไล่เรียงกัน ซึ่งอันนี้น่าจะอธิบายถึงองค์เจ้าของวัง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านมีพระอุปนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก คือนอบน้อมถ่อมพระองค์เป็นสำคัญ ท่านโปรดใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาก คือไม่ทรงโอ้อวดหรือเห่อเหิม"

แต่ละห้องนั้นจะจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่ทรงคุณค่า อีกทั้งเครื่องเรือนส่วนใหญ่ก็ล้วนจัดวางตกแต่งในรูปแบบเดิมเหมือนสมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ จะมีการตกแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อยก็ด้วยสิ่งของที่เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการเสด็จเยือนยังสถานที่ต่างๆ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเท่านั้น ซึ่งคุณชายสังขดิศและม.ล.ปนัดดารวบรวมได้มาในเวลาภายหลัง

และด้วยการอนุรักษ์วังเป็นอย่างดีของทายาทผู้สืบตระกูลดิศกุลนี้เอง ทำให้องค์กรระดับโลกอย่างยูเนสโกเห็นถึงคุณค่าและเสนอขอร่วมอนุรักษ์วังวรดิศให้เป็นสมบัติของโลกสืบไป

"คณะผู้เชี่ยวชาญจากยูเนสโกให้เกียรติวังนี้มาก มาเยี่ยมเมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม ก็ด้วยความที่ยูเนสโกได้เคยถวายพระเกียรติแด่สมเด็จฯ องค์เจ้าของวังให้ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อปีพ.ศ.2505 ซึ่งในปีนั้นรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีการเฉลิมฉลองร่วมกับสมาชิกประเทศของยูเนสโกทั่วโลกถึง 14 วันเต็ม ถ้าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ยังมีพระชนมชีพอยู่จนถึงปีนั้นก็จะมีพระชันษาครบ 100 ปีบริบูรณ์"

"สืบเนื่องจากอันนี้ที่ทำให้ยูเนสโกยังไม่ลืมสมเด็จฯ กรมพระยาพระองค์นี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจากหลายประเทศของยูเนสโกที่เดินทางมาจากสำนักงานประจำภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก เมื่อมาชมก็กล่าวทันทีว่ามีความปรารถนามากที่อยากจะให้อาคารวังวรดิศเป็นอาคารประวัติศาสตร์โลก และก็ให้ทางเรากำหนดขึ้นเป็นกรอบว่ามีสิ่งใดที่ยูเนสโกสามารถให้คำแนะนำในเชิงเทคนิคในการอนุรักษ์ดูแล โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่จะได้เกิดความยั่งยืนได้ อาจจะไม่ได้พูดถึงว่าอยู่ได้เพียง 100 ปี เหมือนกับที่วังนี้มีอายุมา 90 กว่าปีนี้ แต่อาจจะพูดกันว่าเป็น 1,000 ปี เพราะฝรั่งเขารักษาอะไรเราก็คงเห็น มองเพียงแค่ 100 ปีอาจจะสั้นสำหรับเขา เขาพูดกันถึงเป็น 1,000-2,000 ปี เขาก็บอกว่าชื่นใจเหลือเกินที่เห็นว่าวังวรดิศซึ่งเป็นวังของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อยู่ใจกลางเมืองแท้ๆ เชียว แต่ลูกหลานยังสามารถรักษาไว้ได้ ชื่นชมคุณพ่อผมว่าแสดงให้เห็นถึงความไม่โลภของท่าน ไม่ขาย ไม่คิดทำเป็นอาคารศูนย์การค้า หรือเพื่อการอื่นไปแล้ว แต่อุตส่าห์รักษาพระนามสมเด็จฯ และวังของท่านไว้ได้ ซึ่งยูเนสโกเขาจะมองในเชิงชื่นชมเหลือเกิน ซึ่งตรงนี้ผมภูมิใจมาก เป็นความภาคภูมิใจของคุณพ่อและลูกหลานที่ยังรักษาไว้ได้"

"วังวรดิศเปรียบเป็นโรงเรียนดำรงราชานุภาพ ทุกวันนี้นักเรียนนักศึกษา ประชาชนที่สนใจมาเยี่ยมชมก็เหมือนกับมาเยี่ยมโรงเรียนดำรงราชานุภาพ เพื่อมาศึกษาแนวคิดหรือวิสัยทัศน์ของพระองค์ท่าน ว่าพระองค์ท่านทรงดำรงพระชนม์ชีพอย่างไรหรือ ตั้งแต่ครั้งกระนั้นตราบจนเดี๋ยวนี้ ทำไมนักการศึกษาเป็นจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศยังไม่ลืมท่าน แม้ยูเนสโกก็ยังมาเยี่ยมเยือนอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นพิพิธภัณฑ์นี้นั่นเองก็อาจจะช่วยอธิบายให้ได้ทราบว่าทำไมสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเป็นบุคคลในลักษณะดังกล่าว ความนอบน้อมถ่อมตน ความซื่อตรง ความกตัญญูกตเวทิตา ความเป็นนักการศึกษาของท่าน ความประหยัดเรียบง่ายของท่าน เหล่านี้ใช่ไหมที่ทำให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเป็นบุคคลในความทรงจำของคนหลายๆ คนในทุกวันนี้"

"อยากให้วังวรดิศเป็นบ้านของพี่น้องประชาชนไทยตราบชั่วกาลนาน เพื่อที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะได้มีโอกาสแวะมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งเป็นคราวไป เพื่อที่จะได้มาศึกษาแนวคิดของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความรักชาติบ้านเมือง ความจงรักภักดีในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพระองค์ท่านตลอดพระชนม์ชีพ และที่นี่ก็ยังรักษาหลักคิด หลักปรัชญาประการนั้นไว้ได้อย่างมั่นคง..." ทายาทวังวรดิศกล่าวทิ้งท้าย

**
พิพิธภัณฑ์วังวรดิศเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมทุกวันและเวลาราชการ โดยไม่มีการเก็บค่าชมใดๆ ตามประสงค์ของพล.ต.ม.ร.ว.สังขดิศ ดิศกุล ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ เพียงแต่ต้องทำหนังสือแจ้งเจ้าของวัง และควรเข้าชมเป็นหมู่คณะจำนวน 30-40 คน เพื่อความเหมาะสมในการเปิดวังวรดิศให้พร้อมเข้าชม นอกจากนี้ยังสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์เกี่ยวกับวังวรดิศและสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ที่ www.prince-damrong.moi.go.th







กำลังโหลดความคิดเห็น