ศาสตร์แห่งการต่อสู้ในแบบฉบับมวยจีนโบราณ ว่าด้วยศิลปะการต่อสู้อันเกิดจากการสอดผสานกันอย่างลงตัวระหว่างท่วงทำนองลีลาการเข้ารุกและตั้งรับที่พลิ้วไหวของนกกระเรียนเข้ากับเอกลักษณ์ท่วงท่าจำเพาะของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว ในรัชสมัยของกษัตริย์หยวนเช็งแห่งราชวงศ์ชิง จากวัดเสี้ยวลิ้ม ที่คิดค้นโดยแม่ชีหวู่เหมย ผู้เป็นหนึ่งในห้าของปรมาจารย์ชั้นอาวุโสในรัชสมัยนั้น
ศิลปะการต่อสู้ที่สามารถนำมาประยุกต์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันตัวได้นัhน นับเป็นเรื่องที่สำคัญมากและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสภาพสังคมในปัจจุบัน เพราะเราไม่อาจคาดการณ์รู้ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอันตรายอะไรขึ้นกับเราหรือไม่ ดังนั้นการเรียนรู้ศิลปะการป้องกันตัวไว้บ้างย่อมเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ผู้ศึกษาเป็นแน่แท้
อย่างไรก็ตามศิลปะการป้องกันตัวนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ ทั้งของไทย ของต่างชาติ แต่ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก คงหนีไม่พ้น “มวยหวิงชุน” ที่ทั่วโลกให้การยอมรับค่อนข้างแพร่หลาย โดยปัจจุบันมีผู้ฝึกมวยหวิงชุนประมาณ1 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา แต่ถ้าในแถบเอเชียที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ ฮ่องกง ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของวัฒนธรรมที่สื่อด้วยภาพยนตร์ที่เราเห็นกัน ยกตัวอย่างเช่น บรู๊ซ ลี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก็ได้รับการฝึกฝนมวยหวิงชุนมาเช่นกัน
มวยหวิงชุนเป็นศิลปะการต่อสู้เพื่อป้องกันตัวแขนงหนึ่งของประเทศจีนที่ไม่เน้นการใช้พละกำลังเพื่อกำชัยชนะอันเหนือกว่าคู่ต่อสู้แต่อย่างใดเลย ทว่ามวยหวิงชุนนั้นกลับอาศัยหลักปรัชญาในการเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเพื่อนำมาซึ่งพลังอันมหาศาลที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน และสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย!!
ด้วยศาสตร์แห่งศิลปะการต่อสู้ในรูปแบบเฉพาะตัวระหว่างนกกระเรียนและสุนัขจิ้งจอก ก่อเกิดเป็นศาสตร์แห่งมวยจีนโบราณ ประกอบกับการอาศัยพลังจากพื้นและการถ่ายเทน้ำหนักของร่างกายเข้าสู่ฝ่ายตรงข้าม ใช้หลักการรักษาแนวเส้นตรงระหว่างเส้นศูนย์กลางของร่างกายของเรากับคู่ต่อสู้ นอกจากนี้ยังเป็นการเรียนรู้สมดุลของร่างกาย แล้วยังสามารถจะทำลายสมดุลของฝ่ายตรงข้ามได้อีก
ตำนานแห่งกำเนิดมวยหวิงชุน
เชื่อกันว่า เมื่อ200 กว่าปีที่แล้ว ปรมาจารย์แม่ชีหวู่เหมย คือ ผู้ที่ค้นพบ “มวยหวิงชุน” ขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อครั้งที่แม่ชีหวู่เหมยหนีความวุ่นวายทั้งปวงไปอาศัยอยู่ยังวัดกระเรียนขาวบนเขาไทซานระหว่างมลรัฐ เสฉวนและยูนนาน ในขณะเดียวกันก็ได้พยายามคิดค้นวิทยายุทธ์แขนงใหม่ ซึ่งแตกต่างและมีประสิทธิภาพดีกว่าที่เคยเรียนรู้จากวัดเสี้ยวลิ้ม
ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของแม่ชีหวู่เหมย จึงได้พบจุดเริ่มต้นโดยบังเอิญ เมื่อครั้งที่เห็นการต่อสู้ระหว่างนกกระเรียนและสุนัขจิ้งจอก ขณะที่สุนัขจิ้งจอกกำลังวิ่งเวียนเป็นวงกลมไปรอบๆนกกระเรียน เพื่อหวังจะหาจังหวะเข้าจู่โจม ส่วนนกกระเรียนที่คงอยู่ในศูนย์กลางของวงกลม ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใดก็เจอสุนัขจิ้งจอกทุกครั้ง
เมื่อสุนัขจิ้งจอกออกโรงโจมตีนกกระเรียนด้วยกรงเล็บเกรี้ยวกราด โดยอาศัยความเร็วและความเจ้าเล่ห์ของมัน นกกระเรียนก็สามารถตอบรับได้ทุกครั้งไป ด้วยการใช้ปีกปัดป้อง ขณะเดียวกันก็ตอบโต้ด้วยการใช้จะงอยปากอันแหลมคมจิกไปยังสุนัขจิ้งจอกในทันที การต่อสู้ในครั้งนั้นดำเนินไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ส่วนฝ่ายใดจะชนะนั้นไม่สำคัญเลยสำหรับแม่ชีหวู่เหมย เนื่องจากสิ่งที่แม่ชีหวู่เหมยได้ค้นพบนั้นคือ หลักการป้องกันและโต้ตอบในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของมวยหวิงชุนในปัจจุบัน
การต่อสู้ชนิดใหม่นี้ เป็นหลักการต่อสู่อันแยบยลตามธรรมชาติระหว่างนกกระเรียนและสุนัขจิ้งจอก โดยสุนัขจิ้งจอกจะมีการหลบหลีกการปะทะด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในลักษณะเป็นวงกลม พร้อมกับการโจมตีเป็นเส้นตรงเข้าสู่ศัตรู แต่ในส่วนของนกกระเรียนนั้นจะใช้หลักการในการหันเข้าหาจุดศูนย์กลางของคู่ต่อสู้พร้อมกับการปิดป้องและโจมตีคู่ต่อสู้ ในเวลาเดียวกัน หากแต่กรงเล็บ เขี้ยว จะงอย ปาก ปีก ได้ถูกทดแทนโดยหมัดและฝ่าเท้า ซึ่งถูกคิดค้นให้ใช้ออกมาอย่างถูกสรีระของมนุษย์ที่สุด
วิทยายุทธ์ชนิดใหม่นี้แตกต่างกับหลักวิทยายุทธ์เสี้ยวลิ้มเดิมโดยสิ้นเชิงแม่ชีได้ตัดกระบวนท่าอันซับซ้อนและเปลี่ยนเป็นกระบวน ท่าอันกระชับ อาศัยการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อที่จะโจมตีสู่เป้าหมายด้วยระยะทาง เวลาที่น้อยที่สุด และให้ได้พลังที่มากที่สุด (Economy of motion)
แต่ที่ปรับลดลง คือกระบวนท่าในการฝึกฝนได้ถูกลดลงเหลือแค่มวยเพียง 3 เส้น หุ่นไม้ 1 เส้น มีดคู่ฟันแปดกระบวน 1 เส้น กระบองหกแต้มครึ่ง 1 เส้น ซึ่งต่างกับมวยชนิดอื่นซึ่งอาจจะ มีหลายสิบกระบวนท่ารำซึ่งยากแก่การจดจำ และนำไปปฏิบัติ
อีกสิ่งซึ่งต่างจากวิทยายุทธ์เสี้ยวลิ้มคือการฝึกหัดในการ ใช้พลังเป็นเวลานาน แม้การฝึกฝนของวิทยายุทธ์หวิงชุนจะมีการฝึกพลังอยู่บ้างใน ขั้นต้น หากแต่เมื่อฝึกฝนไปได้สักระยะหนึ่ง การใช้กำลังก็จะถูกเปลี่ยนเป็นการใช้สมอง และ ไหวพริบ ในการ ต่อสู้มากกว่ากำลัง ท่ายืนของมวยชนิดนี้ต่างกับมวยจีน ชนิดอื่นซึ่งกว้างมาก อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
5 หลักใหญ่ของศิลปะป้องกันตัวหวิงชุน
1. การวางสรีระ (Assuming Structure) โดยทั่วไปหมายถึงการตั้งการ์ดหรือท่าเตรียมพร้อม แต่สำหรับมวยหวิงชุนหมายความถึงการวางโครงสร้างสรีระร่างกายของเราให้สัมพันธ์กับโครงสร้างสรีระของคู่ต่อสู้ โดยจัดปรับสภาวะให้เราได้เปรียบคู่ต่อสู้ ทั้งนี้โครงสร้างและสรีระของเราต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามคู่ต่อสู้ เป็นการปรับตามความกดดัน ตำแหน่ง เวลา จังหวะ ความไวและการฟังของการสัมผัส เราจำต้องปรับตามสภาวะตลอด นี่คือการที่เราเตรียมพร้อมด้วยสภาพ จิตใจในการรับการจู่โจม
2. การสกัด (Intercepting) การตัดออกหรือสกัด ถือเป็นข้อสำคัญของมวยหวิงชุนอีกข้อ คือเราต้องคิด ก่อนทำก่อนและพร้อมที่จะสกัดคู่ต่อสู้ก่อนที่เขาที่จะบุกต่อ จุดสำคัญของการสกัดคือการรู้ถึงก่อนการเคลื่อนไหว ร่างกายเราอยู่ข้างหน้าคู่ต่อสู้และจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาให้ได้ ฉะนั้นการเรียนรู้มวยชนิดอื่นๆเพื่อให้เข้าใจถึงเทคนิค โครงสร้างสรีระ การรู้ล่วงหน้าถึงวิถีอาวุธ จึงจะทำให้การสกัดเป็นจุดที่เราสามารถคุมเส้นกลางของคู่ต่อสู้ได้
3. การทำลายโครงสร้างสรีระร่างกายของคู่ต่อสู้ (Breaking the Opponent’s Structure) การทำลายโครงสร้างสรีระคู่ต่อสู้เป็นแก่นสารที่สำคัญในการต่อสู้ด้วยมวยหวิงชุน โดยการจมเข้าไปในโครงสร้างร่างกายของศัตรู เพื่อทำลายเส้นสันหลังกลางตัว ด้วยการบิดหรือทำให้เสียรูปของแนวราบนี้ในขณะเดียวกันทำลายจุดศูนย์ถ่วงของศัตรูทำให้โครงสร้างร่างกายของเขาอ่อนแอต่อการโจมตี เป้าหมายคือการทำให้เขาช้าลงหรือหยุดที่จะโต้ตอบหรือตอบสนอง เมื่อเราได้ทำลายฐานการโจมตีของคู่ต่อสู้ เขาตีเราไม่ได้อีกต่อไป นี่คือการการทำลายโครงสร้างสรีระคู่ต่อสู้
4. การไล่ (Chasing) คือท่าต่อเนื่องเพื่อที่จะตามหรือตัดการเคลื่อนไหวของศัตรูที่จะหนีหรือต่อสู้ การไล่เป็นการที่บังคับคู่ต่อสู้จำต้องตอบโต้ เป็นการมองหาจุดตีและหาทางเข้าตีให้ได้ เพื่อจะทำลายโครงสร้างศัตรู จุดประสงค์ของการไล่คือการหาชัยภูมิ เปิดหรือจุดอ่อนของโครงสร้างศัตรู หาโอกาสที่จะล้มเขาลง คุมเส้นกลางและการหันเข้าหาด้วยการวางตัวอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
5. การปรับสภาวะ (Adjustment) เมื่อเราเองอยู่ในอันตรายโดยโครงสร้างกำลังจะถูกทำลาย ในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องปรับเปลี่ยนท่าก้าวให้เข้ากับสถานการณ์ โดยก้าวกลับ (returning step) เป็นยุทธวิธีใน การรวบรวมใหม่ วางแผน หรือปรับท่าก้าวให้สอดคล้อง เสมือนเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างตำแหน่งที่ดีกว่า เพื่อที่เริ่มขบวนการตามหลักทั้งห้าได้อีก
กล่าวโดยสรุปได้ว่า หลักทั้ง 5 ของมวยหวิงชุนคือ จุดรวมของความมีประสิทธิภาพของศิลปะการป้องกันตัว โดยหลัก 3 ข้อแรก ได้แก่ การวางสรีระ, การสกัด, การทำลายโครงสร้างสรีระคู่ต่อสู้ คือ แก่นของการประจันหน้าและการหยุดการโจมตี ส่วนการไล่และการปรับสภาวะคือ การที่เราสามารถที่จะตีกลับได้ทันที หลังจากที่เราหยุดการโจมตีของศัตรู
หลักทั้ง 5 ของมวยหวิงชุนคือหลักที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันตัวโดยการเข้าใจถึงเวลาจังหวะที่ถูกต้องและการวางตำแหน่งของร่างกาย อาวุธและแนวป้องกันในการต่อสู้