xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโลกม้าแข่ง การพนันหรือกีฬาแห่งเกียรติยศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพผู้คนขวักไขว่บริเวณหน้าสนามม้านางเลิ้งทุกบ่ายวันอาทิตย์อาจจะเป็นที่คุ้นตาของคนที่สัญจรผ่านไปมาบริเวณนั้น แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าภายในสนามม้านั้นเป็นเช่นไร ด้วยภาพของการแข่งม้าที่ถูกมองเป็นการพนันมากกว่าจะเป็นกีฬา ทำให้คนในสังคมส่วนใหญ่มองการแข่งม้าและคนที่เข้าไปในสนามม้าในทางลบ โลกของม้าแข่งจึงยังคงลี้ลับในสายตาคนนอกตลอดมา

แต่ใช่ว่าเป็นกีฬาที่มีการพนันแล้วจะหดหู่ดำมืดตลอดเวลา บรรยากาศภายในสนามม้านางเลิ้งยังมีสีสันและความคึกคักที่น่าสนใจหลายอย่าง หากใครยังไม่กล้าแต่อยากรู้ว่าภายในนั้นเป็นอย่างไร ลองจินตนาการโดยการอ่านแล้วเดินทางไปพร้อมกันกับเรา

กว่าจะมาเป็นม้าแข่ง

นับกว่าศตวรรษแล้วที่ประเทศไทยมีกีฬาการแข่งม้า โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงเสด็จประพาสยุโรปและทอดพระเนตรเห็นการแข่งม้าในต่างประเทศ จึงเริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรกในประเทศไทยที่ท้องสนามหลวง ก่อนที่จะก่อตั้งเป็นราชกรีฑาสโมสร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งในช่วงแรกนั้นจะมีฝรั่งเป็นกรรมการ จึงเรียกว่า “สนามฝรั่ง” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงอุปถัมภ์สนามม้าอีกแห่งคือ ราชตฤณมัยสมาคม หรือที่เรียกว่า “สนามไทย”

ปัจจุบันนี้การแข่งม้าในกรุงเทพฯ จะจัดสลับกันไปทุกสัปดาห์ ระหว่างสนามราชตฤณมัยสมาคมและสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ โดยอาจเลื่อนไปจัดแข่งในวันเสาร์หากตรงกับวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา

ฟาร์มม้าส่วนใหญ่จะอยู่แถวปากช่อง การฝึกซ้อมม้าแข่งจะเริ่มตั้งแต่ม้าอายุได้ 2 ปี จะเริ่มฝึกตีวงวิ่งคล้ายกับเด็กฝึกเดิน จนกระทั่งแข็งแกร่งแล้วก็จะนำมาสอบคัดเลือกเพื่อลงแข่งขันในสนามกรุงเทพฯ ที่ราชตฤณมัยสมาคม ส่วนเงินรางวัลในการแข่งขันก็แล้วแต่จะมีการกำหนด ชั้น 1 หรือม้าที่จัดว่ามีฝีเท้าดีก็ตกอยู่ที่ตั้งแต่ 170,000-190,000 บาท ลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับชั้น (ทั้งหมดมีอยู่ 9 ชั้น) จนถึงชั้นเมเด้น หรือม้าใหม่ที่เพิ่งลงแข่งจะมีเงินรางวัลน้อยที่สุด

เงินรางวัลที่ได้นั้นหลังจากถูกหักภาษี 5 % แล้ว ที่เหลือจะเป็นของคนเลี้ยงม้า เทรนเนอร์ จ๊อกกี้ คนละ 10% แต่ก่อนจะจ่ายเงินรางวัลนั้นจะต้องมีการตรวจปัสสาวะม้าตัวนั้นๆ ว่ามีการโด๊ปยาหรือไม่ ถ้าผลตรวจพบว่ามีก็จะไม่มีการจ่ายเงินรางวัลและห้ามม้าตัวนั้นลงแข่งตามกฎของสมาคม แล้วเลื่อนม้าที่เข้าวินถัดมาขึ้นรับรางวัลแทน

ชีวิตคนหน้าสนามม้า

ก่อนจะก้าวผ่านประตูสนามม้านางเลิ้ง หรือราชตฤณมัยสมาคมแห่งนี้ นอกเหนือจากเซียนม้าแข่งที่ทยอยกันเดินเข้าออกสนามเป็นระยะแล้ว จะสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งปักหลักอยู่หน้าสนามม้า ไม่หวั่นแม้ว่าฝนจะตกหรือแดดจะแรงสักเพียงไหน เพราะนี่คือปากท้องของพวกเขา เราขอเรียกพวกเขาว่า “นักธุรกิจหน้าสนามม้า”

นอกจากพ่อค้าแม่ค้าขายอาหารและเครื่องดื่มทั่วไปแล้ว กิจการที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของสนามม้าก็คือ ธุรกิจให้เช่ากล้องส่องทางไกล และรองเท้าหุ้มส้น ด้วยว่าสนามม้ามีกฎระเบียบให้แต่งกายสุภาพ โดยเฉพาะห้ามสวมรองเท้าแตะ กิจการชั่วคราวนี้จึงถือกำเนิดขึ้นคู่สนามม้ามานับสิบๆ ปีแล้ว

แต่ในปัจจุบันความเข้มงวดของกฎดังกล่าวได้ผ่อนคลายลง จึงมีผู้ใช้บริการเช่ารองเท้าน้อยลง ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าต้องปรับตัวหันมาให้เช่ากล้องส่องทางไกลแทน

“ให้เช่าอันละ 30 บาท มาเกือบ 30 ปีแล้วครับ...” พ่อค้ากล้องส่องทางไกลคนหนึ่งว่า “เดี๋ยวนี้คนก็ไม่นิยมเล่นม้าแล้ว เขาไปเล่นบอลเล่นอย่างอื่นแทน คนน้อยลง รายได้ก็น้อยลง คนเล่นก็ไม่ค่อยใช้กล้องส่องทางไกลกัน เขาไปดูทีวีวงจรปิดเอา ผมเลยไม่กล้าขึ้นราคา” ขณะที่พูด มือเขาก็รับส่งกล้องจากลูกค้าที่นำมาคืนบ้าง เช่าบ้างเป็นระวิง เขาเล่าต่อไปว่าลูกค้าส่วนมากมักเป็นลูกค้าประจำ เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกอาทิตย์มาเป็นสิบๆ ปี จึงไม่ต้องแลกบัตรไว้มัดจำ แต่ถ้าเป็นลูกค้าขาจรจะต้องแลกบัตรประชาชนเอาไว้ ซึ่งจะได้คืนก็ต่อเมื่อนำกล้องมาคืน

ถัดจากแผงกล้องส่องทางไกลมาไม่มากนัก จะมีโต๊ะนับสิบขายหนังสือโปรแกรมม้า ปากกา บุหรี่ น้องเหมียว เด็กหญิงผู้มีอาชีพเสริมขายโปรแกรมม้ายิ้มก่อนบอกว่า เธอกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.1 มีรายได้จากการขายโปรแกรมการแข่งม้าต่อวันพอสมควร โดยจะสลับไปมาระหว่างอาทิตย์เว้นอาทิตย์ไปขายที่ “สนามหรั่ง” หรือสนามฝรั่ง (ราชกรีฑาสโมสร) และสนามนางเลิ้งแห่งนี้

เสียงหัวเราะและน้ำตา...ของสนามม้าแข่ง

“ปัจจุบันนี้คนไม่ค่อยรู้เรื่องการแข่งม้า เพราะไม่มีสื่ออะไรออกไป มวยยังมีทีวีถ่ายทอด ฟุตบอลยังมีการถ่ายทอด แต่ม้านี่ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน ทั้งที่เสียภาษีมากกว่ามวย มากกว่าฟุตบอล ฟุตบอลมีเสียภาษีที่ไหน ม้าแข่งอย่างเดียวที่มีการเสียภาษี อย่าลืมว่าฟุตบอลก็มีการพนัน วันหนึ่ง 5 คู่ 10 คู่ เงินสะพัดเท่าไรในวงการฟุตบอล ม้าก็เป็นการกีฬาเหมือนกัน และเป็นกีฬาชนิดเดียวที่เสียภาษีให้รัฐ ถ้าหากมีการถ่ายทอด เพียงเที่ยวสองเที่ยวที่สำคัญๆ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจว่ากีฬาแข่งม้าเป็นยังไง ไม่ใช่ว่ามอมเมา เพราะไม่ได้บังคับว่าต้องไปแทงม้านะ คุณชอบคุณก็แทง แล้วรัฐบาลก็ได้ภาษี” ชาญทิพย์ ตังธนเศรษฐ์ หัวหน้าประชาสัมพันธ์ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ผู้คลุกคลีกับวงการม้าแข่งนานนับ 47 ปีกล่าว

สมชาติ เจริญวัชรวิทย์ หรือเจ้าของสมญา “ชาติซ้าย” ที่ผู้คนในแวดวงกีฬารู้จักกันดี ในฐานะคณะกรรมการอำนวยการราชตฤณมัยสมาคม และอดีตนายกสมาคมเจ้าของม้าแข่งแห่งประเทศไทย แสดงทัศนะถึงสภาพความซบเซาที่เกิดขึ้นในวงการม้าแข่งว่า ปัญหาที่ทำให้เกิดความซบเซาในวงการแข่งม้าของไทยก็คือเรื่องภาษี ที่ทางสนามม้าต้องหักรายได้ ณ ที่จ่าย โดยยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

“ที่สนามม้าอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยการจัดแข่งม้าแบบการกุศล เพราะรัฐบาลจะลดหย่อนภาษีให้ ซึ่งถ้าหากรายได้ของสนามน้อยกว่า 60 ล้านบาทต่อวัน จะขาดทุน ต้องควักเงินสะสมของทางสมาคมมาจ่าย” สมชาติชี้แจงต่อไปว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูม้าตัวหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ ม้าสายพันธุ์ดีๆ ที่ซื้อมาจากต่างประเทศตัวหนึ่งประมาณ 300,000 บาทขึ้นไป เจ้าของคอกม้าจะเสียค่าอาหาร ค่ายา ฯลฯ ถึงตัวละ 100,000 บาทต่อปี

ดังนั้นหากสนามม้าจ่ายภาษีซ้ำซ้อนให้รัฐมาก เงินรางวัลที่ให้ม้าก็พลอยน้อยลง ทำให้ทั้งสนามและคอกม้าพากันล้มเป็นทอดๆ สิ่งที่จะเยียวยาได้ก็คือ การจัดให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งม้าทางโทรทัศน์ เพื่อคนรุ่นหลังจะได้เข้าใจว่าการแข่งม้าไม่ใช่การทารุณ เพราะขนาดวันพระก็ยังหยุดการแข่งม้า

สนามม้ากับภาพจำลองสนามชีวิต

หลังจากสังเกตการณ์หน้าสนามจนเพลิน เราก็ซื้อบัตรในราคา 50 บาทเพื่อผ่านเข้าไปในสนามม้า ป้ายขนาดใหญ่ติดหราไว้หน้าช่องขายบัตรว่า “อายุต่ำกว่า 20 ปีห้ามเข้า” นอกจากที่นั่งชั้นธรรมดาราคา 50 บาทนี้ ยังมีราคา 100 เพื่อนั่งบนชั้นสองของอัฒจันทร์ และ 300 บาทสำหรับที่นั่งชั้นวีไอพีที่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

ชั้นล่างบริเวณใต้อัฒจันทร์ของสนามมีการถ่ายทอดการแข่งขันผ่านทางโทรทัศน์ เซียนพนันม้ายืนกระวนกระวายรอเริ่มการแข่งขัน บางคนยืนคุยโทรศัพท์มือถือต่อรองปลายสายในการแทงม้า บางคนยืนสูบบุหรี่หน้าเครียดจ้องมองตารางตัวเต็งม้าแข่งและอัตราต่อรองในการจ่ายผลการแข่งขันบนจอทีวี บางคนกำลังคร่ำเคร่งกับรายชื่อม้าในหนังสือโปรแกรมม้าที่ยับยู่ยี่ในมือ ทั้งชายและหญิง ทั้งคนชราและหนุ่มสาว ทั้งคนไทยและฝรั่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือสีหน้าและแววตาที่ตื่นเต้นลุ้นผลการแข่งของม้าตัวที่พวกเขาแทงพนัน

บริเวณใกล้ๆ มีช่องรับแทงม้า บางช่องเฉพาะผู้ที่ต้องการแทง 500 บาทขึ้นไปเท่านั้น ยากจะคาดเดาว่าแต่ละคนรอบข้างแทงกันไปคนละเท่าไร เพราะบางคนแทงไปเพียงร้อยเดียวแต่ทั้งลุ้นทั้งเครียดราวกับแทงเป็นล้าน ขณะที่บางคนสูญเงินร่วมแสนในวันเดียวกลับมีสีหน้าเฉยๆ อย่างผู้ชายที่เดินคุยโทรศัพท์ผ่านหน้าเราไปเมื่อครู่นี้เป็นต้น

เราเดินหาที่นั่งบริเวณอัฒจันทร์ชั้นล่าง ซึ่งผู้เล่นพนันม้าส่วนมากเลือกใช้เป็นทำเลลุ้นการแข่งขัน ด้วยพื้นที่อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ที่เปิดโล่งให้เห็นสนามหญ้าเขียวขจี ส่วนจุดปล่อยตัวม้าอยู่สุดปลายด้านหนึ่งฝั่งตรงข้ามกับอัฒจรรย์ มองเห็นสีเสื้อสีชมพูจัดจ้านของจ๊อกกี้อยู่ลิบๆ หลายคนจึงใช้กล้องส่องทางไกลในการชมการแข่งขัน ผู้ชมพากันนั่งรอเวลาม้าปล่อยตัว ทั่วบริเวณกลาดเกลื่อนไปด้วยเศษบัตรรับแทงม้าของรอบที่แล้ว เปลือกถั่ว ห่ออาหาร แก้วน้ำพลาสติก กระจายอยู่ตามที่นั่งคอนกรีตที่ทำเป็นขั้นบันได แม้ด้านหน้าอัฒจันทร์จะเปิดโล่ง แต่ควันบุหรี่ก็ยังคลุ้งอวลแทรกอยู่ในบรรยากาศแห่งความเครียดในสนามม้าก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น

ทันทีที่เสียงสัญญาณปล่อยตัวม้าดังขึ้น ประตูกั้นซองจึงเปิดออก ม้าแต่ละตัวทะยานออกจากซองด้วยความเร็วปานลูกธนูติดปีก ผู้ชมพากันลุกเฮขึ้นเพื่อลุ้นอย่างตื่นเต้น เสียงโฆษกประจำสนามพากย์ว่าม้าตัวใดกำลังขึ้นนำ ตัวใดกำลังตามมาติดๆ ประกอบกับเสียงเชียร์กระหึ่มที่ดังก้องไปทั่วสนามราชตฤณมัย ทำเอาหัวใจของเราพลอยเต้นแรง เลือดในกายฉีดพล่านด้วยความตื่นเต้น แม้จะไม่ได้ร่วมพนันขันแข่งกับเขาก็ตาม

เพียงนาทีเศษๆ จ๊อกกี้ก็ควบตะบึงม้าเบียดกันเข้าเส้นชัย เมื่อวินาทีแห่งชัยชนะผ่านพ้นไป สกอร์บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่แสดงผลการแข่งขันให้ผู้ชมรับรู้ เบอร์ 4 “ม้าเกรียงไกร” ที่หนังสือโปรแกรมม้าในมือแนะนำว่าอาจเป็นม้ามืด เข้า “วิน” มาเป็นที่ 1 ส่วนม้าที่จัดเป็นตัวเต็งกลับเข้ามาเป็นที่ 2 หรือเรียกว่า “เพลส”

ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเราซึ่งตะโกนเชียร์เบอร์ 7 “ร๊อคกี้” ตลอดเที่ยว ขยำกระดาษรับแทงพนันเจ้าร๊อคกี้ทิ้งอย่างผิดหวัง เราก้มอ่านข้อมูลมันในมือบอกว่าร๊อคกี้เป็นม้าฝีเท้าจัด และยังได้เปรียบในเรื่องน้ำหนักและระยะทางในการแข่งขัน อีกทั้งการฟิตซ้อมก็สมบูรณ์กำลังดี จึงเหมาะจะเป็นคู่ชิงชนะกับม้าเต็งอีกตัว

………………………

ในความแน่นอนย่อมมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในเกมการกีฬา ที่ผลแพ้ชนะพลิกได้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง ความผิดหวังสมหวังย่อมมากน้อยต่างจากการชมกีฬาทั่วไป สิ่งที่พอจะเรียนรู้ได้จากเกมการแข่งขันก็คือความไม่ประมาท และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตเราเท่านั้น

*********

“ถ้าหากการแข่งม้าเป็นการทารุณสัตว์ล้วนๆ หมอคงไม่สามารถอยู่ตรงจุดนี้ได้...”
สพ.ญ.ดร.ศิรยา ชื่นกำไร

“ตามกฎของการแข่งม้า สนามม้าทั้งสองสนาม คือทั้งที่ราชกรีฑาสโมสรและราชตฤณมัยสมาคมมันมีมาตรฐาน มีกฎของการห้ามใช้ยา เราจะมีศูนย์ตรวจโด๊ป ศูนย์นี้จะตรวจได้ทุกอย่าง”

อย่างไรก็ตาม สพ.ญ.ดร.ศิรยา ชื่นกำไร สัตวแพทย์ประจำสนามแข่งม้าราชกรีฑาสโมสรและราชตฤณมัยสมาคมมานานกว่า 13 ปีแล้ว ยอมรับว่าในวงการม้าแข่งมีการใช้ยากระตุ้นม้าอยู่จริง
ในอดีตนั้นจะมีการตรวจสารกระตุ้นที่ห้องแล็บในสนามม้านางเลิ้ง แต่คุณหมอศิรยาบอกว่าไม่ค่อยได้มาตรฐานนัก ด้วยข้อจำกัดเทคโนโลยีที่ไม่สามารถตามทันตัวยาต่างๆ ที่มีผู้สรรหามาใช้ในการโกง กระทั่งประเทศไทยมีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ทำให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนให้มีมาตรฐานการตรวจสอบสารกระตุ้นในการแข่งขันกีฬาขี่ม้าให้ได้มาตรฐานของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล

“ ถ้าถามว่ามีศูนย์ตรวจแล้วทำให้ไม่มีการใช้ยาหรือไม่ คำตอบก็คือใช้น้อยลง แต่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจจะใช้หรือไม่ใช้ยาของแต่ละคน เวลาเจ้าของให้ยากับม้า ไม่ว่าจะเป็นยากระตุ้นให้ม้าวิ่ง หรือยาที่ทำให้ม้าซึมแล้ววิ่งช้าลง แม้แต่ยาระงับปวด ที่แม้ในบางครั้งม้ามีอาการเจ็บปวด หลายๆ คนก็ยังให้ยาเพื่อให้มันลงแข่ง เพราะสิ่งที่เขาเสีย มันไม่เท่ากับสิ่งที่เขาจะได้ เพราะหากจับได้ว่ามีการใช้สารกระตุ้นจะถูกห้ามไม่ให้นำม้าลงแข่ง 80 วัน ถ้าเกิดจับได้ 3 ครั้ง จะถูกปิดคอกและริบเงินรางวัล ซึ่งถ้าเกิดมีการลงโทษ ริบเงิน อย่างทั่วไปม้าที่ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท แต่เวลาแทงม้าเขาแทงกันเป็นล้าน เพราะฉะนั้นหากจะริบเงินรางวัล ถามว่าใครแคร์? ไม่มีใครแคร์ มันเป็นเรื่องของการพนัน ทำให้ยังคงมีการใช้สารกระตุ้นหรือยาในม้าอยู่”

ในอดีตก่อนที่จะมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเหมือนในปัจจุบันนั้น มีเหตุการณ์ที่ม้าประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บในสนามแข่ง แล้วกลับมาตายที่คอกเป็นจำนวนมาก สัตวแพทย์ก็ต้องช่วยให้มันพ้นทรมานด้วยการฉีดยาให้ตายไป

“เคยมีม้าตัวหนึ่งที่เจ้าของให้ยากระตุ้น แล้วม้าตัวนั้นล้มขาหักทั้งสองข้าง นอนช็อกอยู่คาสนาม มันทำอะไรไม่ได้นอกจากช่วยให้พ้นทรมาน ตามธรรมดาแล้วหากมีม้าตายคาสนาม สนามจะจ่ายเงินชดเชยให้ไป 100,000 บาท ถ้าม้าตัวนั้น “คลีน” หมายถึงไม่มีการใช้ยา แต่ปรากฏว่าผลการตรวจพบว่าม้าตัวนั้นมีสารต้องห้ามซึ่งเป็นผลพวงจากการที่เจ้าของใช้ยากระตุ้น ทางสนามจึงไม่จ่ายเงินชดเชยให้ นักการเมืองที่เป็นเจ้าของม้าก็ให้ลูกน้องเขาไปฟ้องต่อศาลว่าทางสนามแข่งทำลายทรัพย์สิน...” คุณหมอศิรยาไม่ขอเอ่ยชื่อนักการเมืองคนนั้น เพราะเกรงจะเกิดกรณีฟ้องร้องดังเช่นที่ผ่านมาในอดีต

“มันแย่ที่คนที่ทารุณสัตว์สามารถทำผิดให้เป็นถูกได้ ในหลวงท่านเคยรับสั่งว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนในสังคมเป็นคนดีได้ แต่เราสามารถช่วยกันไม่ให้คนไม่ดีมีโอกาสได้ปกครองบ้านเมือง หน้าที่ของคณะกรรมการ หรือสัตวแพทย์ประจำสนามแข่งก็คือต้องร่วมมือกันให้เกิดการงด ให้ทุกฝ่ายหยุดการใช้ยากับม้า”

“จริงๆ มันอยู่ที่วิธีการ ในหลายๆ แง่มันก็อาจเป็นการทารุณสัตว์ แต่ก็สามารถเป็นกีฬาได้ด้วย เพราะถ้าหากว่ามันเป็นการทารุณสัตว์ล้วนๆ หมอเองคงไม่สามารถอยู่ตรงจุดนี้ได้ ถ้าคนเราทุกคนมองเห็นอย่างเดียวกันหมด คนดีทุกคนเบือนหน้าหนี ไม่มีใครที่อยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยว ก็จะไม่มีคนมาพิทักษ์ม้า หมอมองว่ามันยังมีช่องทางที่จะทำให้ดีขึ้นได้ ในวงการก็ยังมีคนเทรนม้า ฝึกม้าเพื่อการกีฬา จริงๆ แล้วถ้ามองในแง่อื่น ม้าเป็นเศรษฐกิจขนาดย่อม กีฬาแข่งม้าส่งผลกระทบต่อคนในวงการม้าแข่งมากมาย ทั้งคนงานเลี้ยงม้า คนขายอาหารม้า อาชีพคนทำอานม้า ทุกสิ่งที่วนเวียนอยู่กับม้าเป็นเศรษฐกิจทั้งนั้น หากคนไม่ให้การสนับสนุน รัฐบาลไม่สนับสนุนเพราะเห็นเป็นการพนัน คนขี้โกงก็จะยังทำทารุณม้า และคนดีก็จะยังสู้หัวชนฝาอยู่อย่างนี้ตลอดไป...”

“ในวงการการพนันทุกประเภทนั้น การแข่งม้าเป็นการพนันที่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด เพราะมีเวลาเปิดปิดสนาม มีเวลาแข่งกำหนดชัดเจน สามารถนับตัวม้าได้ นับตั๋วได้ ไม่เหมือนการพนันอย่างอื่น อย่างเช่นบ่อนกาสิโน ที่ไม่มีขอบเขตควบคุม ฉะนั้นการที่เราทำการแข่งม้าให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นกีฬา...ฟังดูเหมือนกับว่าหมออยากจะผลักดันการแข่งม้า อยากสนับสนุนให้คนเป็นผีการพนัน แต่จริงๆ แล้วถ้าเราทำอย่างจริงจัง ถ้าเขาทำให้เงินรางวัลในการแข่งขันสูงขึ้น คนก็จะแคร์ ไม่กล้าที่จะโกงหรือใช้สารกระตุ้นกับม้า สิ่งที่สำคัญที่จะได้มาก็คือสวัสดิภาพของม้าเอง”

*********

“สนามม้าไม่ใช่ที่ที่เลวร้าย”
พล.อ. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์


ด้วยตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอำนวยการกิตติมศักดิ์ ของราชตฤณมัยสมาคม พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จึงรับผิดชอบกิจการภายในต่างๆ ของสมาคม รวมถึงเป็นผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เพื่อที่จะคอยดูแลการแข่งม้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งพล.อ.บุญเลิศ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงสถานภาพของกีฬาแข่งม้าในปัจจุบันและอนาคตของสนามม้า ดังนี้

“เงินหมุนเวียนในสนามแข่งม้าปัจจุบันนี้ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ หนึ่ง อาจจะเป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจ สอง เขาอาจจะมีอย่างอื่นให้เล่นทั้งหวยบนดินก็ดี ฟุตบอลก็ดี ทำให้จำนวนผู้เข้าชมลดต่ำลงไป อย่างนัดที่ผ่านมาซึ่งตรงกับวันเสาร์ ผู้เข้าชมลดลงมากเหลือเพียงแค่ 9,000 เศษ ซึ่งตามปกติเราจะมียอดผู้ชมในสนามหนึ่งหมื่นคนขึ้นไป เพราะมันตรงกับวันเสาร์ซึ่งตรงกันกับสนามแข่งม้าทั่วประเทศ อันนี้ก็เป็นปัญหาคือว่าทางราชการกำหนดว่าวันพระห้ามแข่งม้า ทีนี้ก็เลยเป็นปัญหาเพราะสนามม้าแต่ละแห่งมาแข่งชนกันในวันเสาร์ เพราะวันอาทิตย์เป็นวันพระ เชียงใหม่ก็แข่งไม่ได้ โคราชก็แข่งไม่ได้ ขอนแก่น ร้อยเอ็ดก็แข่งไม่ได้ พอมาจัดแข่งตรงกันคนก็เลยกระจายไป ผมขออย่างหนึ่งว่าถ้าไม่ตรงกับวันพระใหญ่คือวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ นี่ควรจะแข่งม้าในวันอาทิตย์ เพราะว่าวันอาทิตย์คนส่วนใหญ่จะว่าง

อนาคตการแข่งม้าในประเทศไทยมันก็คงจะต่ำลงไปเรื่อยๆ เพราะคนเริ่มลดความนิยมลง หันไปนิยมเล่นพนันกีฬาชนิดอื่นแทน อย่างของต่างประเทศเขามีการถ่ายทอดสดการแข่งม้าทางโทรทัศน์ ถ้าบ้านเรามีจะดีมาก แต่กฎหมายยังเข้าไปไม่ถึง อย่างของฮ่องกง มาเก๊า ถ้าจ๊อกกี้โกงการแข่งขันเขาติดคุกทันที แต่บ้านเราไม่มี มีเพียงแต่คณะกรรมการห้ามไม่ให้จ๊อกกี้คนนี้ขี่ม้ากี่วันเท่านั้นเอง

จริงๆ การกำเนิดการแข่งม้าในเมืองไทยต้องถือว่ามีต้นกำเนิดมาอย่างสูงส่ง ทั้งสนามฝรั่งและสนามไทยสถาปนาโดยพระมหากษัตริย์ทั้งรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มันไม่ใช่เป็นสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นมาโดยใครคนใดคนหนึ่ง คณะกรรมการสมาคมก็ล้วนแต่มีศักดิ์มีศรีทั้งนั้น แต่ว่าสภาพสังคมไทยไม่ยอมรับ ถ้าใครเข้ามาในสนามม้า แล้วไปทำธุรกิจอะไรกับแบงก์ แบงก์อาจจะไม่ให้กู้เงิน

ทุกวันนี้เราก็พยายามจัดการแข่งขันให้กับมูลนิธิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิของพระบรมวงศานุวงศ์ หรือมูลนิธิที่ทำประโยชน์ต่างๆ อย่าง มูลนิธิคนพิการ มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เป็นการแข่งม้าเพื่อการกุศลแล้วเอารายได้มอบให้แก่มูลนิธิไป

สนามม้าไม่ใช่ที่ที่เลวร้าย ท่านสามารถมาพักผ่อนได้ น่าจะเป็นแหล่งบันเทิงด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีใครที่จะสามารถบังคับท่านได้ว่าท่านมาท่านจะต้องมาเล่นม้า มาแทงม้า ท่านมาหาของรับประทาน พาพรรคพวกมาพักผ่อนหย่อนใจ มานั่งดูม้าวิ่ง บางคนชอบความเร็วก็มาได้ เหมือนการที่เราชอบดูรถแข่ง แต่ไม่จำเป็นต้องแทงพนัน ก็ให้ดูเป็นกีฬาไป ถ้าจะเล่นก็ให้เล่นเป็นกีฬา อย่าเล่นเป็นการพนัน แต่เล่นให้พอสมควรแก่ฐานะ ก็จะสร้างความสนุกตื่นเต้นให้แก่ตัวเอง”
กำลังโหลดความคิดเห็น