จำได้ว่ามีสมุดบันทึกหรือไดอารี่เหมือนคนอื่นอยู่เล่ม จะเขียนทีก็ต้องหลบลี้หนีหน้าผู้คนหามุมส่วนตัวแอบเขียน เขียนเสร็จยังต้องหาที่ซ่อนให้มิดชิด เพราะกลัวจับจิตจับใจว่าจะมีใครเผลอมาหยิบไปเปิดอ่าน คราวนี้ความลับที่ปกปิดไว้จะได้แตกประเด็นกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ อะไรก็ว่ากันไป
ล่าสุดจากการเขียนไดอารี่ในรูปแบบของการบันทึกดังกล่าว ได้ถูกประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยที่ผู้คนยึดโยงอยู่กับเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ เรียกว่า "ไดอารี่ออนไลน์" เป็นการบันทึกชีวิตประจำวันบนคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมการสร้างไดอารี่สำเร็จรูป
พร้อมกันนั้นไดอารี่สมบัติส่วนตัวที่ไดอาริสต์ทั้งหลายหวงนักหวงหนา กลับกลายเป็นไดอารี่สาธารณะที่ใครก็สามารถเข้าไปอ่านได้ แถมยังสามารถระบายความในใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แสดงความคิดเห็นหรือที่เรียกกันติดปากว่า เมนต์ (ย่อมาจากคอมเมนต์) ไปยังผู้เขียนก็สามารถทำได้
ไดอารี่ออนไลน์ทางเลือกใหม่ของชาวเน็ต
ไดอารี่ออนไลน์ที่กำลังเป็นเทรนด์นิยมของคนรักการเขียนทั้งในและต่างประเทศมีที่มาอย่างไรไม่ปรากฏ สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการทำโฮมเพจส่วนตัวที่มักจะมีมุมบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตัวผู้สร้างเอาไว้ นอกจากนี้หลายเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการมักจะมีพื้นที่สำหรับคนที่ชอบเขียนได้แสดงความสามารถ
ปิยเนตร (สงวนนามสกุล) นิสิตสาวรั้วจามจุรี ซึ่งกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องไดอารี่ออนไลน์เล่าว่า เว็บไซต์ที่เรียกตัวเองเป็นเว็บไซต์ไดอารี่ดิจิตอล แห่งแรกของประเทศไทยก็คือ www.keng.com ออนไลน์ครั้งแรก ปี 2543 ส่วนเว็บไซต์ที่มีลักษณะของการให้บริการพื้นที่บันทึกไดอารี่ออนไลน์คือ thaistory.com (2544) และ thaidiarist (2545) และในเวลาไล่เลี่ยกันก็มี diaryhub.com เปิดให้บริการคู่คี่กันมา
ไดอารี่ออนไลน์เป็นการเพิ่มช่องทางในการ "ระบาย" เรื่องราวให้กับผู้คนในสังคมออนไลน์ พร้อมกับเป็นเสมือนเวทีสร้างนักเขียนอาชีพ ผู้ที่ต้องการเป็นนักเขียนได้ลองสนาม ธรรมชาติของสื่ออินเทอร์เน็ตซ่อนตัวจริงได้ สามารถเขียนในสิ่งที่ต้องการโดยไม่เขินอาย ไม่ต้องรอเสนอตามสำนักพิมพ์ แถมมีคนรออ่านให้กำลังใจ
นักเขียนที่ผ่านการเขียนออนไลน์จนได้รับการตีพิมพ์เป็นที่ยอมรับในสังคม เช่น แม่กูก้อย - ต้นกล้า นัยนา ,เอดส์ไดอารี่ ,ไดอารี่สอนภาษา i-big diary ของดีเจบิ๊ก – ภูมิชาย เป็นต้น
สื่อออนไลน์เข้าถึงคนได้สะดวกขึ้นกว่าเมื่อก่อน เทคโนโลยีราคาถูก หาง่าย มีประสิทธิภาพ การนำเอาเทคโนโลยีใหม่อย่างอินเทอร์เน็ตผสานกับการบันทึกในสมุดที่คุ้นเคย ช่วยให้สามารถนั่งอยู่ที่ทำงานพิมพ์เรื่องราวที่ต้องการได้ทันใจ แถมยิ่งสนุกเพราะมีเพื่อนที่มองไม่เห็นคอยให้กำลังใจ ให้แนวคิดใหม่กับผู้บันทึกอยู่เสมอ
"การใช้ชีวิตบางช่วงสนุกอยู่กับจินตนาการช่วยบันเทิงอารมณ์ได้อีกทาง การรับรู้ว่าคนอื่นคิดกับสิ่งที่เราบันทึกลงไปอย่างไรทำให้สามารถเรียนรู้ความเป็นตัวเองกับสังคมได้ เรื่องบางอย่างอยากเล่าให้ใครฟังแทบตาย แต่เล่าไม่ได้เพราะเขิน เป็นเรื่องน่าอาย กลัวโดนล้อ แต่บันทึกออนไลน์ทำได้เต็มที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าใคร"
"คนเราอยากระบายมากขึ้น แต่เวลาจะทำอย่างนั้นน้อยลง ในการระบายต้องมีคนรับฟัง การยอมรับจากสังคม ต้องการการสมาคม ไดอารี่ออนไลน์ตอบสนองจุดนี้ให้เค้าได้ คนคุ้นกับคอมพิวเตอร์และสื่อไอทีจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไดอารี่ออนไลน์จึงเหมือนทางเลือกอีกทางสำหรับการใช้ชีวิตออนไลน์" ปิยเนตรกล่าว
สโลแกนหลักของเว็บไดอารี่ทำหน้าที่คล้ายกันในการเป็นศูนย์กลางบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตแบ่งปันให้คนใกล้ตัวอย่างคนในครอบครัว เพื่อน หวานใจตัวจริงไปจนถึงกิ๊ก หรือจะเป็นคนไกลตัวที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแต่บังเอิญเข้ามาอ่านเจอ
รูปแบบของไดอารี่ออนไลน์ เป็นโปรแกรมสำเร็จรูป หน้าตาไม่ต่างจากโปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ดที่ใช้กันอยู่ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายต่อการใช้งาน พิเศษหน่อยตรงที่มีลูกเล่นเทคนิคต่างๆ สามารถใส่เพลงและเสียง ใส่รูป บริการเสริมสำหรับไดอาริสต์ที่ต้องการแต่งไดอารี่ของตัวเองให้เก๋ไก๋เร้าความสนใจต่อสายตาคนอ่าน
ไดอาริสต์หน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสามารถเลือกกลุ่มได้ตามความพึงพอใจ มีให้เลือกหลากหลายอาทิมุมบันทึกประจำวัน มุมเพื่อนเดินทาง มุมนักเดินทาง มุมเอนเตอร์เทน มุมวัยทำงาน มุมทีนเอจ มุมญี่ปุ่น มุมการ์ตูน มุมเทคโนโลยี มุมกีฬา มุมผู้หญิง มุมอาร์ตอินดี้ กลุ่มชาวไทยต่างแดน ฯลฯ
ไดอารี่ฮับ : คอมมูนนิตี้ ไดอาริสต์
ไดอารี่ฮับ หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆว่าไดฮับ ถือเป็นคอมมูนนิตี้ไดอารี่ออนไลน์ที่สำคัญแหล่งใหญ่อีกแห่งที่รวมไดอาริสต์ทั้งที่พำนักในเมืองไทยและพลัดถิ่นไปในต่างแดนไว้จำนวนมาก
"2 ปีที่แล้ว ตอนอยู่ญี่ปุ่น มีน้องชวนเขียน แรกๆคิดว่าคงเขียนไม่นานก็เบื่อ เพราะชอบอ่านมากกว่าเขียน ไม่รู้ด้วยว่าจะเขียนอะไร ครั้งแรกเขียนแก้เหงา ระบายความรู้สึก แลกกันอ่านกับเพื่อนๆน้องๆ เขียนไปเรื่อยๆกลายเป็นเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เก็บรูปและคำบรรยาย ก็เขียนมาได้เรื่อยๆจนทุกวันนี้"
สมวิภา หรือ เบส สาวออฟฟิศ ผิวเข้ม ตาคมวัย 26 เล่าถึงรูปแบบไดอารี่ออนไลน์สีชมพูหวานแหววของเธอ
"ได้บันทึกเรื่องราวของตัวเอง เก็บเอาไว้อ่านเมื่อไหร่ก็ได้ ความลับช่วงที่ยังไม่มีระบบซ่อนข้อความใช้รหัสเฉพาะ เขียนคำสั้นๆ อ่านเข้าใจคนเดียว เดี๋ยวนี้มีระบบซ่อนข้อความสามารถอ่านได้คนเดียว"
"ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อ่าน กลายเป็นคนคิดมากขึ้น จับความคิดของตัวเองให้เป็นกลุ่มก้อน ฝึกฝนด้านความคิดและการเขียน แต่ว่าบางทีก็เป็นการเปิดเผยตัวเองมากเกินไป ทั้งความคิดและความรู้สึก เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้น บางทีก็เขียนอะไรมากไม่ได้ บางครั้งการลงรูปไปก็ไม่ค่อยปลอดภัย คนอื่นสามารถเซฟรูปได้"
Tokyo-boyz (นามสมมุติ) นักศึกษาหนุ่มปริญญาเอก วัย 27 ปีเล่าข้ามทวีปจากแดนซากุระ ถึงไดอารี่ออนไลน์ของเจ้าตัวให้ฟังว่า แรกเริ่มต้องการระบายความรู้สึกคิดถึงใครบางคน ที่ไม่สามารถเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง แต่ไม่อยากเก็บไว้ในใจคนเดียว หลังๆไดอารี่ที่ว่าเริ่มอารัมภบทถึงชีวิตต่างแดน เที่ยว สอบ ปาร์ตี้ อาหารญี่ปุ่น
"แรกที่เขียนไม่ได้คิดเรื่องรูปแบบ แค่ต้องการที่เขียนระบายความในใจ หลังๆ เห็นไดอารี่คนอื่นมีรูปแบบสวย ลองทำบ้าง แต่ก็นิดๆหน่อยๆ เพราะไม่ค่อยมีหัวด้านนี้ บวกกับเรียนหนักเป็นช่วงๆไม่ค่อยมีเวลา"
"ไดอารี่ออนไลน์ สามารถเปิดดูได้ทุกหนแห่งที่มีอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องพกไปไหนมาไหนให้เกะกะ เป็นการบันทึกเรื่องราวในชีวิต ทั้งประทับใจ สุข ทุกข์ เศร้า เหงา ที่สำคัญเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความลับสุดยอดที่ไม่สามารถให้ใครอ่านได้เลย เข้าไปอ่านเรื่องราวของชีวิตของคนหลายๆกลุ่มหลายๆวัย เลือกเรียนรู้สิ่งดีๆแง่คิดดี"
"คุณค่าทางจิตใจของไดอารี่ออนไลน์ อยู่ที่ความเห็นเพื่อนๆ อ่านรู้สึกดี เหมือนมีเพื่อนคอยให้กำลังใจเวลาเศร้า เวลาท้อ บางความเห็นเขียนเหมือนไม่ได้อ่านเรื่องที่เขียนก็เฉยๆเป็นธรรมดาสำหรับโลกอินเทอร์เน็ต"
ไดอารี่บันทึกลงสมุด ให้ความรู้สึกความเป็นส่วนตัวมากกว่า แล้วยังให้ความรู้สึกว่าไดอารี่คือสมบัติส่วนตัวของเรา ในขณะที่ไดอารี่ออนไลน์ให้ความรู้สึกตรงนี้น้อยกว่ามาก
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งมีเรื่องราวให้เขียนมากมาย จุดประกายการเขียนไดอารี่ให้ ป่านสาวน้อยวัย 22 ปี กำลังศึกษาวิชาการดนตรี ในสถาบันแห่งหนึ่งในเกาะฮ่องกง กระทั่งได้มีโอกาสเข้าไปอ่านไดอารี่ออนไลน์ของเพื่อน ความสะดวกและรูปแบบต่างๆที่สวยสดงดงาม ยิ่งเรียนต่างประเทศ ยิ่งมีเรื่องให้เขียนจึงหันเหมาลองเขียนดู
ป่านอธิบายวิธีออกแบบไดอารี่ต้องสะท้อนความเป็นตัวเธอมากที่สุด ส่วนเรื่องที่เขียนแล้วแต่ว่าวันนั้นอยู่ในอารมณ์ไหน
“เพื่อความบันเทิงเพื่อความสนุก เลือกที่จะเขียน เลือกที่จะสื่อสารให้กับคนอ่านว่าต้องการให้เค้ารับรู้อะไรบ้าง วันไหนเบื่อๆลงแต่รูป ส่วนใหญ่เล่าว่า ช่วงนี้ทำอะไร รู้สึกยังไง อยากบ่นอะไรก็บ่นไป ป่านเรียนดนตรีมีโอกาสดูคอนเสิร์ตบ่อยๆก็จะเขียนเล่า ลงรูป เพื่อจะเก็บไว้ดูได้ รู้สึกเหมือนกับได้ไปเห็นอะไรแปลกใหม่ที่น่าสนใจ แม้จะไม่ได้มีโอกาสไปในที่ตรงนั้นจริง ถือว่าเป็นประสบการณ์ทางอ้อม”
“ได้สติ ฝึกการจดบันทึกแต่ละวันที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง บางครั้งมีปัญหาไม่รู้จะคุยกับใคร เล่าทิ้งไว้ในไดอารี่เสมือนหนึ่งเล่าให้คนนับร้อยฟังได้คำแนะนำดีๆที่คิดไม่ถึง”
“ถ้าให้พูดตรงๆยังไงไดอารี่สมุดยั่งยืนกว่าแน่นอนในด้านของจิตใจ ได้เขียนทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ทุกประสบการณ์ ซึ่งมันมีค่าแก่การจดจำ สุข ทุกข์ ความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ ที่สำคัญเก็บไว้ได้ตลอดชีวิต”
พ่อมดไดอารี่แห่งคอมมูนนิตี้ได’ฮับ
ชนกสุ กาญจนพรพงศ์ เจ้าของฉายาพ่อมดไอที หรือพ่อมดไดอารี่ ผู้ริเริ่มการเขียนไดอารีออนไลน์ ตั้งแต่การเขียนไดอารี่บนเว็บยังไม่แพร่หลายมากนัก
“ 6-7 ปีก่อน เล่นอินเทอร์เน็ตบ่อย จนเกิดความคิดอยากทำเว็บไซต์ เลือกเขียนไดอารี่เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องไปหาข้อมูลอะไรมาก มาจากตัวของเราเอง กลายเป็นเว็บส่วนตัวชื่อไดอารี่แอดดิท (www.diaryaddict.com)เขียนได้สักพักคนเข้ามาอ่าน ขอให้ช่วยแนะนำ จาก 1-2 คนเริ่มถามเข้ามาเยอะขึ้น กลายเป็นอีกไอเดียที่มาของไดอารี่ฮับช่วยให้คนที่อยากเขียนไดอารี่ออนไลน์จริงๆมีวิธีเขียนง่ายๆ”
ส่วนตัวเริ่มเขียนไดอารี่มาตั้งแต่เรียนมัธยม อุปกรณ์ที่ใช้เป็นสมุดจดการบ้านธรรมดา ตอนนั้นยังไม่รู้สึกว่าเป็นไดอารี่ ชีวิตตอนนั้นสนุกดี รู้สึกว่ามีเรื่องอยากเล่า ไปโรงเรียนเจออะไรบ้าง เอากลับมาเขียนเก็บไว้
เมื่อก่อนเขียนไม่ให้ใครอ่าน เขียนบ่น นินทาเพื่อน ค่อนข้างส่วนตัว พอมาเป็นไดอารี่ออนไลน์ความหมายเปลี่ยน แม้เขียนเรื่องของเรา แต่ด้วยความที่มันออนไลน์อยู่บนอินเทอร์เน็ต ใครๆก็เข้ามาได้ เรื่องของความเป็นส่วนตัวลดน้อยลงไป อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่แต่ละบุคคลว่าต้องการจะเปิดเผยเรื่องราวมากน้อยแค่ไหน
แม้ความเป็นส่วนตัวจะลดลง ไดอารี่โฉมใหม่ดังกล่าวกลับมีสิ่งทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป เพิ่มเติมความอบอุ่นจากกลุ่มคนทั้งขาประจำและขาจรที่ผลัดกันแวะเวียนเข้ามาอ่าน
“มีคนเข้ามาแชร์ไอเดียเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เจอปัญหาทุกข์ใจ คนเข้ามาอ่าน ทิ้งข้อความไว้ เหมือนการให้คำปรึกษาหรือกำลังใจ แนะนำข้อคิดเห็นดีๆ สามารถย้อนกลับมาอ่าน ได้ข้อคิดมากกว่าเดิม เป็นการสื่อสารแบบสองทาง ถ้าเป็นไดอารี่แบบเดิม เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว เขียนเสร็จก็จบ”
ไดอารี่ออนไลน์ต่างจากกระทู้ซึ่งเป็นการตั้งหัวข้อสั้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไดอารี่ออนไลน์เขียนเรื่องราวทั้งวัน เป็นลักษณะของการบรรยาย อาจจะคล้ายกับเว็บบอร์ด แต่เป็นเว็บบอร์ดเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เว็บบอร์ดทั่วไป
จริงๆยังไม่มีการจำกัดความแน่ชัดว่าแท้จริงไดอารี่ออนไลน์คืออะไร คิดว่าเนื้อหาออนไลน์จริงๆคือความอิสระ ไม่มีรูปแบบตายตัว ใครอยากเขียนอะไรก็เขียน สื่อความเป็นตัวตน แรกๆเป็นลักษณะการเขียนบันทึกประจำวัน หลังๆคนเขียนเยอะ หลายคนพัฒนารูปแบบการเขียนเป็นแบบอื่น เช่นบทความ เรื่องสั้น
“โปรแกรมแรกเริ่มเป็นโปรแกรมที่ยังไม่มีในประเทศไทย จำลองลักษณะของโปรแกรมเวิร์ดเอามาเป็นโปรแกรมที่ใช้ในการอัปเดท ง่ายต่อการตกแต่ง เปลี่ยนรูป แบ็กกราวนด์ เพลงลงในไดอารี่ได้ เร็วๆนี้จะมีเพิ่มความเป็นส่วนตัวของคนเขียน มีระบบล็อกไดอารี่ แจกรหัสผ่านเข้าไปอ่านแก่ผู้ที่ต้องการให้อ่านเท่านั้น”
ไม่ว่าไดอารี่รูปแบบใดก็ตาม เมื่อเขียนแล้วคงไม่มีเจ้าของรายใดอยากให้สูญหาย ซึ่งพ่อมดไดอารี่แย้มพรายว่าอีกไม่ช้าจะมีบริการเก็บในรูปแบบซีดี สำหรับคนที่เขียนเยอะ ขี้เกียจตามเก็บชิ้นงาน เรียกว่าเป็นดิจิตอลเปเปอร์ในรูปแบบของซีดี หรือหากต้องการเก็บในรูปของกระดาษก็พิมพ์ออกมาสะสมได้
“ไดอารี่ออนไลน์ให้คุณค่าทางจิตใจอีกแบบ วัดได้จากเพื่อน มิตรภาพใหม่ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ กลุ่มคนที่เขียนไดอารี่ด้วยกัน บางคนอยู่อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ มีคนอ่านเรื่องของเราได้ทั่วโลก ไม่คิดว่าจะมาอ่าน
บางครอบครัวส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ไดอารี่บอกเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตในต่างประเทศ เป็นช่องทางหนึ่งทำให้รู้สึกว่าสายสัมพันธ์ไม่ขาดจากกัน แม้อยู่คนละทวีป เวลาไม่ตรงกัน สื่อสารโต้ตอบผ่านกระทู้ได้”
“ถ้าจะมองเป็นแฟชั่นก็มองได้ มีส่วนถูก อย่างพวกเด็กๆเห็นเพื่อนเขียน มีไดอารี่ ก็สนใจถามว่าเป็นอย่างไร แนะนำชักชวนกันมาเขียน ตามเพื่อนๆเขียนแล้วก็เลิกไป เหมือนตามกระแส แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ทั้งหมดว่ามันเป็นแฟชั่น เพราะคนที่อยากเขียนไดอารี่จริงๆก็มีเยอะ”
“บางคนคิดว่ามันจับต้องไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีคุณค่า บางครั้งเว็บล่ม หลายคนเข้าเว็บไม่ได้ จะเป็นทุกข์เป็นร้อน กลัวไดอารี่หาย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้น เหมือนเป็นสมบัติทางใจ สิ่งที่เขียนบันทึกทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ คิดว่ามันเป็นประโยชน์สำหรับคนชอบเขียน อยากมีผลงานให้คนอื่นเข้ามาอ่านพร้อมติชม ไดอารี่จะเป็นบันไดพื้นฐานขั้นแรกสำหรับคนที่มีความฝัน อยากให้เข้ามาลองเขียนดู แล้วจะรู้ว่ามีอะไรมากกว่าการเขียนไดอารี่บันทึกประจำวัน” คำกล่าวทิ้งท้ายของพ่อมดหนุ่ม ไดอาริสต์แห่งไดฮับ
แม้รูปโฉมของไดอารี่จะเพิ่มขึ้น แต่ตราบใดที่โลกนี้ยังมีความลับ ไดอารี่ยังคงทำหน้าที่ดั้งเดิมของมันอย่างสมบูรณ์